Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis



ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข


ผมจำได้ว่า ในสมัยที่นักศึกษาประชาชนร่วมกันรณรงค์ต่อต้านคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ  (รสช.) และต่อเนื่องมาถึงการไล่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ออกจากตำแหน่งนายกฯ ในปี 2535 นั้น กิจกรรมที่สร้างสีสันและเป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ร่วมชุมนุมกิจกรรมหนึ่งก็คือ "เกม" ที่เล่นกับหุ่นจำลองของ สุ-เต้-ตุ๋ย ไม่ว่าจะเป็นปาเป้า วาดระบายสี แม้ สุ-เต้-ตุ๋ย 3 นายพล รสช.จะมีอำนาจมากมายกว่าคณะรัฐประหารสมัยนี้มาก แต่นายพลแห่ง รสช. ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรกับการกระทำเหล่านั้นเหมือนกับ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่ฟ้องคดีหมิ่นประมาทกับ สมบัติ บุญงามอนงค์ (ในภายหลัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน มาเป็นผู้ฟ้องร่วม) ฐานไปดำเนินกิจกรรมทำใบหน้าล้อเลียน และเปิดให้ปาเป้ารูปใบหน้า พล.อ.สพรั่ง และพล.อ.สนธิ ซึ่งศาลก็อนุมัติให้ฝากขังไปเรียบร้อย




ไม่ว่าเหตุผลของนายพลแห่ง รสช. จะมาจากไหน อาจจะเพราะท่านนายพล รสช. เหล่านั้นเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ สื่อไม่เข้าข้างเหมือนทุกวันนี้ หรือจะเพราะมาจากความ "ใจกว้าง" เป็นการส่วนตัวก็ตาม แต่ผลก็คือ ทำให้การเมืองเป็นเรื่องการต่อสู้ เป็นเรื่องของความคิดต่าง และลดดีกรีความเกลียดชังในระดับความเป็นมนุษย์ลงไปได้มาก กล่าวอีกอย่างก็คือ มันมีผลในการลดบรรยากาศการกวาดล้าง หรือเอากันให้ "ตาย" ไปข้างอย่างทุกวันนี้


 


ถึงที่สุด การฟ้องร้องของคุณสพรั่งครั้งนี้ไม่ส่งผลดีกับคุณสพรั่งเอง กลุ่มคนที่เคยชอบคุณสพรั่งอยู่บ้าง และเคยไล่คุณทักษิณ ชินวัตร มาก่อน ก็ยังเอื้อนเอ่ยความ "ใจกว้าง" เปรียบเทียบระหว่างคุณสพรั่งกับคุณทักษิณอย่างเทียบกันไม่ได้


 


ขณะที่คุณสพรั่งโกรธแค้นการ "ปาเป้า" ของสมบัติ ที่แทบจะไม่เป็นข่าว คุณทักษิณและอีกหลายคน กลับใช้การวางเฉยเพื่อรับมือกับคำเรียก "ไอ้หน้าเหลี่ยม" หรือภาพล้อเลียน และกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นและเผยแพร่อย่างกว้างขวางของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย


 


หรือคุณสพรั่งมิได้คิดว่าตัวเองเป็นบุคคลสาธารณะ ทั้งๆ ที่ใช้เงินภาษีอากรของสาธารณะ ใช้อาวุธยุโธปกรณ์จากภาษีประชาชนมายึดอำนาจรัฐ ขณะที่นักการเมืองทั้งหลายต้องควักกระเป๋าของตัวเอง คิดค้นนโยบายเพื่อที่จะได้รับการเลือกตั้ง


 


กล่าวกันด้วยความเคารพในความเป็นคนตรงของคุณสพรั่ง การดำเนินการครั้งนี้ของคุณสพรั่งทำให้ภาพลักษณ์ของ "ทหาร" เปลี่ยนไป กลายเป็นพวกบ้าอำนาจ ขี้รังแกคนด้อยกว่า และหัวใจไม่นักเลง ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องทางวัฒนธรรมทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องทางกฎหมาย


 


การฟ้องร้องของคุณสพรั่งนั้น เป็นไปตามกฎหมาย ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ผลของการฟ้องร้องนั้นเข้าไปกินพื้นที่ทางวัฒนธรรม ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการต่อสู้ในเชิงวัฒนธรรม อย่างการนินทาและปาเป้านั้น มีผลในการป้องปรามและควบคุมทางสังคมและมีต้นทุนที่น้อยกว่า ซึ่งนั่นทำให้คนเล็กคนน้อยมีโอกาสตรวจสอบควบคุมผู้มีอำนาจได้ง่ายขึ้น


 


การที่ศาลอนุมัติฝากขังคุณสมบัติ บุญงามอนงค์ นอกจากทำให้การตรวจสอบผู้มีอำนาจทำได้ยากขึ้นแล้ว ยังกลายเป็นการปกป้องการกระทำไม่ว่าจะถูกหรือผิดของผู้มีอำนาจหรือมีโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้มากกว่า ซึ่งทำให้การตรวจสอบกดดันบุคคลสาธาณะจะทำได้ก็แต่ชนชั้นปัญญาชนอันสุภาพเท่านั้น


 


กรณีการอนุมัติฝากขังคุณสมบัติ บุญงามอนงค์ ก็เป็นเช่นเดียวกับกรณีขังแกนนำ นปก. และกรณีอื่นๆ คือ ฟ้องว่าคุณสพรั่งใจไม่กว้าง และระบบยุติธรรมก็ไร้หัวใจ มองแต่เรื่องกฎหมาย ไม่มองมิติอื่นๆ เช่นการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ การตรวจสอบ หรือในด้านความเป็นธรรม ฯลฯ


 


หากพูดแบบตัดทอนเงื่อนไขความเป็นจริงออกไป ให้เหลือแค่สิ่งที่ควรจะเป็นเท่านั้นละก็ ขณะที่การปาเป้า คือการหมิ่นประมาท ไม่สุภาพ  และอาจจะผิดกฎหมายได้ การเอารถถังของประชาชนออกมายึดอำนาจจากประชาชนกลับได้รับการปรบมือและถูกกฎหมาย นี่มันคือความยุติธรรมชนิดไหนกัน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net