Skip to main content
sharethis



แม้เราจะมีพรมแดนติดกับประเทศ "พม่า" แต่นั่นมิได้หมายความว่า เราจะรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับพม่ามากนัก อย่างไรก็ดี คนไทยคงอดไม่ได้ที่จะรู้สึก "ใกล้ชิด" กับพม่า ไม่ว่าจะในแง่มนุษยธรรม โดยเฉพาะในฐานะคนบ้านใกล้เรือนเคียง หรืออาจจะเพราะความสนใจว่า คนมีเงินมีอำนาจบ้านเราจะไปผูกสัมพันธ์กับเมืองที่เนื้อหอมด้วยทรัพยากรอย่างพม่าแค่ไหนอย่างไร หรือใกล้ชิดด้วยประวัติศาสตร์ทางการเมือง ที่ดูเหมือนจะซ้ำรอยและคล้ายคลึงในระบอบการปกครองเดียวกัน


 


มาวันนี้ เหตุการณ์การชุมนุมของพระสงฆ์และประชาชนในพม่าขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มที่รัฐทหารจะใช้ความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอีก ในเวลาคับขันเช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่าที่สุดคนหนึ่งในเมืองไทย "พรพิมล ตรีโชติ" นักวิชาการจากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ซึ่งศึกษาวิจัยเรื่องชนกลุ่มน้อยในพม่ามายาวนาน ซึ่งหลีกไม่พ้นที่จะต้องทำความเข้าใจในประวัติศาสตร์ รัฐบาล และทหารพม่า ได้ให้สัมภาษณ์ยาวๆ กับ "ประชาไท" ปูประวัติศาสตร์การเมืองพม่า รวมถึงวิเคราะห์สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น


 



 


0 0 0


 


ประชาไท -ภาพรวมความเป็นพม่ามันคืออะไร และอะไรคือลักษณะเฉพาะของพม่า


พรพิมล - พม่ามีความเป็นพิเศษกว่าหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะพม่ามีชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ภายในประเทศมากถึงร้อยกว่าเผ่าด้วยกัน ถ้านับไปมาแล้ว เคยมีคนทำสถิติเอาไว้ว่า มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษา มีวัฒนธรรมต่างๆ มากถึง 135 ชนเผ่า


 


ด้วยความที่เป็นพหุสังคม จึงเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของคนที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน  มีความเชื่อแตกต่างกันมา และประกอบกับพื้นที่ของประเทศพม่าเป็นพื้นที่ที่แต่ละส่วนถูกแบ่งออกจากกัน อย่างเช่น "คะฉิ่น" (Kachin) อยู่ทางเหนือติดชายแดนจีน มีที่ราบสูงกั้นอยู่ระหว่างคะฉิ่นกับที่ราบตรงกลาง คือ ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ ดังนั้น คนคะฉิ่น กับคนย่างกุ้ง ก็จะไม่รู้จักกัน เนื่องจากคะฉิ่นก็มีเผ่าพันธุ์คะฉิ่น (Kachin) ย่างกุ้งก็เป็นชาวพม่า (Burman) เมื่อมันประกอบกับมีภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศที่แยกคนออกจากกัน ความที่เป็นคนต่างเผ่าพันธุ์กันอยู่แล้ว ไม่รู้จักกันอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่รู้จักกันมากขึ้น นี่ก็เป็นความเฉพาะของพม่าอีกเหมือนกัน


 


แต่ละกลุ่มชน ไม่ว่าจะเป็นรัฐกะเหรี่ยง คะฉิ่น ยะไข่ ไทใหญ่ เขาก็มีประวัติศาสตร์ของเขาเอง อย่างเช่น "ยะไข่" เป็นรัฐโบราณที่มีอาณาจักรเก่ายาวนานมาหลายพันปี มีวัฒนธรรมเก่าแก่สัมพันธ์กับเปอร์เซีย ชุดประวัติศาสตร์ของเขา คนละชุดกับ burman ที่อยู่ตรงลุ่มแม่น้ำอิระวดี ไทใหญ่ ก็มีอาณาจักรของเขา เขาก็มีประวัติศาสตร์อีกชุดหนึ่ง ฉะนั้น ถ้าพูดถึงแต่ละชนเผ่าซึ่งแยกกันอยู่ตามภูมิศาสตร์ ตามชุมชนต่างๆ ของรัฐ มันไม่มีช่วงไหนของประวัติศาสตร์ที่ทำให้บุคคลเหล่านี้มาแชร์ประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ (identity) วัฒนธรรมร่วมกันได้ มันก็เป็นพื้นที่ที่ต่างคนต่างอยู่


 


มีทั้งเงื่อนไขของ "กลุ่มชาติพันธุ์" ที่แตกต่างกัน มีเงื่อนไขของ "ภูมิศาสตร์" ที่ไม่ทำให้คนมารวมกัน มีเงื่อนไขทาง "ประวัติศาสตร์" ชุดของใครของมัน มันเลยทำให้ไม่มีปัจจัยในการมาอยู่ร่วมกัน ดังนั้น การเป็นประเทศของพม่า มันจึงแตกต่างจากคนอื่น เพราะไม่มีครั้งไหนเลยที่พม่าจะรวมคนที่อยู่ในพื้นที่มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


 


เมื่อเป็นอาณานิคมของอังกฤษ อังกฤษก็ไม่มีแนวโน้มจะรวมพม่าเป็นหนึ่งอยู่แล้ว เขารวมแค่ขีดเส้นอาณาเขตว่า ขีดตรงนี้เป็นพม่า เป็นประเทศในอาณานิคมของเขา แต่อังกฤษก็มาใช้ความเฉพาะของพม่า ใช้ความเป็นสัดส่วนนี้แยกออกจากกัน คือเขาจะปกครองพม่าตรงกลาง ที่เรียกกันว่าพม่าแท้ๆ มีบางส่วนของกะเหรี่ยง และบางส่วนของมอญ ด้วยการปกครองแบบตรง หรือที่เรียกกันว่า Direct Rule


 


ส่วนพวกไทใหญ่ คะฉิ่น ยะไข่ ชิน เขาก็ปล่อยให้ดูแลของเขาเอง เขาเรียกกันว่า Divide and rule แบ่งแยกแล้วปกครอง ก็คือพวกชนเผ่าก็ให้ปกครองกันเอง อยู่กันตามลำพัง โดยที่อังกฤษก็แค่ส่งผู้แทนไปดูแลเป็นบางครั้งบางคราว แต่ตรงกลางนี้เขาปกครองโดยตรง คือดูแลกระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง ฯลฯ มีทหารจากอินเดีย ทหารจากกะเหรี่ยง ดังนั้น อังกฤษเข้ามาปกครองพม่าตั้งแต่ปี 1886 อังกฤษไม่เคยสนับสนุนความเป็นเอกภาพ


 


เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าลักษณะสำคัญของพม่าคืออะไร คือลักษณะของความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความไม่เป็นเอกภาพ ทางด้านการเมือง ทางด้านประวัติศาสตร์ ทางด้านชุมชน เรื่องของประชากร


 


 


กรณีการล้มสนธิสัญญาปางโหลง เป็นตัวจุดชนวนให้เกิดปัญหาทุกวันนี้ ?


นี่ก็เป็นการวางสลักของอังกฤษ ตอนอังกฤษจะออก ก็บอกพวกพม่าหรือ Burman ตรงกลางว่า ถ้าจะให้เอกราชกับคุณ คุณต้องไปรวมกับทุกชนเผ่าเข้าด้วยกันก่อน เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้น อองซานจึงไปจัดประชุมที่ปางโหลง ที่รัฐฉาน ก็เชิญผู้นำกลุ่มต่างๆ มาประชุมร่วมกัน ตอนนั้นกะเหรี่ยงไม่ได้เข้าร่วมประชุมเป็น participant (ผู้เข้าร่วม) แต่เป็นแค่ Observer (ผู้สังเกตการณ์) เพราะกะเหรี่ยงยังเข้าใจว่า ตัวเองมีชุดอีกชุดหนึ่งที่อังกฤษจะให้ความดูแลเป็นพิเศษ


 


ดังนั้น อองซานก็ไปประชุมกับผู้นำชนเผ่า โดยเฉพาะเจ้ารัฐฉาน ก็ปรากฏว่า ผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จะยอมร่วมมือกับรัฐบาลพม่าตอนนั้น ซึ่งเป็นรัฐบาลที่อังกฤษค่อยๆ ปล่อยมือให้เป็นประเทศเดียวกัน แล้วเมื่อได้เอกราชแล้ว ก็จะมาอยู่ในร่มของพม่าด้วยกัน ในข้อตกลงของปางโหลง เขาประชุมกันในปี 1947 ปี 1948 ก็ได้รับเอกราช


 


จากการประชุมกันในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1947 ซึ่งถือเป็นวันชาติพม่านั้น ก็เขียนไว้ว่า ถ้าได้รับเอกราชแล้ว ให้ระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ว่า ถ้าไม่พอใจที่จะอยู่ด้วยกัน กลุ่มชนเผ่าต่างๆ ก็สามารถแยกตัวเป็นอิสระได้ใน 10 ปีให้หลัง หลังจากรวมเป็นประเทศ


 


หมายความว่า เมื่อได้เอกราชในปี 1948 แล้ว ในปี 1958 ถ้าฉานไม่อยากอยู่กับพม่า คะฉิ่นไม่อยากอยู่กับพม่า ยะไข่ไม่อยากอยู่กับพม่า ก็สามารถแยกตัวเป็นรัฐอิสระได้ นี่ระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ


 


 


แต่ไม่รวมถึงกะเหรี่ยง


เฉพาะที่เป็นพันธมิตรที่ร่วมประชุมในครั้งนั้นเท่านั้น แต่มอญกับกะเหรี่ยงไมได้ร่วมประชุม มอญนั้น ส่วนหนึ่งเพราะเป็นหนึ่งเดียวกับ burman ไปแล้ว แล้วเขายังไม่ชัดเจนว่าอยากจะแยกหรือไม่อย่างไร แต่ที่กะเหรี่ยงไม่ร่วม เพราะเขาระบุว่า มันมีสมุดปกขาว อังกฤษให้สัญญากับกะเหรี่ยงว่า กะเหรี่ยงจะไม่ต้องอยู่รวมกับพม่าเลย แต่เมื่อได้เอกราชแล้ว อังกฤษจะให้กะเหรี่ยงเป็นรัฐในความพิทักษ์ ไม่ขึ้นกับพม่า แต่ขึ้นกับอังกฤษ


 


เขาก็มีจินตนาการชุดนั้นอยู่ตลอด ว่าเขาจะมีพื้นที่เฉพาะเป็นรัฐกะเหรี่ยง และไม่ต้องขึ้นตรงกับรัฐบาลพม่า แต่สามารถขึ้นตรงกับอังกฤษ


 


พอตกลงกันไปเรื่อยๆ ได้ข้อตกลงที่ปางโหลง อังกฤษก็ให้อิสระพม่า แล้วก็กลับอังกฤษทันที ทิ้งพม่าไปโดยกะทันหัน ประเด็นกะเหรี่ยงก็เป็นประเด็นที่บอกว่า ให้ไปตกลงกันเมื่อมีรัฐบาลใหม่ ดังนั้น กะเหรี่ยงก็ต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง


 


รัฐบาลใหม่ ตอนนั้น 'อู นุ' เป็นนายกรัฐมนตรี แล้ว 'เจ้าส่วยแต้ก' เป็นประธานาธิบดี เขาก็จะพิจารณาเรื่องกะเหรี่ยง ว่าจะตั้งเป็นรัฐกะเหรี่ยง แต่ข้อเรียกร้องของกะเหรี่ยงมันเยอะ เพราะเขาต้องการพื้นที่เยอะ กะเหรี่ยงไม่ได้อยู่เฉพาะในรัฐกะเหรี่ยง แต่มีคนกะเหรี่ยงอยู่ในเดลต้าด้วย ผสมปนเปกับพม่า ดังนั้น พื้นที่ของเขา จึงกินพื้นที่ตั้งแต่บางส่วนของลุ่มน้ำอิระวดีจนถึงชายแดน รัฐบาลก็รับไม่ได้ ก็สู้กันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


 


ทำไมกะเหรี่ยงถึงคิดว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น เพราะตั้งแต่ตอนที่อังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคม ทหารในกองทัพพม่าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ใช้ กะเหรี่ยง คะฉิ่น ชิน มาเป็นทหาร ร่วมกับทหารที่มาจากอินเดีย ทั้งเผ่า กะเหรี่ยง คะฉิ่น และชิน เป็นสามชนชาติที่อังกฤษชอบมากในการให้เป็นทหาร เพราะเป็นคนภูเขา รูปร่างสูงใหญ่ อดทน รบเก่ง


 


และหลักสำคัญก็คือ อังกฤษไม่กล้าให้พม่ามาเป็นทหารและตำรวจ เพราะถ้าเกิดกรณีอะไรสำคัญขึ้นมา อังกฤษก็ไม่สามารถใช้คนพวกนี้ในการปราบ เขาก็ชอบแบ่งแยก ไปใช้กลุ่มชนเผ่า นึกภาพว่า พอเกิดอะไรขึ้นมา ก็ใช้คนกะเหรี่ยงไปปราบพม่า มันก็เป็นแผลลึกกันมาตลอดเวลา


 


ดังนั้น การที่อังกฤษอยู่ ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น สนธิสัญญาปางโหลงก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะต่างคนต่างก็ยึดถือว่า ถ้าอยู่กับพม่าไม่ได้ 10 ปี มีสิทธิแยก ดังนั้น 10 ปีปุ๊บ ฉาน ยะไข่ คะฉิ่น เป็นกบฏทันที แต่กะเหรี่ยงเป็นกบฏก่อนเพราะตกลงกันไม่ได้


 


ข้อตกลงปางโหลงนั้น ถ้าไปถามชนกลุ่มน้อย ทุกคนก็จะบอกว่า พม่าผิดสัญญา พม่าให้สัญญาแล้ว พม่าก็บอกว่าไม่ได้ผิดสัญญา เพราะตอนเนวินทำปฏิวัติในปี 1962 ก็ฉีกรัฐธรรมนูญ 1947 มันก็หมดไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่ได้ผิดสัญญา ก็ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ปี 1974 บอกว่าทุกพื้นที่เป็นของรัฐบาลพม่า ก็ไม่ได้ผิดสัญญาอะไร


 


สรุปก็คือ ข้อตกลงปางโหลงมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกคนคิดว่า มีสิทธิ์ชอบธรรมที่จะตั้งตัวเป็นรัฐอิสระ


 


 


ถ้าอย่างนั้น ปัจจัยอะไรที่ทำให้พม่าโตขึ้นมาจนคุมรัฐอื่นๆ ได้


คืออังกฤษอีกนั่นล่ะ คุณลองคิดดูว่า เมื่ออังกฤษปกครองพม่าตรงพม่าแท้ อังกฤษก็เอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งหมดมาถมไว้ที่รัฐตรงกลาง รัฐชายขอบก็อยู่กันไปตามยถากรรม ปลูกไร่ ทำนากันไป แต่อังกฤษทำให้พม่ากลายเป็นดินแดนของการปลูกข้าวเพื่อส่งออก ขยายพื้นที่ในการทำนา แล้วการทำนานั้นก็คือการปลูกข้าว ปลูกข้าวแล้วก็มีการค้าขายกับต่างประเทศ ค้าขายแล้วก็มีการนำเข้าส่งออก มีไม้สักส่งออก มีข้าวส่งออก มีน้ำมันส่งออก ดังนั้น ตรงกลางนี้ ได้วิทยาศาสตร์ องค์ความรู้รุ่นใหม่ในยุคนั้นมารวมอยู่ที่ Burman มีการตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นมา นักศึกษาเรียนมหาวิทยาลัย ขณะที่ฉานยังเรียนตามวัดกับหลวงพ่อ วิทยาการ วิทยาศาสตร์ มันมาอยู่ที่ burman ดังนั้น การเจริญเติบโต องค์ความรู้ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจมันอยู่ที่ตรงนี้ ก็เท่ากับคนในพม่าแท้มีวิวัฒนาการทางการเมืองชุดเดียวกับทั่วโลก นักศึกษาที่ย่างกุ้ง ตั้งแต่สมัยอองซานเป็นนักศึกษา ก็อ่านมาร์กซ อ่านเรื่องระบอบการเมือง เรื่องการปฏิวัติ เรื่องชนชั้น คนพวกนี้ก็มีความรู้เท่าทัน เพราะเรียนที่มหาวิทยาลัย ดังนั้น ทางด้านการเมืองก็เติบโตก้าวหน้า ด้านเศรษฐกิจก็ดีกว่า วิทยาการก็ทันสมัย


 


 


มาจนวันนี้ อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดปัญหาอย่างทุกวันนี้


ด้วยความที่ประเทศมันไม่มีความเป็นเอกภาพ ฉานก็มีของเขา กะเหรี่ยงก็มีของเขา พอปี 1948 กะเหรี่ยงตกลงกับรัฐบาลพม่าไม่ได้ ก็ลงใต้ดิน ต่อสู้กับรัฐบาลพม่า มอญก็มีบ้างประปราย เพราะไม่อยากตกเข้าไปอยู่ภายใต้การควบคุมของนักการเมืองพม่า


 


ปรากฏว่า รัฐฉาน กับคะฉิ่น ก็ยังเคารพในกฎนั้น แต่ในช่วงปี 1949-1950 ตอนที่จีนเป็นคอมมิวนิสต์ ก็มีจีนคณะชาติ หรือ ก๊กมินตั๋ง ส่วนหนึ่งหลบเข้ามาอยู่ในรัฐฉาน พม่าก็ส่งทหารพม่าไปรบเพื่อจะขับไล่ก๊กมินตั๋ง ดังนั้น มันเป็นครั้งแรกที่ burman เดินทางไปรัฐฉาน ไปใช้ชีวิตที่รัฐฉาน แต่ด้วยความที่เป็นทหาร พอไปอยู่ที่ไหนก็มีความดุเดือด ไปรังแกชาวบ้าน เพราะถือว่ามีอาวุธ ไปฉุดลูกสาวเขาบ้าง ดังนั้น คนฉานซึ่งเป็นคนอ่อนโยน มีวัฒนธรรมคนละชุดกัน เมื่อรู้จักพม่าครั้งแรกอย่างเต็มที่ก็มารู้จักทหารเสียแบบนี้ การไม่ยอมรับจึงมีขึ้น


 


การที่ทหารพม่าไปอยู่ที่รัฐฉานทำให้คนฉานไม่ชอบ พอคนฉานเริ่มที่จะก่อกบฏ เนื่องจากฉานเป็นพื้นที่ใหญ่ แทนที่จะมีกลุ่มเดียวคือ KNU มันก็มีหลายกลุ่ม พอฉานเป็นกบฏ คะฉิ่นตามมา มันก็เริ่มมีข้อขัดแย้งตรงกลาง ระหว่างรัฐบาลพม่ากับชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ


 


ทำไมชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ จึงมีความสำคัญและเข้มแข็งขึ้นมา คือในช่วงที่ได้เอกราชจากอังกฤษปี 1948 ก็มีการปรับกองทัพครั้งยิ่งใหญ่ในช่วง 1948-1950 ปรากฏว่า นายพลสมิธ ดูน (Smith Doon) ซึ่งเป็น ผบ.ทบ.ชาวกะเหรี่ยง ถูกบังคับให้ลาออก แล้วนายพลเนวิน ก็เข้ามาเป็น ผบ.ทบ. เนวินก็เปลี่ยนแปลงปรับปรุงกองทัพใหม่หมดเลย ไล่ทหารที่เป็นชนกลุ่มน้อยออกไปหมด


 


ชนกลุ่มน้อยที่ถูกไล่และถูกรังแกก็เลยออก พอออกไปก็ไปเป็นกองร้อยกองพัน เพราะเป็นชนกลุ่มน้อยทั้งหมด แล้วก็เอาอาวุธไปด้วย ไปเสริมกับกลุ่มชาติพันธุ์ของตัวเอง กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ก็มีอาวุธ พอมีอาวุธ แข็งข้อขึ้นมา รัฐบาลก็ส่งทหารไปปราบ ดังนั้น ประเทศพม่า ตั้งแต่ 1948 เป็นต้นมา จึงเป็นประเทศที่ทหารรบกับชนกลุ่มน้อย รบกับชาวบ้านจนบัดนี้


 


การรบตลอดเวลา มันส่งผลให้สถาบันการปกครองที่เข้มแข็งที่สุดของประเทศ คือสถาบันทหาร ทหารเป็นสถาบันที่ค้ำบัลลังก์ของรัฐบาล คือรัฐบาลพลเรือนได้มาปี 1948 มี อูนุ เป็นนายกฯ  ก็ปกครองล้มลุกคลุกคลานเรื่อยมา เนื่องจากสู้รบกันอยู่ตลอดเวลา สถานภาพเศรษฐกิจหลังสงครามก็ไม่ดีเท่าไร ประชาชนก็ยากจน การเมืองก็ไม่มั่นคง ในขณะที่ทหารมั่นคงอยู่เรื่อยๆ เพราะทหารต้องไปรบ ท้ายสุด สถาบันทหารมันเลยใหญ่กว่ารัฐบาลที่เป็นรัฐบาลพลเรือน


 


มีช่วงหนึ่งในปี 1958 ที่รัฐบาลของอูนุก็เอาไว้ไม่อยู่ เพราะทุกฝ่ายเป็นกบฏ ทุกฝ่ายจะแยกแล้ว ก็เอาไว้ไม่อยู่ เลยไปเชิญทหาร คือเนวินมาเป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงปี 1958-1960 เชิญทหารเข้ามาปกครองประเทศ รัฐบาลพลเรือนถอยออกไปอยู่ 2 ปีเต็มๆ พ่อก็บริหารประเทศเสียสุดยอด ปราบชนกลุ่มน้อยเยอะมากๆ ฆ่ากันมาเรื่อยๆ ทำให้หลังจากปี 1960 รัฐบาลพลเรือนจึงบอกว่า อย่าเลย รัฐบาลพม่าจะเป็นประชาธิปไตยแล้ว ก็มีการปรับ มาเลือกตั้งใหม่ ทหารก็กลับกรมกองไป


 


ปี 1962 มันก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น การเลือกตั้งครั้งใหม่ พรรคของอูนุกลับมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเอาประเทศไว้ได้ ชนกลุ่มน้อยเริ่มแข็งข้อขึ้นเยอะมาก กลุ่มที่เรียกว่า พรรคคอมนิวสต์พม่าก็เริ่มแข็งข้อ ประชาชนก็ยากจนมาก โดยเฉพาะผู้นำชนกลุ่มน้อยต่างๆ เริ่มเรียกร้อง มีการประชุมกันในเดือนมีนาคม 1962 มีผู้นำชนกลุ่มน้อยโดยเฉพาะเจ้าไทใหญ่ไปประชุมที่ย่างกุ้ง เพื่อที่จะจัดการว่า จะแยกแล้ว จะแยกด้วยวิธีการใดที่ไม่ผิด เนวินก็เลยทำการปฏิวัติในปี 1962 หลังจากนั้น ทหารก็ดำรงมาตลอด


 


ทหารได้เข้าไปกุมในทุกเรื่อง การเมือง เศรษฐกิจ ทุกๆ อย่าง ขณะเดียวกัน ก็ไม่อนุญาตให้สถาบันอื่นขึ้นมามีส่วนร่วมในการปกครอง เพราะฉะนั้น ภาคการเมือง พรรคการเมือง ภาคประชาชน ก็เลยอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ


 


การที่ทหารเป็นใหญ่ในประเทศพม่า มันมีที่มาที่ไป เมื่อเขาปกครองมาตั้งแต่ปี 1962 จนในปี 1988 มันก็เป็นครั้งแรกที่ประชาชนช่วงนั้นทนไม่ได้ เพราะทหารไม่สามารถบริหารประเทศด้านเศรษฐกิจได้ดี ประชาชนก็ยากจนมาก เป็นเหตุให้ลุกขึ้นมาประท้วงรัฐบาลครั้งใหญ่ ปรากฏว่าทหารก็ปราบ ชุดเก่าก็ไป ชุดใหม่ก็มา คือจริงๆ มันก็สับเปลี่ยน (Reshuffle) อยู่ในนั้น แต่ทหารก็ครองอำนาจอยู่ ไม่ว่าจะเป็น SLORC (State Law and Order Revolutionary Council) ก็ดี SPDC (State Peace and Development Council) มันก็คือกลุ่มคนเดียวกัน กลุ่มที่สืบสายทหารเดียวกัน แล้วมันก็นำพามาถึงการปะทุในครั้งนี้ เพราะตั้งแต่ 1988 จนถึงวันนี้ สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น สถานการณ์ด้านสังคมมันเลวร้ายลง


 


ถ้าพูดกันตามจริง สถานการณ์การศึกษา-สาธารณสุขในพม่า มันย่ำแย่มาก การระบาดของเชื้อเอชไอวีรุนแรงมากเป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบกับพม่าใช้งบประมาณทั้งหมดไปเพื่อบำรุงทหาร ตีเสียว่า 100% นั้น แบ่งไปทหารเสีย 80% นี่ยังไม่รวมงบลับอะไรทั้งหลาย


 


ดังนั้น สถานภาพทางสังคมแย่มาก ประชาชนต้องช่วยตัวเอง มี Black Market (ตลาดมืด) ลักลอบการค้า คือประชาชนต้องช่วยตัวเองมาตลอด มันก็เลยนำมาสู่การประท้วงในครั้งนี้ แล้วทหารก็จะอีหรอบเดิม คือลุกขึ้นมาจัดการ (ปราบ)


 


 


เหตุการณ์ครั้งนี้ มีจุดเหมือนหรือจุดต่างอย่างไรกับเหตุการณ์ในปี 1988


มีข้อแตกต่างในรายละเอียด แต่จุดใหญ่ใจความเป็นเรื่องเดียวกัน คือปัญหาเศรษฐกิจ มันเป็นปัญหาปากท้องที่ประชาชนทนไม่ได้


 


คราวก่อน กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มนักศึกษา ในปี 1987 อยู่ดีๆ รัฐบาลพม่าก็ลุกขึ้นมายกเลิกธนบัตรหน่วยเล็ก เช่น ธนบัตรฉบับละ 25-30-45 จั๊ต เงินจำนวนเล็กๆ นี้ เป็นเงินที่นักศึกษาถือ เช่น คุณมาจากคะฉิ่น มาเรียนที่ย่างกุ้ง พ่อแม่ก็ไถนา กู้หนี้ยืมสินมาให้ลูก เป็นทุนการศึกษาสำหรับปีนี้ ปรากฏว่าข้ามคืนเงินที่ถืออยู่มันกลายเป็นเศษกระดาษ นักศึกษาจำนวนมากก็ได้รับผลกระทบ มันก็เป็นความไม่พอใจของนักศึกษาอยู่แล้ว แล้วพอไปทะเลาะกับตำรวจแล้วถูกจับ เลยเป็นเรื่องเป็นราว กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด (นักศึกษา) ลุกขึ้นมาเป็นหัวขบวน แล้วประชาชนที่เดือดร้อนด้วยก็ลุกขึ้นมาร่วมด้วยช่วยกัน แล้วก็มีพระบางส่วนเข้าร่วม


 


คราวนี้ก็เป็นปัญหาเศรษฐกิจเช่นกัน แต่คราวนี้นักศึกษากระจัดกระจาย เพราะตั้งแต่ 1988 มหาวิทยาลัยถูกแยกไปตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง เขาจะไม่ให้มาเรียนหนังสือตามมหาวิทยาลัย แต่ให้ใช้ระบบทางไกล คุณเรียนที่บ้าน แล้วคุณก็มาสอบ เป็นความจงใจที่จะสลายไม่ให้นักศึกษารวมตัว ดังนั้น ขบวนการนักศึกษาตั้งแต่ปี 1988 ก็เลยคลายความเข้มข้นลง แต่ประชาชนรวมตัวได้เร็วกว่า


 


เพราะประชาชนนั้น ตั้งแต่ 1988 เป็นต้นมา เขาต้องช่วยเหลือตัวเอง เกิดเป็นสมาคมเล็กๆ น้อยๆ ลุกขึ้นมาดูแลเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ไปเป็นทหาร ที่พ่อแม่เสียชีวิตจากเอชไอวี คนในชุมชนก็ร่วมมือกับวัดในการดูแล เช่น ชุมชนนี้มีแต่โรงเรียน ไม่มีครู หรือมีครูแล้วแต่เงินเดือนไม่พอ ก็ต้องไปทำมาหากิน พระก็เข้ามาร่วมมือกับชาวบ้าน เอาเงินที่ประชาชนไปทำบุญมาจ้างครูดูแลนักเรียน กลายเป็นชุมชนดูแลตัวเองโดยความร่วมมือกับวัด


 


ตั้งแต่ 1988 ประชาชนกับวัดร่วมมือกันเสมอในการดูแลชุมชนนั้นๆ ดังนั้น พอประชาชนเดือดร้อนจัดขึ้นมา จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ปีที่แล้วก็เริ่มมีการประท้วงประปราย ออกมาทีละ 100-200 ดิฉันคิดว่า พระก็เห็นว่า งานนี้ถ้าปล่อยประชาชนโดยไม่มีนักศึกษา และยังไม่ได้รับความสนใจเท่าไร ประชาชนก็อาจจะถูกรังแกได้ง่าย พระจึงอาสาตัวมาเป็นเกราะกำบังให้


 


ตามความรู้สึกของดิฉัน ทั้งพระและประชาชนเขาเห็นอกเห็นใจกัน แล้วเขาช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด เพราะมันต้องช่วยตัวเอง พอประชาชนออกมา พระก็ต้องออกมาด้วย พอประชาชนเดือดร้อน พระก็เดือดร้อนไปด้วย


 


ช่วงหลัง สมาคมที่เกี่ยวกับมัคทายกเยอะมาก ที่ดึงชุมชนกับวัดเข้ามา เพียงแต่หัวข้อพวกนี้ยังเป็นหัวข้อที่ยังไม่มีใครศึกษาวิจัย แต่มีนักวิชาการพม่าที่พูดเรื่องพวกนี้มาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว สมาคมเหล่านี้ประปรายอยู่ และประชาชนก็ร่วมมือกับวัดในการดูแลชุมชน


 


 


อุดมการณ์ทางการเมืองของประชาชนกับพระสงฆ์แทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


ใช่ อุดมการณ์คือ ทำอย่างไรจะได้รัฐบาลที่ดีกว่านี้ ทำยังไงถึงจะได้รัฐบาลที่เข้าใจปัญหาของประชาชน ทำยังไงถึงจะได้รัฐบาลที่ให้โอกาสประชาชนในการทำมาหากินที่ดีกว่านี้ นี่เป็นอุดมการณ์เดียวกันของพระกับประชาชนในตอนนี้


 


 


การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ จึงมีความหวังมากกว่าไหมปี 1988?


ถ้าให้ดิฉันเดา ดิฉันมีความคิดว่า คนที่จะหลั่งไหลเข้ามาจะมากขึ้น เพราะตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา คนทั้ง 47 ล้านรับรู้ถึงความยากลำบากถ้วนหน้ากัน สมัยก่อนชาวนาไม่ค่อยลำบาก ไม่ค่อยเดือดร้อนเวลาข้าวยากหมากแพง เพราะเขาหาข้าวกินได้ แต่ช่วงหลังนี้ นาส่วนใหญ่มันไมได้รับการพัฒนาที่ดีขึ้น เช่น ไม่ค่อยมีปุ๋ย แล้วชาวนาก็ต้องใช้น้ำมันในการดึงน้ำข้าวนา อะไรต่างๆ เหล่านี้ ในระยะหลัง นอกจากคนในเมืองที่จะเดือดร้อนจากภาวะข้าวยากหมากแพงแล้ว มันก็กระเทือนไปถึงชาวนาด้วย


 


ฉะนั้น ความเดือดร้อนมันแผ่ไปทั่วโดยเสมอหน้ากัน ราคาน้ำมันที่แพง ไม่ได้กระเทือนเฉพาะชาวบ้านที่ใช้รถเมล์ แต่ชาวนาที่ใช้น้ำมันดีเซลในการปั่นไฟ ดึงระหัด ใช้รถอีแต๋น มันกระเทือนถ้วนทั่วไปหมด ความรู้สึกนี้มันเท่ากัน


 


การที่มีคนกลุ่มหนึ่งมาเดินขบวน มันสามารถไปจุดประกายคนอื่นๆ อีกหลายหมื่นหลายแสนคน ดังนั้น ขบวนการที่จะเข้ามา จำนวนคนมันไม่หยุดอยู่แค่นี้หรอก มันจะมากกว่านี้ และจะระเบิดไปทุกๆ ที่ ทุกๆ รัฐ เมื่อออกมามากเท่าไร การที่ทหารจะยิงแบบปี 1988 ดิฉันคิดว่ามันทำให้เขาต้องคิดมากขึ้น เพราะถ้าดูกันจริงๆ ถ้าเป็นแบบสมัยก่อนต้องมีการตูมตามกันไปแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีการยับยั้งชั่งใจที่นานหน่อย ไอ้อาการแบบนี้ คิดว่าเป็นอาการสติแตกชั่วครู่ ที่พอเห็นคนเยอะๆ แล้วไม่รู้จะทำยังไง มันคุมตัวเองไม่อยู่ ไม่รู้จะจัดการยังไง เป็นอาการละล้าละลัง ถ้าพระออกมาเยอะขึ้น ประชาชนออกมาเยอะขึ้น การยับยั้งชั่งใจจะมีมาก


 


ประการถัดมา สิ่งที่รัฐบาลเรียนรู้จากปี 1988 คือไม่ว่าคุณจะทำอะไรที่ย่างกุ้ง มันไปรู้ที่เจนีวา มันไปเข้าที่ห้องประชุมนิวยอร์ก มันไปสู่มหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลีย ไอ้อิทธิฤทธิ์อิทธิเดชของ Global Media มันรุนแรง มีประสิทธิภาพมาก จนทำให้รัฐบาลพม่าต้องตระหนัก เพราะในปี 1988 นั้น เนื่องจากปิดประเทศมานาน ตั้งแต่ปี 1962 ไม่สัมพันธ์กับผู้คน ก็คิดว่านี่เป็นเรื่องภายในพม่า จะฆ่าจะแกงก็เป็นเรื่องภายในบ้าน ชาวบ้านไม่มีสิทธิ์รู้


 


แต่พอคราวนี้ เขารู้แล้ว เทคโนโลยีมันทันสมัยเสียจนเขาคิดว่า ถ้าเขาทำอะไรรุนแรงตอนนี้ เขากำลังเป็นจุดสนใจของคนทั่วโลก นี่ทำให้เขาคิดนานมาก คิดนานกว่าเก่าในการจะทำอะไร


 


นี่คือประสิทธิภาพของไอที แล้วตอนนี้ประชาชนพม่าก็รู้กันหมดเลย เพราะแค่มือถือส่งต่อก็รู้ ไม่ว่าจะคุมอย่างไรก็ไม่สามารถหนีแฮกเกอร์ได้ ดังนั้น ในปี 1988 คนพม่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ย่างกุ้ง เพราะรัฐบาลคุมได้ เขาต้องดูจากข่าวข้างนอกถึงจะรู้ แต่ตอนนี้ เกิดอะไรขึ้นที่ย่างกุ้ง มันรู้ไปทั่ว ดังนั้น อารมณ์ร่วมของคนมันจะเยอะ เขาก็กลัว กลัวคุมอารมณ์ร่วมของคนไม่ได้ กลัวคนภายนอกจะจ้องมอง แล้วปฏิกิริยาที่มามันจะแรงกว่าปี 1988


 


ทีนี้ ถ้าปฏิกิริยาแรงกว่าปี 1988 พม่ามีแต่เสียกับเสีย เพราะในช่วงปี 1962 ถึง 1988 เขาเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตัวเอง โดดเดี่ยว ปิดประเทศ แต่ตอนนี้ เศรษฐกิจภาคสำคัญของเขาคือภาคพลังงาน แล้วภาคนี้ เป็นภาคที่ตัวลงทุนไมได้ ต้องหาเอาจากต่างประเทศ แล้วถ้าทำอะไรที่ต่างประเทศรับไม่ได้ พม่าก็ลำบาก ดังนั้น สิ่งเหล่านี้มันทำให้เขาค่อนข้างย้ำคิดย้ำทำ


 


สิ่งที่ดิฉันคิดว่ามันจะต่างจากปี 1988 คือรัฐบาลคิดนานกว่าเก่าในการที่จะฆ่าประชาชน และเขาคงอยากจะหาทางออก แต่เขาคิดไม่ออก เพราะคนที่คุมกำลังขณะนี้เป็นสายเหยี่ยวหมดเลย ทำไม่เป็น เพราะคนที่ทำเป็นถูกขังอยู่


 


ตอนปี 1988 ขิ่นยุ่น เข้ามาเคลียร์เหตุการณ์ให้ นานมาก เขาใช้ระบบการข่าว ระบบทหารข่าวทหารสื่อสาร เข้าไปแทรกซึม ทำให้ประชาชนไม่กล้าไหวตัว ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน นี่เป็นการทำงานเชิงการเมืองของขิ่นยุ่นหมดเลย แต่ตอนนี้ คนที่ทำเรื่องนี้ไม่มีอยู่แล้ว วิธีเดียวที่ตัวรู้จักก็คือ ฆ่า ยิง ครั้นจะฆ่าจะยิงก็ผลเสียเยอะ ตอนนี้ก็เลยยังช็อคอยู่


 


 


หรือเพราะรอท่าทีของจีนหรือเปล่า เพราะเป็นผู้ลงทุนใหญ่ในพม่า


คิดว่าถึงที่สุดแล้ว เขาก็ไม่ฟังหรอก ถึงจุดหนึ่ง เลือดเข้าตา เขาคิดว่านี่เป็นเรื่องภายในของเขาล้วนๆ แล้วนี่เป็นเรื่องการอยู่รอดของทหาร เขายอมเสีย ถ้าจีนคนเดียวไม่พอ มันต้องจีน อินเดีย แล้วก็อาเซียน ทุกประเทศที่เข้าไปลงทุนในนั้น มันต้องจับมือกัน มันถึงจะมีพลัง และคัดค้านอย่างเดียวไม่ได้แล้ว มันต้องตามด้วยปฏิกิริยา เช่น คุณฆ่าพระ 10 รูป 100 รูป เราถอนเงินจากคุณทันที คุณทำมากขึ้น เราถอนออกทีละ 10% 20% แต่ถ้าคุณไม่หยุด เราถอนออกหมด ถ้าทุกประเทศมีมาตรการอย่างนี้เข้าไปลงทุน มันเห็นหน้าเห็นหลัง แต่ถ้ามีแต่ "เราขอแสดงความห่วงใย.. เราขอร้อง.." อย่างนี้เอาไว้ไม่อยู่


 


 


ถือว่ารัฐบาลพม่ามีความอ่อนไหวต่อการกดดันจากต่างชาติค่อนข้างต่ำ


ต่ำ ถ้าตัดเรื่องประเด็นเศรษฐกิจไปแล้ว ไม่สนใจเลย เพราะเขายังคิดว่านี่เป็นเรื่องภายในของเขา ขณะเดียวกัน เขาก็ถูกบังคับให้เรียนรู้ที่จะต้องพึ่งพาภายนอกโดยไม่รู้ตัว เอาตัวเองไปสัมพันธ์กับมิติโลกโดยไม่รู้ตัว พอตอนนี้ จะตัดสินใจอะไร มันเริ่มมีหลายปัจจัยให้ต้องคิด จึงออกอาการละล้าละลังแบบนี้


 


นับจากนี้ มีสองอย่างคือ เขาหาทางแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นได้ด้วยการไม่สลายม็อบ ก็คือหาทางเจรจา ปัญหาก็มีอยู่ว่า จะเจรจากับใคร ออง ซาน ซูจี นั้น ตันฉ่วยก็ไม่เจรจาด้วย แล้วจะเจรจากับใครที่จะเป็นตัวแทนได้ ที่จะทำให้อุณหภูมิประชาชนลดลง แล้วรัฐบาลพม่าก็สามารถมองหน้าแล้วคุยด้วยได้โดยไม่รังเกียจมาก ก็ต้องหาคนประเภทนั้นขึ้นมาที่จะเป็นตัวกลางทำหน้าที่นี้


 


ดิฉันคิดว่า ถ้าตกลงตรงนี้ได้ มันน่าจะเป็นทางออกที่ดีและปลอดภัยในช่วงนี้


 


 


แล้วทางพม่าเริ่มเห็นใคร หรือเห็นกลไกระงับปัญหานี้หรือยัง


ประชาชนเริ่มเห็นแล้ว แต่รัฐบาลจะยอมรับหรือเปล่า ก็คือกลุ่มนักศึกษา 88 เก่าที่รัฐบาลทยอยปล่อยตัวมาเมื่อไม่นานมานี้ แล้วเขามารวมกลุ่มกัน


 


88 Genaration Student กลุ่มใหม่ ที่มารวมกลุ่มกันทำงานร่วมกับประชาชน แต่ตอนนี้ก็ถูกจับไปบ้างแล้วเหมือนกัน ซึ่งถ้าปล่อยตัวอดีตนักศึกษาเสีย แล้วให้มาทำงานร่วมกับประชาชน มาเป็นตัวกลาง เป็นผู้แทนประชาชน แล้วมีตัวแทนของพระสงฆ์เข้าไปคุยกับรัฐบาลว่าจะพบกันครึ่งทางอย่างไร เพราะข้อเรียกร้องของประชาชนไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่ขับไล่ทหาร แต่เป็นเรื่องปากท้อง ไม่ให้เข่นฆ่า ซึ่งอยู่ในวิสัยที่ทหารที่รัฐบาลทำได้หมดเลย


 


เพียงแต่ว่า ประเทศนี้เป็นประเทศที่กลัวการเสียหน้าที่สุด กลัวการเสียศักดิ์ศรีมากที่สุด ดังนั้น ทางลงที่ win-win กันทั้งหมด แล้วคนที่สามารถเป็นตัวกลางได้จริงนั้น ถ้าหาเจอ โอกาสในการฆ่าก็จะชะลอไป แต่นั่นมิได้หมายความว่าจะไม่มีการฆ่า เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่เขาเคยชิน


 


เขาใช้เงินทั้งหมดตั้งแต่ช่วง 1988 ที่ขายอะไรต่อมิอะไรก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ คือทำให้ทหารเข้มแข็ง มีอาวุธที่ดี มีการปราบปรามที่มีประสิทธิภาพ มันก็อยากลอง จะให้รบกับใคร รบกับไทย รบกับจีนหรือ? ก็รบกับคนของเขาเอง ไม่รบกับชนกลุ่มน้อย ก็ปราบปรามประชาชน มันมีอาวุธยุทโธปกรณ์เต็มที่ กำลังพลเต็มที่ และเรียนรู้เทคโนโลยีมาใหม่ๆ


 


 


บทบาทและสถานะของพระในสังคมพม่าเป็นอย่างไร ดูเหมือนจะมีสถานะที่สูงมากในสังคม


ใช่ คนที่คิดยุทธศาสตร์ให้พระออกมานี้เป็นคนที่เก่งมาก เพราะเป็นคนที่มองจุดแข็งของสังคมพม่า พระในสังคมพม่า พระกับศาสนาเป็นสถาบันที่สูงส่ง ประชาชนนับถือ ดิฉันยังคิดว่า ช่วงแรกที่พระออกมานั้น ทหารคงอยากจะวางปืนแล้วนั่งไหว้ เวลาคนพม่าไหว้พระ เขาต้องนั่งลง นั่งยองๆ แล้วยกมือ การที่พระมีสถานะที่สูงส่งอยู่แล้ว แล้วประชาชนพม่าก็มีศาสนาเป็นสรณะ ตั้งแต่ปี 1988 ประชาชนไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดถือนอกจากศาสนา แล้วทั้งชีวิตก็ขอให้มีข้าวกิน มีเงินทำบุญ นี่คือสิ่งที่ปรารถนาสูงสุดในพม่า เพราะฉะนั้น สถาบันนี้เป็นสถาบันที่มีความหมาย


 


ดังนั้น พระจึงปวารณาตัวออกมา เพราะเป็นที่นับถือ จริงๆ แล้วมันก็เหมือนเป็นการฉีกหน้ากากผู้นำทหารเช่นกัน เพราะผู้นำชุดนี้จะชอบพูดว่าตัวเองเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด เข้าวัด ทำบุญ โทรทัศน์พม่าจะมีแต่สีเหลืองกับสีเขียว เขียวคือ ทหารไปทำบุญที่วัด


 


ทีนี้ เมื่อตัวเองปวารณาตัวเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี แต่ถ้าตัวเองสั่งให้ทหารใต้บังคับบัญชาของคุณยิงพระ ต่อไปนี้คุณไม่ต้องมีหน้าไปบอกใครเลยว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด พระเองก็จับจุดอ่อนตรงนี้ได้ พระก็ออกมาเลยว่า ถ้าเคลื่อนไปเป็นขบวนแบบนี้ แล้วทหารจะมีการยับยั้งชั่งใจไหม


 


ดังนั้น ยุทธศาสตร์ 88 กับยุทธศาสตร์ 07 ต่างกันโดยสิ้นเชิง ยุทธศาสตร์ 07 นี้ ดิฉันคิดว่าเป็นยุทธศาสตร์อหิงสา


 


อดีตนักศึกษาที่เป็นโฆษกของรัฐบาลพลัดถิ่นบอกว่า ในการเดินขบวน มีการปรามว่า ประชาชนห้ามไปเกเร ห้ามไปขโมยหยิบฉวยข้าวของเครื่องใช้ตามร้านค้าข้างทาง ให้เดินโดยสงบ พระอยู่ตรงกลาง ประชาชนอยู่รอบนอก แล้วก็ให้สวดมนต์ ห้ามก่อกวน ห้ามส่งเสียงเกกมะเหรกเชิงหัวไม้ ให้อยู่ในความสงบที่สุด ยุทธศาสตร์นี้ไม่มีในช่วง 1988 ที่ประชาชนโกรธทหารแล้วจะเข้าไปตีร้านค้าของรัฐบาล แต่ครั้งนี้เขาห้ามเด็ดขาด ถ้าใครทำจะถูกดึงตัวออก มีการคุมกันดีมาก


 


ดังนั้น ยุทธศาสตร์ใช้ความเป็นอหิงสา ใช้ความสงบเรียบร้อย สงบสยบความเคลื่อนไหว ถ้ามีภาพที่ทหารรังแกกลุ่มเหล่านี้ มันเป็นภาพที่ลบมากๆ ยุทธศาสตร์การเคลื่อนครั้งนี้จึงน่าสนใจ


 


 


แกนนำในการเคลื่อนไหวมาจากกลุ่มไหน


ยังไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มไหน แต่เท่าที่มอง มีการจัดตั้งมาที่ดี มีการวางแผนที่ดี แล้วส่งต่อกันเป็นแนว แน่ใจว่าต้องมีกลุ่มที่วางระบบดูแล ใจตัวเองอยากคิดว่าเป็นกลุ่มอดีตนักศึกษา 88 เพราะกลุ่มนี้กระจายตัวเข้าไปอยู่กับพระมานานแล้ว คิดว่าคงจะมีการพูดถึงเรื่องนี้มาปีสองปี ว่าถ้าเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นมาจะทำอย่างไร เพราะมันมีลางบอกเหตุความไม่พอใจขึ้น


 


ถ้าคุณได้ดูคลิปวิดีโองานแต่งงานลูกสาวตันฉ่วย อูย... คุณต้องดู.. เพชรเม็ดใหญ่ ใส่หลายชั้น ทั้งมงกุฏ แหวน และกำไล และเป็นงานแต่งงานที่หรูหรามาก ประชาชนไม่มีจะกินต้องหนีมาทำงานบ้านเรา วิดีโอคลิปนี้มันออกมาช่วงปลายปี 06 อลังการงานสร้างมาก งานแต่งงานนี้ ประชาชนเห็นก็ช็อค นี่คือการอยู่ดีมีสุขของผู้นำ แล้วเขาก็เข้าไปถ่ายในห้องหอ มันทำให้ประชาชนกรุ่น เดี๋ยวข้าวก็ขึ้นราคา เดี๋ยวกระดาษก็ขึ้นราคา


 


มีอยู่ครั้ง คนแก่อายุ 62 วันดีคืนดีก็เขียนข้อความใส่กระดาษไปติดหน้าบ้านว่า ทำไมกระดาษถึงขึ้นราคามาก ทำให้หนังสือพิมพ์ไม่มีคุณภาพ หนังสือพิมพ์ก็ลงแต่ข่าวชวนเชื่อ (Propaganda) มันมีแบบนี้เป็นระลอกๆ เดี๋ยวคน 50 คนก็ไปนั่งจุดเทียนที่มหาเจดีย์ชเวดากอง ทุกวันอังคารจะมีคนไปสวดมนต์ให้นางออง ซาน ซูจี เพื่อให้นางออง ซาน ซูจี ได้รับการปล่อยตัว ไปเดินขบวน 100 คน เสร็จแล้วก็เดินกลับบ้าน มันเงียบๆ ประปราย ยุทธศาสตร์เหล่านี้มันได้รับการทดลองเรื่อยมา ว่ายุทธศาสตร์ไหนมันจะปลอดภัยสำหรับประชาชน นี่เป็นการคาดเดาจากสิ่งบอกเหตุต่างๆ คิดว่าไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีการวางแผน เพียงแต่ว่า สถานการณ์มันสุกงอม พอมันขึ้นราคาน้ำมัน 500% มันก็เหมือนจุดไปแล้วประทัดก็ดังขึ้นมาทันที


 


 


เรื่องนี้จะมีผลต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อย่างไรบ้าง


มีข่าวว่ากลุ่มชาติพันธุ์เข้าไปร่วมด้วยช่วยกัน แต่ดิฉันคิดว่า ตอนนี้ให้มันเป็นเรื่องของปากท้องประชาชนก่อน อย่าเอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเด็ดขาด ถ้าชนกลุ่มน้อยเข้ามาร่วมด้วย มันจะเป็นประเด็นการเมือง ชนกลุ่มน้อยตอนนี้อยู่เฉยๆ ดีที่สุด แสดงความห่วงใย แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในระดับหนึ่ง หรือเมื่อรัฐบาลคุยกับประชาชนในระดับหนึ่งแล้ว รอจังหวะแล้วค่อยคุยกัน แต่บางคนไม่เห็นด้วย บอกว่าน่าจะเปิดโต๊ะเจรจาเลย คือรัฐบาลพม่าเขาคิดได้ทีละเรื่อง ทำได้ทีละเรื่อง เขารับมือได้ทีละเรื่องจริงๆ นะ มาพร้อมกันเขารับไม่ได้


 


 


ใครต่อใครมักมีมุมมองต่อรัฐทหารพม่าในลักษณะนี้


จริงๆ แล้วมันอาจจะผิดก็ได้ แต่เพราะข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้นำพม่า มันไม่มีใครรับรู้ เพื่อนที่เป็นนักวิชาการจากฟิลิปปินส์ถามว่า ทำเรื่องพม่ามานาน รู้ไหมว่าตันฉ่วยชอบอ่านหนังสือประเภทไหน ก็ตอบไม่ได้ อ่านหนังสือปรัชญาเหรอ อ่านหนังสือพุทธศาสน์เหรอ อ่านเรื่องผีเหรอ หรือไม่อ่าน ตอบไม่ได้ เพราะข้อมูลพวกนี้ มันเป็นข้อมูลที่ไม่ได้กระจายออกมา


 


สิ่งที่จะบอกคือ คนที่จะเข้าใจระบบคิด ระบบตรรกะของพวกผู้นำ เข้าใจได้น้อยมาก พอเข้าใจได้น้อย ก็จะคาดเดาสิ่งที่เขาจะทำได้ยาก แต่สิ่งที่คาดเดามาทั้งหมดนี้ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ว่าถ้าเขาเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร จะตอบโต้ด้วยวิธีใด หรือจะรับมืออย่างไร แต่จริงๆ แล้ว คิดยังไง ตอบยาก


 


อย่างเราจะรู้ว่า พลเอกสุรยุทธ์ (จุลานนท์) จะไปแนวไหน สพรั่ง (กัลยาณมิตร) จะออกแนวไหน เราพอรู้ แต่นี่เราไม่รู้ หม่องเอ มีข่าวลือว่าหม่องเอขี้เมา บางคนบอกไม่ใช่ หม่องเอเคร่งศาสนามากและรักลูก รักเมีย รักครอบครัว ตันฉ่วยอยากกลับไปเป็นพระจักรพรรดิใหม่ แต่นั่นเป็นเรื่องลือกันไปมา


 


 


ประเทศไทยควรจะทำอะไร


ประเทศไทย นอกจากจะแสดงความห่วงใย ตอนนี้ต้องเข้าวอร์รูมแล้ว วอร์รูมในที่นี้ ต้องตั้งคำถามแล้วว่า ถ้าปราบปรามใหญ่ จะตั้งรับยังไงบริเวณชายแดน นั่นข้อที่หนึ่ง


 


ถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลง ทุนต่างๆ ที่เข้าไปในรัฐพม่า จะตั้งรับอย่างไร รัฐบาลไทยต้องคิดแล้ว


 


แล้วคุณจะแถลงการณ์ต่อการฆ่าพระอย่างไรในฐานะที่เป็นประเทศพุทธศาสนา ถ้ามีการฆ่าพระ รัฐบาลไทยจะมีมาตรการอะไรที่จะแสดงต่อรัฐบาลพม่า คือต้องยืนยันว่าจะมีจุดยืนในเรื่องนี้อย่างไรในฐานะประเทศที่นับถือพุทธที่อยากจะบรรจุในรัฐธรรมนูญเหลือเกิน คุณต้องประกาศตัวแล้วว่าจะทำอย่างไร


 


ขณะนี้คุณแสดงจุดยืนได้แล้ว ว่าจะไม่ยอมรับการกระทำที่มากไปกว่านี้ แล้วต้องตั้งรับว่า ถ้าคนทะลักเข้ามาเป็นแสนจะพาเขาไปที่ไหน จะให้เขาอยู่ที่ไหน หรือจะปล่อยไปตามยถากรรม หรือจะปิดชายแดน


 


 


แต่ความเข้าใจของสังคมไทยที่มีต่อผู้ลี้ภัยยังไม่ดีนัก


เดี่ยวนี้ดีขึ้น เพราะภาคประชาสังคมมันได้ซึมซับความรู้สึกจากบรรดา "มุหน่อ" ทั้งหลาย มุหน่อคือสาวใช้ประจำบ้าน คือบ้านทุกบ้าน ไม่บ้านคุณ ก็บ้านเพื่อนบ้านคุณ หรือถัดไปอีกสองหลัง ไม่มีสาวใช้เป็นกะเหรี่ยง ก็เป็นมอญ ก็เป็นคะฉิ่น ก็เป็นพม่า 1-2 ล้านคนที่อยู่ในประเทศไทยตอนนี้ มันทำให้คนไทยที่เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ เริ่มเข้าใจความรู้สึกและสถานการณ์ต่างๆ ของคนพม่ามากขึ้น ถ้าเปรียบเทียบตอนนี้กับตอน 88 ตอนนี้คนสนใจเรื่องนี้มาก เพราะเด็กที่บ้านนั่งร้องไห้ ถามว่าทำไม เป็นห่วงพ่อ เป็นห่วงแม่ ก็เริ่มมีความสนใจจากภาคประชาสังคมไทย


 


ดิฉันคิดว่า ปี 1988 กับปี 2007 ปฏิกิริยาจากภาคสังคมไทยต่างกันเยอะ และถ้ามีอะไร อาจจะมีคนเข้าไปช่วยกันพูด ช่วยกันทำ ซึ่งรัฐบาลไทยก็ต้องหันมาช่วยกันสนใจเรื่องนี้มากขึ้น นอกเหนือจากเป็นห่วงเป็นใยชายแดนกับการลงทุน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net