ห้องสมุดในอังกฤษกำลังเผชิญวิกฤติ ทั้งผู้ใช้ที่ลดลง และการตัดงบประมาณ

(ที่มาภาพ: http://law.uwe.ac.uk)

ห้องสมุดสาธารณะต้องปิดตัวลงอย่างต่อเนื่องหลายแห่งที่ประเทศอังกฤษ สืบเนื่องมาจากการตัดงบประมาณ รวมถึงคนใช้บริการก็มีจำนวนลดลง

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 เป็นต้นมาจำนวนของผู้ยืมหนังสือจากห้องสมุดสาธารณะในอังกฤษลดลงจาก 17 ล้านคน เป็น 13 ล้านคน หรือคิดเป็น 25% และเมื่อปีที่แล้วมีห้องสมุดกว่า 71 แห่งต้องปิดตัวลงไป

จากตัวเลขอันน่าตกใจนี้ทำให้รัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของพรรคแรงงานต้องออกมาจัดการ ด้วยนโยบายการรณรงค์ให้ปี ค.ศ. 2008 เป็นปีแห่งการอ่าน

แต่ ดอน ฟอสเตอร์ (Don Foster) ส.ส. จากพรรคเสรีนิยม (Liberal Democrat) กล่าววิจารณ์รัฐบาลพรรคแรงงานว่า ทั้งๆ ที่เอ็ด บอลล์ (Ed Balls) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชน การศึกษา และครอบครัว (Secretary of State for Children, Schools and Families)* ได้ประกาศไว้ว่า ปี 2008 นี้จะเป็นปีแห่งการอ่านหนังสือ แต่ตอนนี้เรายังไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย

"ด้วยแผนการการปิดที่ทำการไปรษณีย์และโรงเรียน เราก็ได้เห็นแจ่มแจ้งแล้วว่าท้องถิ่นต่างๆ ได้รับผลกระทบแค่ไหน จากการบริหารราชการของพรรคแรงงาน" - ฟอสเตอร์กล่าวเสริม

ทั้งนี้ลอนดอนเป็นเขตเดียวในประเทศ ที่เมื่อปีที่แล้วห้องสุมดถูกปิดตัวลงน้อยกว่าการเปิดทดแทน ส่วนทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห้องสมุดในเขตนี้จะต้องถูกปิดลงหนึ่งแห่งในทุกๆ สามสัปดาห์ และจำนวนของผู้ที่ใช้บริการลดลงจาก 17,211,000 คน ในปี ค.ศ. 2001 เหลือเพียง 13,035,000 เมื่อปีที่แล้ว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มาการ์เร็ต ฮอดจ์ (Margaret Hodge) กล่าวโทษว่าเป็นปัญหาของสภาท้องถิ่นแต่ละที่ที่ต้องการตัดงบประมาณส่วนนี้ไป และเธอก็บอกว่าเธอไม่มีอำนาจแทรกแซงในการตัดสินใจในแต่ละที่

แต่วัฒนธรรมรักการอ่านของคนอังกฤษก็พอยังที่จะต้านทานการปิดห้องสมุดได้ในบางที่..เพราะยังคงมีการประท้วงจากชุมชนบ้างเหมือนกันหากสภาท้องถิ่นต้องการตัดงบประมาณห้องสมุด

อย่างเช่นเมือง Dudley มีการประท้วงหลังจากที่สภาท้องถิ่นมีมติให้ปิดห้องสมุด 5 แห่ง เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ที่เมือง Dorset แผนการปิดห้องสมุด 13 แห่งต้องถูกยกเลิกเนื่องจากชุมชนท้องถิ่นได้ช่วยเหลือเอาไว้ และที่เมือง Southampton มีการประท้วงในการพยายามตัดงบประมาณห้องสมุด 5 แห่ง

นอกจากนี้ผลการสำรวจจากองค์กรเกี่ยวกับการศึกษาในระดับนานาชาติยังได้แสดงให้เห็นว่าทักษะการอ่านของเด็กอังกฤษตกลงอย่างน่าใจหาย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

เพราะจากรายงานการศึกษาความก้าวหน้าของการอ่านออกเขียนได้นานาชาติ (Progress in International Reading Literacy Study: PIRLS) เมื่อปี ค.ศ. 2006 ได้จัดอันดับให้อังกฤษอยู่ในอันดับที่ 19 ซึ่งตกมาจากอันที่ 3 ในปี ค.ศ. 2001

ทั้งนี้อาจจะเป็นผลกระทบจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพราะจากการสำรวจพบว่ากว่า 37% ของเด็กอายุสิบขวบในอังกฤษเล่นเกมคอมพิวเตอร์วันละ 3 ชั่วโมง

* เป็นกระทรวงใหม่ที่นายกรัฐมนตรี กอร์ดอน บราวน์ (Gordon Brown) ตั้งขึ้นมาใหม่แทนกระทรวงศึกษาธิการและทักษะ (Department for Education and Skills) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2007

ที่มา:

2008 is Labour's year of reading - but one library is closing every week (The Daily Mail - February 11, 2008)

England slides down world literacy league (Telegraph - November 30, 2007)