โควต้าใหม่ เข้าม. 1 มอบแด่บุตรหลานผู้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศ

ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยภายหลังหารือเรื่องนโยบายรับนักเรียนปี 2551 กับคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( กพฐ.) พร้อมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า นโยบายรับนักเรียนปี 2551 ได้ข้อยุติแล้ว หลังจากที่ตนและ สพฐ.ได้พิจารณาประเด็นต่างๆ ร่วมกัน

 

ในเรื่องการรับนักเรียนปี 2551 จะยังคงโควตาการรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษไว้หรือไม่นั้น จากการรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่างๆ รวมทั้ง กรรมาธิการการศึกษาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยืนยันว่า ยังจำเป็นที่จะต้องมีโควตานี้อยู่ แต่ต้องทำให้การรับนักเรียนในโควตานี้รัดกุมมากขึ้น เพราะฉะนั้น จะให้ สพฐ. กำหนดให้ชัดไว้ในประกาศนโยบายรับนักเรียน ปี 2551 ว่า หากโรงเรียนใดรับนักเรียนตามโควตานี้ จะต้องประกาศให้ทราบทั่วกันว่า นักเรียนแต่ละรายที่รับภายในโควตานี้มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์อย่างไรและใช้วิธีการใดในการคัดเลือก เพื่อให้การรับนักเรียนในโควตาดังกล่าวโปร่งใสและเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นช่องทางช่วยพรรคพวก หรือเป็นช่องทางหาประโยชน์

 

อย่างไรก็ตาม การรับนักเรียนตามเงื่อนไขพิเศษ จะให้รับได้แค่ 2 กรณี คือ เป็นข้อตกลงตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียน และบุตรของผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศ โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ปกครองเสียชีวิตเพื่อชาติ บุตรหลานของพวกเขาสมควรได้รับการดูแล แต่สำหรับนักการเมืองไม่ถือว่าเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ ส่วนบุตรหลานของผู้ที่บริจาคเงินต่อเนื่องให้กับโรงเรียนนั้น จะถูกตัดออกจากโควตานี้ มิฉะนั้นแล้วจะกลายเป็นเรื่องของการเอาเงินเป็นตัวตั้ง

 

ทั้งนี้ ในประกาศนโยบายนักเรียนจะไม่ได้ระบุรายละเอียดชัดว่า การรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษ ครอบคลุมกรณีใดบ้าง เพราะจะกลายเป็นชี้โพรงให้กับกระรอก กระทรวงแค่ให้แนวนโยบาย แต่อำนาจในการกำหนดรายละเอียดอยู่ที่กรรมการรับนักเรียนระดับเขตพื้นที่ เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับกรรมการฯ ดังกล่าวจะกล้าตัดสินใจสนองตามนโยบายของ ศธ. ขนาดไหน

 

"จะไม่มีการกำหนดด้วยว่าจะให้รับนักเรียนโควตานี้ห้องละกี่คน เพราะหากกำหนดตายตัวลงไปก็จะมีโทษในอีกด้านหนึ่ง คือ โรงเรียนก็จะพยายามรับให้ครบตามโควตา แต่เราต้องการให้โรงเรียนรับตามความจำเป็น ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องรับ เพราะฉะนั้น ศธ. จะกำหนดไว้แค่จำนวนนักเรียนต่อห้อง ส่วนโรงเรียนจะเอาเด็กกลุ่มนี้ผสมเท่าไหร่เป็นเรื่องของโรงเรียน" รมว.ศธ. กล่าว

 

ศ.ดร.วิจิตร กล่าวต่อว่า การรับนักเรียนในปี 2551 จะกำหนดด้วยว่า ห้ามรับนักเรียนเกินห้องละ 50 คน เพราะไม่ต้องการให้ชั้นเรียนโตเกินไปซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพการจัดการเรียนการสอน โดยเบื้องต้นกระทรวงคุมขนาดห้องเรียนไม่เกิน 40 คน ต่อห้อง หากจำเป็นให้อำนาจโรงเรียนขยายเป็นไม่เกินห้องละ 45 คน หากโรงเรียนจำเป็นต้องรับเกินให้ 45 คนต่อห้อง ให้ขออนุญาตมาที่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทั้งนี้ต้องไม่เกินห้องละ 50 คน

 

อย่างไรก็ตาม หากรับนักเรียนผ่านไปแล้วพบมีเด็กในพื้นทีตกค้างไม่มีที่เรียนอยู่ โดยเฉพาะ สพท.กทม.เขต 2 ซึ่งมีปัญหาเด็กล้นทุกปีนั้น ถือเป็นเรื่องที่พ้นจากโรงเรียน และให้เป็นอำนาจ สพท.เข้ามาจัดการหาที่เรียนแก่เด็ก บางโรงเรียนอาจจะจำเป็นต้องรับเกิน 50 คนต่อห้อง แต่ตรงนี้ไม่ถือว่าเป็นการขัดนโยบาย แต่ถือเป็นมาตรการเสริมพิเศษที่เข้าไปแก้ไขปัญหาเด็กไม่มีที่เรียน

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อยังคงโควตา รับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษ การรับนักเรียนในปีนี้จะถือว่าปราศจากเด็กฝากหรือไม่ รมว.ศธ. กล่าวว่า ตรงนี้ไม่ใช่เด็กฝาก แต่เป็นเรื่องที่สถานศึกษาได้ไปทำข้อตกลงตั้งแต่เมื่อครั้งก่อตั้งโรงเรียน แต่ถ้าเป็นเด็กฝากจริง ๆ หรือแป๊ะเจี๊ยะนั้น ห้ามโรงเรียนรับเด็ดขาด และตนจะทำหนังสือเวียนไปตามหน่วยงานต่างๆ และสถานศึกษาทุกแห่งเพื่อกำชับในเรื่องนี้ด้วย

 

อนึ่งสัดส่วนการรับนักเรียน ม.1 ปี 51 นั้น ให้รับนักเรียนในพื้นที่บริการไม่น้อยกว่า 50 % ที่เหลือรับนักเรียนนอกพื้นที่โดยการสอบคัดเลือก ทั้งนี้ การรับนักเรียนในพื้นที่ สามารถใช้ทั้งการจับฉลากหรือการสอบมาเป็นวิธีคัดเลือกก็ได้ หรือ ร.ร.อาจผสมผสานทั้ง 2 วิธี

 

ที่มา : เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท