ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 22 ธ.ค. 2550

ครส.ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาล-สนช. ผ่าน กม.ความมั่นคง

เว็บไซต์แนวหน้า - แถลงการณ์ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.) ระบุ ผลพวงการรัฐประหาร ได้ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง(ICCPR) โดยทันที การลอนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนเกิดขึ้นสามัญหลังจากการยกเลิกรัฐธรรมนูญ การปฏิเสธการเลือกตั้งโดยละเลยปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมา  การละเมิดสิทธิโดยประกาศกฏอัยการศึกซึ่งมีไว้ใช้ในยามสงครามทั่วประเทศ  การละเมิดสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (IESCR) อันเป็นบรรทัดฐานที่ประชาคมโลกผลักดัน รวมทั้งการใช้อำนาจภายหลังการรัฐประหารโดยเบ็ดเสร็จซึ่งเกี่ยวพันกับการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม และการละเมิดสิทธิเสรีภาพทางความคิดอันเป็นสิทธิเบื้องต้นที่สากลรับรอง นำมาสู่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในรูปแบบใหม่และเปลี่ยนการเมืองการปกครองไทยจากระบอบ Constitution Monarchy เป็น Military Monarchy ในที่สุด

 

          อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยกำลังมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคมที่กำลังจะมาถึงนี้ เพื่อนำประเทศไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาดังเดิม   คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.)  เคยเรียกร้องให้ผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ นำกองทัพกลับสู่กรมกองเดิม ยุติบทบาท "ทหารนำการเมือง" กลับคืนสู่ "ทหารอาชีพ"  เพื่อทำหน้าที่ดังเดิมต่อไป และเรียกร้องให้รัฐบาล ตลอดจนสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ยุติการผลักดันและพิจารณากฏหมายใดๆ ภายหลังมีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งออกมา แต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ก็ได้ผ่าน พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ในคืนวานนี้อย่างรวบรัด รีบเร่ง โดยปราศจากการรับฟังเหตุผลของภาคประชาชนที่ชุมนุมคัดค้านอยู่หน้ารัฐสภา การกระทำการอย่างหมกเม็ดของ สนช. ในช่วงท้ายก่อนการเลือกตั้งเพียง 3 วันนี้แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมทรามของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ชุดนี้ รวมถึงรัฐบาลของคณะรัฐประหาร ที่ต้องการสืบทอดอำนาจถาวร ซึ่งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.) มีความคิดเห็นและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

 

          1.ขอประณามการกระทำของรัฐบาลและ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่ผ่านมติกฏหมาย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร อันเป็นกฏหมายที่สืบทอดอำนาจระบอบทหารในสังคมไทย ต่อจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 การลงมติสนับสนุนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในครั้งนี้ เท่ากับเป็นการประจานตัวเองต่อสังคมไทยและประชาคมโลก และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ทั้ง 115 คน จะต้องรับผิดชอบในการออกกฏหมายละเมิดสิทธิมนุษยชนฉบับนี้ที่บังคับใช้ถาวร ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนอีกกว่า 65 ล้านคนโดยไม่ได้ส่วนร่วมใดๆ

 

          2.คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.) ขอเรียกร้องให้รัฐบาลหน้า ท่าจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากพรรคใด ยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2550 ฉบับนี้อย่างเร่งด่วน เพื่อยุติการสืบทอดระบอบทหารและสร้างอำนาจรัฐซ้อนรัฐ คุกคามฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติโดยกลไกรัฐหน่วยงานเดียวคือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) มีอำนาจครอบจักรวาลในด้านความมั่นคง

 

          3.การออกกฏหมาย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2550 ฉบับนี้ ซึ่งมีเนื้อหาในการให้อำนาจ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(ผอ.กอ.รมน.) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกโดยตำแหน่ง ใช้อำนาจลิดรอนสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เทียบเท่าการประกาศภาวะฉุกเฉินถาวร ทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ไม่ปกติ ย่อมขัดต่อกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ รัฐบาลไทย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และผู้บัญชาการทหารบกจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าว หากองค์การสหประชาชาติกล่าวหามายังประเทศไทย

 

 

ทหารพร้อมดูแลเลือกตั้งตั้งวอร์รูมรับเหตุป่วน-เล็งใช้พรก.ฉุกเฉิน

เว็บไซต์คมชัดลึก- พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมซึ่งมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ ผอ.กอ.รมน. เป็นประธาน ได้สรุปการทำงานในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา และเน้นย้ำเรื่องการเลือกตั้ง โดยให้เจ้าหน้าที่เชิญชวนประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง

 

          โฆษก กอ.รมน.กล่าวว่า ในการไปร่วมงานกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะมีภารกิจเฉพาะในการรักษาความปลอดภัยการเลือกตั้งทั่วประเทศ โดยการสนับสนุน กกต.ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช้เจ้าหน้าที่ 3,040 คน  รองลงมาคือพื้นที่ในภาคอีสานในความรับผิดชอบของ กอ.รมน.ภาค 2 ใช้ทหาร 932 คน ส่วนในพื้นที่ภาคกลางในความรับผิดชอบของ กอ.รมน.ภาค 1 และพื้นที่ภาคเหนือในความรับผิดชอบของ กอ.รมน.ภาค 3 นั้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงพอ ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ยังได้เน้นย้ำเรื่องการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมนี้ ไปจนถึงช่วงหลังเลือกตั้ง และหลังเทศกาลปีใหม่ด้วย โดยให้ กอ.รมน.ประสานงานกับตำรวจ โดยประชุมร่วมกันกับตำรวจนครบาลในการรักษาความปลอดภัย โดยเรียกว่าเป็น "แผนรักษาความปลอดภัยกรุงเทพมหานคร"

 

          ทั้งนี้ จะมีการตั้งด่านตรวจดูแลสถานที่สำคัญรอบกรุงเทพมหานครในช่วงหลังเลือกตั้งไปถึงปีใหม่ ใช้เจ้าหน้าที่ประมาณ 1,000 คนเศษ และมีแผนในการติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด หรือซีซีทีวี ในจุดสำคัญใน 38 เขตทั่ว กทม.จำนวน 1,300 จุด ขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จ 400 จุด และคาดว่าจะติดตั้งได้เสร็จครึ่งหนึ่งก่อนปีใหม่ ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบจากการเลือกตั้ง ก็จะใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชบัญญัติสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ จะมีการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยช่วงหลังเลือกตั้ง โดยมอนิเตอร์เหตุการณ์ต่างๆ ไว้ตลอด

 

 

"พีเน็ต-อันเฟรล" ดอดพบ "สนธิ" รายงานสถานการณ์ซื้อเสียง "บิ๊กบัง" เปิดห้องทำงานเปิดใจสื่อทำเนียบ ฮึ่ม สั่งมท.-สตช. ออกมาตรการสกัดคืนหมาหอน

เว็บไซต์แนวหน้า - ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี ได้เชิญผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลไปพบและให้สัมภาษณ์เปิดใจที่ห้องทำงาน ตึกบัญชาการ หลังจากได้หารือกับองค์กรเครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี(อันเฟรล)และมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย(พีเน็ต)ว่า ทั้งสององค์กรได้มีการแสดงความเป็นห่วงเรื่องการซื้อสิทธิขายเสียง โดยตนจะสั่งการไปยังกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกองทัพ ในการออกมาตรการป้องปราม และสกัดกั้นการขายเสียง รวมทั้งสกัดการขนเงินที่จะใช้ซื้อเสียงเข้าไปในหมู่บ้าน ซึ่งยังเชื่อว่าเงินจำนวนก้อนใหญ่ยังไม่ออก แต่จะมีการซื้อเสียงกันอย่างรุนแรงในช่วงคืนนี้ และพรุ่งนี้ (22 ธ.ค.) และก็จะได้มีการสั่งการไปยังจังหวัดต่าง ๆ ให้ช่วยกันควบคุมดูแลทำให้ 2 คืนสุดท้ายไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียง

 

          พล.อ.สนธิ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ทางพีเน็ตยังเป็นห่วงการที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านบางส่วนไปทำหน้าที่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งจะไปมีบทบาทในการกำกับการลงคะแนนของประชาชนได้ ทั้งนี้ยังได้ขอให้มีการช่วยกันรณรงค์เพื่อประชาชนกล้านำมาให้ข้อมูลและแจ้งเรื่องการซื้อเสียงเช่นเดียวกับชาว จ.มหาสารคาม ซึ่งเท่าที่พบปัญหาประชาชนเองก็ยังไม่ทราบว่าจะมาแจ้งเรื่องการทุจริตที่ใด ทั้งนี้เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการซื้อเสียงกันเยอะมาก และมีสำนวนการร้องเรียนทุจริตอยู่ที่ กกต.เป็นจำนวนมาก

 

          พล.อ.สนธิ กล่าวด้วยว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งนั้น อยากฝากไปถึงพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่จะเข้ามาบริหารประเทศว่าการเมืองต่อไปข้างหน้า อยากเห็นบ้านเมืองที่มีความสงบเรียบร้อย รัก และสามัคคีกัน เหมือนอย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัสออกมา การเลือกตั้งเข้ามาคราวนี้ไม่ใช่จะเข้ามาเพื่อแก้แค้นกัน หรือทำให้เกิดความหวาดระแวงกัน หรือเกิดการขัดแย้งทะเลาะวิวาท คงต้องปรับทัศนคติให้รู้รักสามัคคีกันมาก ๆ เพราะเราต้องการเห็นอนาคตของบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นไม่ว่านักการเมืองคนใดได้เข้ามา ก็ต้องยอมรับ เพราะประชาชนเป็นผู้เลือก ควรเลิกคำนึงถึงปัญหาทั้งหมด และหันกลับมาวางแนวทางให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า และใช้ความสมานสามัคคีเป็นตัวตั้ง บริหารประเทศชาติภายใต้วัฒนธรรมทางการเมือง และวัฒนธรรมในการบริหารประเทศของบ้านเรา โดยต้องเน้นสถาบันชาติเป็นสำคัญ และสถาบันอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องดำรงรักษาไว้ให้เป็นแก่นสาร มีความชัดเจนและเข้มแข็ง

 

          เมื่อถามว่า ถ้าพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งและเข้ามาบริหารประเทศจะถือว่า คมช.เสียหน้าหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เราอย่าไปมองอย่างนั้น สิ่งที่มันต้องผ่านไป ก็ต้องผ่านไป เราจะพูดถึงแต่อนาคต คมช.เองถึงอย่างไรก็ไม่มีหน้าตาอยู่แล้ว แต่ต้องห่วงหน้าตาประเทศชาติ ต้องยุติการจะไปมองว่าใครจะได้หน้าเสียหน้า

 

          เมื่อถามว่า ถ้านายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน มาเป็นนายกฯ เราก็พร้อมยอมรับใช่หรือไม่ พล.อ.สนธิ ตอบว่า ก็ถือว่าเป็นมติของประชาชนทั้งประเทศ เพียงแต่อยากจะขอหรืออ้อนวอนว่า บ้านเมืองของเรารอไม่ได้ ต้องหันกลับมาคิดตรงนี้

 

          เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมา ว่ามีอำนาจที่มองไม่เห็นไปสั่งล็อคให้พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดิน ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเพื่อสกัดพรรคพลังประชาชน จะให้ความมั่นใจได้หรือไม่ว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองธรรมชาติ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกระแสข่าว ตนถามว่ามันพิสูจน์ได้หรือไม่ เพราะกระแสทางการเมืองมันเป็นเรื่องที่ลึกล้ำมาก เรื่องเหล่านี้ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ ข้อเท็จจริงในเรื่องเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับกระบวนการหรือวิธีการทางการเมือง

 

          เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าท่านไม่ได้สั่งล็อบบี้พรรคการเมืองเหล่านั้นเพื่อไม่ให้บล็อคพรรคพลังประชาชน พล.อ.สนธิ กล่าวว่า นักการเมืองทุกคนเขามีประสบการณ์มากกว่าเราเยอะ และเราไม่ได้ไปคุ้นเคยอะไรกันถึงขนาดที่ไปพูดแล้วเขาจะต้องมาเชื่อฟัง

 

          เมื่อถามว่า นักการเมืองมีประสบการณ์แต่พล.อ.สนธิมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า อำนาจมันอยู่ตรงไหน รองนายกรัฐมนตรีมีอำนาจอะไร

 

          เมื่อถามต่อว่า เมื่อท่านยืนยันว่าท่านไม่มีอำนาจแล้ว ท่านถูกสั่งมาอีกต่อหนึ่งจากใครหรือไม่ พล.อ.สนธิ ตอบว่า ต้องเข้าใจว่าการทำปฏิวัติรัฐประหารที่ผ่านมา เรามองที่ประชาชนที่เป็นคนส่งข้อมูลมาให้เรา เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนเดือดร้อน เราไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น

 

          "ถ้าเผื่อสนธิคนนี้เป็นคนอื่น และเป็นคนบ้าอำนาจ อยากมีอำนาจก็คงไม่ใช่ ถ้าจะถามว่ามีใครชี้นำอยู่ข้างบนใช่ไหม บอกได้เลยว่าไม่จำเป็น เพราะความรับผิดชอบต่อกองทัพและประเทศชาติเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ต้องมีใครมาชี้นำ แต่ประชาชนนี่แหล่ะชี้นำ"พล.อ.สนธิกล่าว

 

          ผู้สื่อข่าวถามว่า เกรงหรือไม่ว่าถ้าพรรคพลังประชาชนกลับมา สิ่งที่ทุกฝ่ายทำกับฝ่ายเขาจะไม่มีการมาเอาคืน พล.อ.สนธิ กล่าวว่า มันพูดอย่างนั้นก็คงไม่ได้ เพราะกฎหมายก็คือกฎหมาย ไม่ว่าใครทำอะไรจะผิดกฎหมายหรือไม่ ก็ต้องให้กฎหมายเป็นตัวชี้วัดการกระทำของแต่ละบุคคล สำหรับตนเมื่อภาระหน้าที่เราจบ เราก็จบ ยืนยันเราไม่สร้างฐานอำนาจ ไม่ต้องการสร้างบริวาร

 

          เมื่อถามว่า เกรงหรือไม่ว่าสมาชิก คมช.คนอื่นไม่ยอมจบ ทั้งที่ท่านประกาศว่าจะจบ และหากพรรคพลังประชาชนกลับเข้ามาจะไม่ตามไปบี้เขาต่อ พล.อ.สนธิ ตอบว่า ทุกคนต้องการสนองพระราชดำรัส เราเป็นข้าราชการในกองทัพ ยืนยันว่าสนองพระราชดำรัส 100%

 

          เมื่อถามต่อว่า แม้พรรคพลังประชาชนกลับเข้ามาแล้วก่อความวุ่นวาย กองทัพก็จะไม่เคลื่อนไหวใช่หรือไม่ พล.อ.สนธิ ตอบว่า ต้องยอมรับว่า ถึงเวลาหนึ่งเมื่อมีรัฐบาล ข้าราชการหรือกองทัพก็ต้องเป็นเครื่องมือของรัฐบาล แต่คนที่จะกระทบได้รับความเดือดร้อนก็คือประชาชน ดังนั้นประชาชนก็ต้องคิดและทบทวน ซึ่งก็คงต้องไปใช้ระบบตรวจสอบทางรัฐสภา หรือการลงชื่อขับไล่ตามกฎหมาย

 

          เมื่อถามว่า กลัวหรือไม่ว่าพรรคพลังประชาชนกลับเข้ามาแล้วจะไม่จบกับท่านด้วย พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ไม่กลัว มาตรการทางกฎหมายมันมีอยู่ และตนเชื่อว่าทำอะไรลงไปมีประชาชนเยอะแยะที่เขามองอยู่

 

          เมื่อถามว่า คิดว่าจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกหรือไม่ พล.อ.สนธิ ตอบว่า ตอบไม่ได้ แต่ที่สำคัญคือการบริหารประเทศ รัฐบาลจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ถ้ารักประเทศชาติ และปกครองประเทศด้วยดีก็ไม่มีใครปฏิวัติหรอก ทั้งโลกไม่มีใครอยากปฏิวัติ

 

          ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวว่าพล.อ.สนธิได้โทรศัพท์ไปถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพื่อเจรจายุติปัญหาความขัดแย้ง จบกันเพียงเท่านี้ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เรื่องนี้พิสูจน์ได้ไม่ยาก ต้องดูกระแสฝั่งโน้น ถ้าไปทำอย่างนั้นจริง หน้าตาของเราคงจะดูยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน ซึ่งมันไม่ใช่หน้าที่เราที่จะต้องไปติดต่อ และเราไม่ได้มีอำนาจอะไรที่พ.ต.ท.ทักษิณต้องมาติดต่อ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

 

          เมื่อถามต่อว่า หากขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายสมัครนั่งอยู่ตรงหน้า ท่านอยากจะฝากอะไรไปถึง พล.อ.สนธิ ตอบว่า อยากบอกว่าบ้านเมืองต้องมองที่อนาคต ขอให้นำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้เถอะ ตนไม่มีอะไรที่ต้องการจากคนที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศ ต้องเอาบ้านเมืองของเราเป็นหลัก ประชาชนและเกษตรกรที่ยังเดือดร้อนยากจนอยู่ ทำอย่างไรเขาถึงจะมีกิน มีรายได้มากขึ้น ทำอย่างไรจะยกระดับราคาสินค้าเกษตร ชีวิตเกษตรกร และแรงงานจะได้ดีขึ้น และทำอย่างไรองค์กรในการบริหารประเทศทั้งหมดจะดีขึ้น ควรมองตรงนั้นกันดีกว่า และก็สนองพระราชดำรัสเสีย ต้องรักษาสถาบันไว้ ส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณก็ออกมาเรียกร้องความสมานฉันท์นั้น ก็ถูกต้องแล้ว

 

          เมื่อถามว่า หลังการเลือกตั้งไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ท่านพร้อมจะเชิญพ.ต.ท.ทักษิณให้กลับประเทศหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า อยากให้มาจริง ๆ จะได้มาพิสูจน์ว่ามันผิดหรือถูกอย่างไร นี่ประเทศไทยจะไปห้ามใครได้อย่างไร และถ้าพ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามา อาจจะไม่มีเหตุรุนแรงอะไร ไม่แน่ท่านอาจจะกลับข้าง ถึงวันนั้นท่านอาจจะเปลี่ยนมารับกระแสพระราชดำรัสก็ได้

 

          เมื่อถามว่า มองว่าไม่ว่าพรรคพลังประชาชนหรือประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล บ้านเมืองจะกลับสู่ความสงบหรือไม่ เพราะขณะนี้คนเริ่มเบื่อและกลัวว่าจะเกิดความขัดแย้ง พล.อ.สนธิ ตอบว่า "ผมขอพนันกับสื่อ เอาแค่แป๊บซี่คนละขวด พอผลการเลือกตั้งออกมาถ้าพรรคพลังประชาชนชนะ ทุกอย่างเรียบร้อย ถ้าพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาล ผมเชื่อได้เลยว่ามันเปลี่ยนไปเยอะ เพราะฝ่ายเขาจะไม่ออกมาทำอะไร เนื่องจากกระแส เพราะขณะนี้ที่ทำอยู่คือกระแสทางการเมืองเพื่อเตรียมการเอาชนะในการเลือกตั้ง"

 

 

คตส.ยื่นอสส.ฟันทุจริตหวยบนดินแล้ว

เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือคตส. และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ คตส. ได้นำหลักฐานเอกสารผลสรุป การไต่สวนคดีการกระทำผิดในการออกสลากเลขท้ายพิเศษ 2 และ 3 ตัว หรือ หวยบนดิน จำนวน 2 ชุด ทั้งเอกสารตัวจริงและสำเนา รวม 8 ลัง  มาส่งมอบให้ นายธนะธิป มลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพย์กร ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นผู้รับแทนอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณามีความเห็นสั่งคดีต่อไป

 

         โดยคุณหญิงจารุวรรณ มั่นใจ พยายามหลักฐานทั้งหมดเพียงพอจะเอาผิดกับผู้กระทำผิดได้ รวมถึง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  ที่เป็นผู้เร่งรัดในการออกสลากดังกล่าว จนทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ  อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157ปฏิบัติหน้าที่มิชอบและความผิดทางคดีแพ่ง

 

          ขณะที่ นายธนะธิป กล่าวว่าหลังจากที่ได้รับสำนวน แล้วจะส่งให้ นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุดในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณาคดีดังกล่าวเป็นผู้พิจารณาเพื่อเรียกประชุมคณะทำงานในการมอบหมายหน้าที่ ในเร็วๆนี้

 

          ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาในคดีดังกล่าวที่คณะอรุกรรมการไต่สวนได้ตั้งข้อกล่าวหามีทั้งสิ้นจำนวน 47 คน ประกอบด้วย อดีตคณะรัฐมนตรีจำนวน 30 คนนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1

 

          ขณะที่ นายประมวล รุจนเสรี และ นายปองพล อดิเรกสาร นั้นคตส. ไม่ได้ชี้มูลความผิด เนื่องจาก สามารถพิสูจน์ได้ว่า ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่มีมติ นอกจากนี้ ยังมีผู้ถูกตั้งข้อกล่าวหาในส่วนของผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลทั้ง 2 ชุด จำนวน 17 คนด้วย

 

 

 

บีบรัฐบาลใหม่ตั้งงบขาดดุลเพิ่ม

เว็บไซต์เดลินิวส์ -นายโอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษากิตติม ศักดิ์ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) กล่าวในการสัมมนา "เศรษฐกิจปีใหม่กับรัฐบาลใหม่" ว่า รัฐบาลชุดใหม่จะให้ความสำคัญกับการตั้งงบประมาณกลางปี ในปีงบประมาณ 51 เพิ่มเติมแน่นอน เพราะจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มจาก 1.5% ในปี 50 เป็น 2.5% ซึ่งมั่นใจว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเลือกแนวทางการเพิ่มเงินเดือนให้กับข้าราชการอีกครั้งในช่วงกลางปี ขณะเดียวกันต้องพิจารณาแนวทางที่ธนา คารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้ดูแลค่าเงินบาทรัฐบาลและการถือครองเงินตราต่างประเทศในขณะนี้ว่าเหมาะสมหรือไม่ หากเห็นว่าเหมาะสมแล้วก็ควรจัดประชุมทำความเข้าใจแก่นักลงทุนและชี้แจงให้ประชาชนรับทราบเป็นการทั่วไป ซึ่งจะทำให้ประชาชนและนักลงทุนนำไปใช้วางแผนทำธุรกิจในอนาคตต่อไป

 

          ทั้งนี้จากการ ที่ ธปท.ได้ปรับนโยบายการถือครองสกุลเงินตราต่างประเทศ โดยลดสัดส่วนเงินดอลลาร์สหรัฐลงเหลือเพียง 55% เพิ่มการถือครองเงินยูโรเป็น 35% และถือครองเงินเยน ตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ก็เชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้ ธปท.จะมีผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเพียง 5,000-10,000 ล้านบาทเท่านั้น จากที่เคยขาดทุนถึง 120,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ส.ค.50 และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าที่ระดับ 33.61 บาทต่อดอลลาร์

 

          ด้านนายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สวค. กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลใหม่ควรตั้งงบประมาณกลางปี 51 เพิ่มอีก 80,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 0.42% จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 5% ซึ่งจะช่วยรองรับหรือประคองเศรษฐกิจไทยไว้ได้หากต้องได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและสหรัฐที่ชะลอตัวลดลง แต่มีข้อแม้ว่า การตั้งงบประมาณกลางปีต้องนำไปใช้เพื่อการลงทุนเท่านั้น และรัฐบาลยังต้องใช้งบประมาณขาดดุลต่อเนื่องไปจนถึงงบประมาณปี 52 อีก 1.5% หรือประมาณ 1.47 ล้านล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในระดับ 5-6% จากนั้นจึงค่อยกลับมาจัดทำงบประมาณสมดุลในปี 53

 

          นอกจากนี้รัฐบาลใหม่ต้องใช้นโยบายภาษีเพื่อจูงใจการลงทุนของเอกชนด้วยการต่ออายุมาตรการลดภาษีเงินได้สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และตลาดเอ็มเอไอ และสนับสนุนบริษัทที่อยู่นอกตลาดให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วยเช่นกัน รวมถึงเอสเอ็มอี ที่เกิดใหม่ ควรยกเว้นการจัดเก็บภาษีใน 2 ปีแรก โดยเริ่มเก็บในปีที่ 3 เพื่อให้เติบโตได้อย่างเต็มที่ก่อน

 

 

กองทุนฟื้นฟูโล่งอนุมัติต่ออายุ 4 ปี

เว็บไซต์เดลินิวส์ - นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกฎหมายและคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการการคลังการธนาคารและสถาบันการเงิน ได้แก้ไขประเด็นเกี่ยวกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินใน พ.ร.บ. ธปท.ไป จากเดิมให้ปิดกองทุนฟื้นฟูฯ ยุติบท บาทช่วยเหลือสถาบันการเงิน หลังจากมีสถา บันคุ้มครองเงินฝาก จะยังไม่ปิดกองทุนฟื้นฟูฯ หลังจากมีสถาบันประกันเงินฝาก 4 ปีแรก และกองทุนฟื้นฟูฯ จะเข้าไปช่วยเหลือไม่ให้สถาบันการเงินล้มได้ แต่ต้องขออนุมัติจาก ครม.ก่อน หากครม.อนุมัติแล้ว กองทุนฟื้นฟูฯ ต้องมีภาระอะไรในการเข้าไปช่วยสถาบันการเงิน ครม. ต้องจัดทำงบประมาณรับภาระส่วนนั้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในช่วง 4 ปีหลังจากตั้งสถาบันประกันเงินฝาก สถาบันการเงินไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

 

          "แนวคิดนี้เป็นของนายอัมมาร สยามวาลา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้เสนอ ถ้ารัฐบาลต้องการให้ธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ล้ม ก็ต้องจำเป็นจริง ๆ เป็นการบังคับรัฐบาลให้ทำอะไรระมัดระวัง เพราะถ้าเข้าไปช่วย หมายถึงต้องไปเพิ่มในงบประมาณ"

 

          ในส่วนของ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ระบุว่า หากธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนขั้นที่ 1 ต่ำกว่า 8.5 จะต้องแก้ไขฐานะ หากลดลงมาต่ำกว่า 5 ธปท. จะเข้าควบคุมการดำเนินงาน ยกเว้นจะมีเงินเข้ามาเพิ่มทุน และหากลดต่ำกว่า 3 จะต้องปิดตัวลง เว้นแต่ส่งผลกระทบต่อระบบ ก็ไม่ควรปิดตัว ซึ่งถ้าเป็นไปตามแนวคิดคณะกรรมการธิการระบุใน พ.ร.บ.ธปท. กองทุนฟื้นฟูฯ ก็สามารถเสนอ ครม. ให้เข้าไปช่วย เหลือได้เมื่อเกิดกรณีนี้

 

 

 

ตานฉ่วยปลุกขวัญทหารยอมเสียสละชีพเพื่อชาติ

เว็บไซต์เดลินิวส์-  หนังสือพิมพ์นิวไลต์ออฟเมียนมาร์ ของทางการพม่า รายงานเมื่อวันพฤหัสบดีว่า พล.อ.อาวุโสตาน ฉ่วย ประธานสภาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐผู้นำพม่า กล่าวปราศรัยในระหว่างเป็นประธานในวันสำเร็จการศึกษาของโรงเรียนทหารพม่าเรียกร้องให้ทหารเสียสละ อุทิศชีวิตเพื่อชาติและประชาชน พล.อ.อาวุโสตาน ฉ่วย ระบุว่า การเสียสละ ความสามัคคี เป็นหนึ่งเดียวของทหาร เป็นมาตรการดีที่สุดในการรับประกันความเป็นเอกราชของชาติ และเป็นเครื่องป้องกันภัยคุกคามที่จะมีขึ้นต่อประเทศได้ดีที่สุดเช่นเดียวกัน

 

          ทั้งนี้ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวและภาพของ พล.อ.อาวุโสตาน ฉ่วย ปรากฏในสื่อของทางการพม่าอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่โดยปกติ ผู้นำสูงสุดของพม่าจะปรากฏตัวต่อสาธารณชนน้อยครั้งมาก นักวิเคราะห์ระบุว่า น่าจะเป็นการตอบโต้ข่าวลือเรื่องสุขภาพของตาน ฉ่วย รวมถึงแสดงท่าทีตอบโต้แรงกดดันจากประชาคมโลกที่มีต่อรัฐบาลทหารพม่า จากเหตุล้อมปราบผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยไปในคราวเดียวกัน

 

          ตาน ฉ่วยเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ซึ่งมีทหารมากกว่า 500,000 นาย เขาปกครองประเทศด้วยกฎเหล็กจากกรุงเนย์ปิดอว์ เมืองหลวงใหม่ ซึ่งเขาต้องสั่งถางป่าในภาคกลางของพม่าเพื่อสร้างเมืองหลวงใหม่เมื่อ 2 ปีก่อน

 

          เมื่อพระสงฆ์นำประชาชนมากกว่า 100,000 คนประท้วงตามท้องถนนในกรุงย่างกุ้งเพื่อประท้วงรัฐบาลในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ทหารได้ยิงปืนเข้าใส่ฝูงชนเพื่อปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วง มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

 


สเปนออก ก.ม.ห้ามตีลูก

เว็บไซต์ไทยรัฐ - สเปนเป็นประเทศล่าสุดในยุโรปที่เตรียมออกกฎหมายห้ามพ่อแม่ตีลูกหลังจากที่ได้รับอนุญาตให้ใช้วิธีการแบบกลางๆ และมีเหตุผลในการบ่มเพาะเด็ก โดยเมื่อ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา รัฐสภาสเปนลงมติให้ผ่านกฎหมายห้ามพ่อแม่ผู้ปกครองลงโทษลูกหลานโดยการตีเพื่อเป็นการรักษาความสมบูรณ์ของเด็กทั้งทางกายและทางใจ รายงานระบุรัฐบาลสังคมนิยมของสเปนมักถูกวิพาษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้าน อาทิ พรรคป๊อปปูลาร์ ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษนิยม ว่ากำลังทำลายคุณค่าและรูปแบบครอบครัวแบบดั้งเดิมโดยนโยบายเช่น การออกกฎหมายรับรองการสมรสของคู่รักร่วมเพศสำหรับกฎหมายห้ามตีลูกทางพรรคมองว่าจะทำให้พ่อแม่กลายเป็นคนไร้อำนาจ ปัจจุบันมี 16 ประเทศในยุโรปที่ออกกฎหมายคุ้มครองไม่ให้เด็กถูกตีทั้งที่บ้านและโรงเรียน

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท