นับเป็นอีกชัยชนะที่น่าสนใจของประชาชน กรณีชาวบ้านที่เป็นกลุ่มอนุรักษ์ซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์ ยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลาง และศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.ค.50 ให้เพิกถอนมติครม. และคุ้มครองหอยดึกดำบรรพ์ในพื้นที่เหมืองถ่านหินแม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามที่ชาวบ้านร้องขอ โดยให้กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนแหล่งซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์อายุ 13 ล้านปี ที่เหลือเพียง
โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อมได้จัดทำสรุปคำพิพากษาคดีดังกล่าวเพื่อเป็นกรณีศึกษาที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนต่อไป
000
สรุปประเด็นคำพิพากษาคดีหมายเลขดีที่ 459/2548 หมายเลขแดงที่ 1203/2550
ศาลกำหนดประเด็นในการวินิจฉัยไว้ 3 ประเด็นคือ
1. มติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 ที่กำหนดพื้นที่แหล่งหอยขมดึกดำบรรพ์แม่เมาะเป็นพื้นที่อนุรักษ์
ศาลเห็นว่าแม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีจะยังไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ของประทานบัตรของ กฟผ. ตามมาตรา 9 ตรี แห่ง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2510 แต่มติของครม.เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชาวบ้านผู้ฟ้องคดีแล้ว โดย กฟผ. ได้ดำเนินการขุดไถพื้นที่ที่พบซากฟอสซิลจนเหลือเพียง 18 ไร่ตามมติ ครม. จึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่า มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2547 เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ซึ่งในการใช้ดุลพินิจของฝ่ายปกครองนั้น มีหลักอยู่ว่า การที่ฝ่ายปกครองจะใช้ดุลพินิจในการเลือกมาตรการหรือวิธีการที่สามารถทำให้บรรลุต่อผลหรือสัมฤทธิ์ผลตามวัตถุประสงค์ โดยให้กระทบต่อสิทธิของประชาชนน้อยที่สุด และต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับต่อสาธารณะกับความเสียหายที่จะเกิดต่อประชาชนด้วย ซึ่งถ้าประโยชน์ที่จะได้รับต่อสาธารณะนั้นน้อยกว่าความเสียหายที่จะเกิดกับประชาชน ฝ่ายปกครองต้องไม่เลือกวิธีหรือมาตรการนั้น แต่อย่างไรก็ดี ดุลพินิจหรือการเลือกวิธีการหรือมาตรการของฝ่ายปกครองจะต้องไม่เกินขอบเขตของกฎหมายด้วย
ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าซากฟอสซิลเป็นโบราณวัตถุตามตามความหมายที่นิยามไว้ใน มาตรา 4 พ.ร.บ. โบราณสถานฯ พ.ศ. 2504 ดังนั้นพื้นที่แหล่งหอยขมดึกดำบรรพ์แม่เมาะที่ถูกค้นพบ
ครม.จึงไม่สามารถมีดุลพินิจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด ครม.จึงต้องกำหนดพื้นที่แหล่งหอยขมดึกดำบรรพ์เป็นพื้นที่อนุรักษ์โดยมีพื้นที่ที่ตั้งซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์จำนวน
2. การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (รมต.อุตฯ)ไม่เพิกถอนประทานบัตรในบริเวณพื้นที่แหล่งซากหอยขมดึกดำบรรพ์ทั้งหมด
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าตาม มาตรา 9 ทวิ วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2510 กำหนดว่า เมื่อปรากฏในภายหลังว่าได้ออกอาชญาบัตร ประทานบัตรชั่วคราว ประทานบัตรหรือใบอนุญาตให้แก่ผู้ใดโดยคลาดเคลื่อนหรือโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ให้ทรัยพากรประจำท้องที่ อธิบดีหรือรัฐมนตรี ผู้ออกอาชญาบัตร ประทานบัตรชั่วคราว ประทานบัตรหรือใบอนุญาตดังกล่าวแล้วแต่กรณี มีอำนาจเรียกอาชญาบัตร ประทานบัตรชั่วคราว ประทานบัตรหรือใบอนุญาตดังกล่าวมาแก้ไขให้ถูกต้อง หรือเพิกถอนเสีย
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า กฟผ. ได้มีคำขอประทานบัตรที่ 36/2530 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2530 โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การขออนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2510 และ พ.ร.บ. สิ่งแวดล้อม โดย กฟผ.ได้จัดให้มีการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรดังกล่าว โดยมอบหมายให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นผู้ดำเนินการศึกษาวิเคราะห์และจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)เสนอต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและคณะกรรมการผู้ชำนาญการ คณะกรรมการผู้ชำนาญการได้พิจารณารายงานดังกล่าวแล้ว มีมติเห็นชอบรายงานดังกล่าว ซึ่งรมต.ว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้พิจารณาคำขอของกฟผ.ประกอบกับ EIA จึงได้ออกประทานบัตรเลขที่ 24349/15341 ให้ กฟผ.ทำเหมืองแร่ลิกไนต์ตามคำขอ
ต่อมา กฟผ. ได้ขุดพบซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์เป็นบริเวณพื้นที่ประมาณ
3. การที่ ครม., รมต.อุตฯ, กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยควบคุมตรวจสอบและหรือสั่งการให้กฟผ. ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามเงื่อนไขในท้ายประทานบัตรเลขที่ 24349/15341 จัดทำ EIA เพิ่มเติมเพื่อขอรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการและดำเนินการตามขั้นตอนวิธีการอันเป็นสาระสำคัญอื่นใดเพื่อรักษาไว้ซึ่งแหล่งหอยขมดึกดำบรรพ์ตาม พ.ร.บ. แร่ พ.ศ. 2510 พ.ร.บ.โบรารณฯ พ.ศ. 2504และพ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ พ.ศ. 2535 เป็นการละเลยหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรหรือไม่
ศาลมีความเห็นว่า นับตั้งแต่คณะกรรมกการกฤษฎีกาได้แจ้งความเห็นเกี่ยวกับซากฟอสซิลดังกล่าวเป็นโบราณวัตถุตาม ม.4 พ.ร.บ.โบราณฯ พ.ศ. 2504 เมื่อราวเดือน เมษายน 2547 ครม.ในฐานะผู้บังคับบัญชาของกรมศิลปากรย่อมสามารถสั่งการให้กรมศิลปากรดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้แต่ปรากฏว่ามิได้มีการดำเนินการใด ๆ อันเป็นการอนุรักษ์ จน กฟผ.ทำการขุดถ่านหินในบริเวณพิพาทจำนวน
นอกจากนี้มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าการพบซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์เป็นการค้นพบข้อเท็จจริงใหม่หรือไม่ เห็นว่าใน EIA โครงการเหมืองแม่เมาะประกอบคำขอประทานบัตรที่ 3-6/2530 ได้กล่าวถึงธรณีวิทยาของหินยุคเทอร์เซียร์ในแอ่งถ่านหิน มีการค้นพบหอยแกสโตพอด ซากปลายออสตราคอดและอื่น ๆ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าการเกิดถ่านหินลิกไนต์มาจากาการรวมตัวทับถมกันของซากพืช ซากสัตว์เป็นเวลานานและเป็นสภาพทางธรณีที่เกิดขึ้น แต่กรณีซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบเป็นซากหอยสกุลเดียวกันที่รวมตัวทับถมกันเป็นจำนวนมากราว
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์เป็นที่ค้นพบเป็นข้อมูลใหม่เพิ่มเติมจาก EIA ตามผลการศึกษาของ กฟผ. ที่จัดทำโดย ม.เชียงใหม่ และนับจากวันที่มีการค้นพบซากฟอสซิลถึงวันที่คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นเกี่ยวกับซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์ว่าเป็นโบราณวัตถุ จนกระทั่งได้มีการฟ้องคดีต่อศาลและศาลได้เผชิญสืบ โดย รมต.อุตฯและกพร.มิได้ควบคุมและสั่งการให้ กฟผ. ทำการทบทวนความเหมาะสมของมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อให้มาตรการสอดคล้องกับสภาพปัจจุบันจนเป็นเหตุให้มีการเปิดหน้าดินและดำเนินโครงการเหมืองลิกไนต์ในพื้นที่พิพาทเป็นจำนวน
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การค้นพบซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์พื้นที่
ศาลจึงพิพากษาให้
4.1 เพิกถอนมติของ ครม.เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547
4.2 ให้ รมต.อุตฯ เพิกถอนประทานบัตรเลขที่ 24349/15341 ในส่วนที่เป็นพื้นที่แหล่งซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์จำนวน 43 ไร่ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน
4.3 ให้ รมต.อุตฯและกพร.ควบคุมสั่งการให้ กฟผ.ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามเงื่อนไขแนบท้ายประทานบัตรเลขที่ 24349/15341 โดยจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมกรณีแหล่งซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์เพิ่มเติมเพื่อขอรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ
4.4 กำหนดให้ กฟผ. ดำเนินการจัดทำสิ่งป้องกันมิให้เกิดการพังทลายของซากฟอสซิลอันเกิดจากการทำเหมืองแร่ลิกไนต์และภัยธรรมชาติ
4.5 ให้ ครม. สั่งการให้กรมศิลปกรขึ้นทะเบียนแหล่งซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์เป็นเขตโบราณสถาน โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)