น.พ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตประธานคณะกรรมการสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรโดยรัฐ และอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(น.พ.มงคล ณ สงขลา) ผู้มีบทบาทสำคัญในการทำซีแอลยาโรคมะเร็ง 4 รายการ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ประเทศไทยไม่ควรกังวลมากเกินไปว่าจะถูกอียูตอบโต้ทางการค้าภายหลังการประกาศทำซีแอล เนื่องด้วยเวลานี้อียูยังเฉยๆ ต่อกรณีดังกล่าว ขณะเดียวกันที่ผ่านมารัฐสภาของอียูก็ได้มีมติอย่างชัดเจนในการสนับสนุน และไม่แทรกแซงประเทศกำลังพัฒนาในการทำซีแอล
"อียูเขาเฉยๆ มติรัฐสภาเขาก็สนับสนุนเรื่องทำซีแอล ส่วนสหรัฐอเมริกาที่เรากลัวว่ากรณีที่เราทำซีแอลยาอีก 3 รายการจะทำให้เขาปรับสถานะเราเป็นประเทศคู่ค้าที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามากที่สุด(PFC) ข้อเท็จจริงเวลานี้รัฐบาลสหรัฐฯก็ยังเฉยๆไม่ได้เต้นตาม"
อนึ่ง จากการตรวจสอบเงื่อนไขการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี)ของอียูไม่ได้ระบุเงื่อนไขในการตัดสิทธิ์อันเนื่องมาจากการไม่ให้ความร่วมมือในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเหมือนสหรัฐฯ แต่เกณฑ์ในการตัดจีเอสพีของอียูจะมาจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากประเทศใดประเทศหนึ่งมีสัดส่วนเกินเพดานที่กำหนด รวมถึงใช้เกณฑ์ระดับรายได้ประชากรของคู่ค้าเป็นหลัก
น.พ.วิชัย กล่าวอีกว่า การทำซีแอลยาถือเป็นความจำเป็นที่ต้องทำ มีเหตุผลหลักคือการช่วยให้ป่วยภายใต้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติสามารถเข้าถึงยาจำเป็นได้ในราคาถูกและยามีคุณภาพดีทัดเทียมกับยาที่ติดสิทธิบัตรที่ขายในราคาแพงมาก อาทิ ยาโดซีแท็กเซล ที่ใช้รักษามะเร็งปอดและมะเร็งเต้านม ซึ่งยาที่มีสิทธิบัตรมีราคาสูงถึง 25,000 บาทต่อเข็มขนาด 80 มิลลิกรัม ขณะที่ยาชื่อสามัญที่มีคุณภาพทัดเทียมกันในขนาดเดียวกันมีราคาเพียง 4,000 บาท หรือต่างกันกว่า 6 เท่า
ส่วนยาเลโทรโซล รักษามะเร็งเต้านม ยาที่มีสิทธิบัตรราคา 230 บาทต่อเม็ดขนาด 2.5 มิลลิกรัม ขณะที่ยาชื่อสามัญที่มีคุณภาพทัดเทียมกันมีราคาเพียงเม็ดละ 6-7 บาท ต่างกันถึงกว่า 30 เท่า ยาเออร์โลทินิบ รักษาโรคมะเร็งปอด ยาที่มีสิทธิบัตรราคา 2,750 บาทต่อเม็ดขนาด 150 มิลลิกรัม ขณะที่ยาชื่อสามัญที่มีคุณภาพทัดเทียมกันราคาเพียงเม็ดละ 735 บาทต่างกันเกือบ 4 เท่า และยาอิมาทินิบ รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และโรคมะเร็งทางเดินอาหาร ราคา 917 บาทต่อเม็ดขนาด 100 มิลลิกรัม ขณะที่ยาชื่อสามัญที่มีคุณภาพทัดเทียมกันราคาเม็ดละ 50-70 บาท หรือต่างกันเกือบ 20 เท่า
"หากทบทวนเรื่องการทำซีแอลยามะเร็งทั้ง 4 รายการข้างต้นของรัฐมนตรีทั้งสามกระทรวงมีมติให้ทำซีแอลต่อทางกระทรวงก็มีแผนที่จะนำเข้ายาตัวแรกคือ ยาโดซีแท็กเซลจากอินเดียเข้ามาทันที เพราะเวลานี้ได้ทำการตรวจสอบคุณภาพและขึ้นทะเบียนยาตามขั้นตอนของ อย.เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะนำเข้าให้ใช้ได้อย่างน้อย 6 เดือน ส่วนอีก 2 ตัวคือเลโทรโซล และเออร์โลทินิบ อยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณภาพเพื่อขึ้นทะเบียน ซึ่งทั้งหมดจะนำเข้าจากอินเดีย ส่วนอีก 1 ตัวคืออิมาทินิบจะยังไม่บังคับใช้สิทธิเพราะเจ้าของสิทธิบัตรมีโครงการช่วยเหลือให้ยาฟรีแก่ผู้ป่วย แต่หากเขาทำผิดข้อตกลงเราก็จะบังคับใช้สิทธิทันที"
แหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึง กรณีที่มีหลายฝ่ายชอบตั้งคำถามว่าไทยทำซีแอลแล้วจะประหยัดงบประมาณในการนำเข้ายาเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งล่าสุดเบื้องต้นมีการประเมินกันว่า ไทยจะได้ประโยชน์จากการทำซีแอลยามะเร็ง 4 รายการประมาณ 774 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริงอาจประหยัดได้เป็นพันล้านบาทต่อปี ขณะที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยมูลค่ามหาศาลหากถูกตอบโต้ทางการค้า ในเรื่องนี้ขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายไม่ควรประเมินชีวิตคนเป็นตัวเงิน แต่ควรคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงยาจำเป็นของประชาชนผู้มีรายได้น้อย ตัวอย่างในรอบ 20 ปีที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อเอดส์เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 500,000 คน หากคนเหล่านี้สามารถเข้าถึงยาได้ คาดจะยังมีชีวิตอยู่ไม่ต่ำกว่า 80% ซึ่งสามารถสร้างรายได้ในระบบเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล
ผู้ป่วยฟ้องศาล หากล้ม"ซีแอล" สับเอื้อบริษัทยา
น.ส.
"การทำซีแอลถูกต้อง ฉะนั้นไม่มีเหตุผลใดที่จะชะลอการดำเนินการต่อจากที่มีการประกาศ จึงควรที่จะหาทางนำเข้ายามาให้เร็วที่สุด" น.ส.สุภัทรา กล่าว
นพ.
"การทำซีแอลไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแม้แต่สหรัฐยังทำ แต่ปัจจุบันบริษัทยาข้ามชาติได้สร้างอิทธิพล สูงมาก ด้วยการทุ่มเงินจำนวนมหาศาลในการล็อบบี้นักการเมือง ไม่ให้รัฐบาลทำซีแอล" นพ.อำพน กล่าว
สหรัฐขู่ฟ้องดับบลิวทีโอไทยทำซีแอลไม่โปร่งใส
นาย
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า มีความเป็นไปได้ที่ไทยจะถูกสหรัฐฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) ให้ยกเลิกการบังคับใช้สิทธิซีแอล เนื่องจากสหรัฐเห็นว่าการประกาศซีแอลของไทยไม่โปร่งใส โดยไม่มีการหารือกับเจ้าของสิทธิบัตรก่อน อย่างไรก็ตามหากสหรัฐฟ้องไทยจริง ทางกระทรวงสาธารณสุขไทยจะต้องเป็นผู้ชี้แจงข้อกล่าวหา ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขไทยยืนยันตลอด ว่า ได้ดำเนินการประกาศซีแอลถูกต้องทุกขั้นตอน
นาง
ดร.
ด้านนาย
นาย
ยืนยันประชุม 3 ปลัดยังไม่สรุป
ส่วนการประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาซีแอล ระดับปลัดกระทรวงนั้น ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะมีการทบทวนหรือดำเนินการต่อการบังคับใช้สิทธิซีแอล เพราะข้อมูลที่นำมาหารือระหว่างกันยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง และจะต้องหารือกันต่อ
อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจว่าสหรัฐจะไม่จัดอันดับไทยขึ้นบัญชีประเทศที่มีการละเมิดสูงสุด (พีเอฟซี) ตามมาตรา 301 กฎหมายการค้าพิเศษสหรัฐ ที่จะมีการประกาศทบทวนสถานะการละเมิดประเทศคู่ค้าประจำปี 2551 ในช่วงปลายเดือน เม.ย.นี้ เนื่องจากมาตรการตอบโต้ที่จะนำมาใช้กับประเทศที่ถูกจัดอันดับพีเอฟซี มีความยุ่งยาก หลายขั้นตอน เพราะต้องแถลงให้สภาสหรัฐเห็นชอบ ดังนั้นการจัดสถานะละเมิดในปีนี้ คาดว่าไทยจะอยู่ในบัญชีประเทศที่ต้องติดตามเป็นพิเศษ (พีดับบลิวแอล) เหมือนปี 2550
นางอัญชนา วิทยาธรรมธัช รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า กรมได้เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สิทธิ์ของไทยภายใต้โครงการสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ของสหรัฐ และมูลค่าความเสียหายหากถูกตัดสหรัฐสิทธิ เพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมระดับรัฐมนตรีของ 3 กระทรวง ในการพิจารณากรณีของซีแอลยามะเร็ง 4 ชนิดแล้ว โดยในปี 2550 ไทยใช้สิทธิ์ประมาณ 20% ของมูลค่าการค้าไทย-สหรัฐ หรือประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ หากสหรัฐ ตัดสิทธิ์ จะทำให้ไทยต้องเสียภาษีนำเข้าสหรัฐในอัตราปกติ ซึ่งสูงกว่าภาษีส่งออกภายใต้จีเอสพี และส่งผลต่อเนื่องให้ผู้ส่งออกไทยอาจเสียศักยภาพในการแข่งขันและกระทบต่อมูลค่าการส่งออกได้
สำหรับโครงการจีเอสพีของสหรัฐในปัจจุบันจะสิ้นสุดโครงการวันที่ 31 ธ.ค. 2551 แต่ขณะนี้สหรัฐยังไม่ได้ประกาศว่าจะทบทวนโครงการใหม่หรือไม่ จากปกติจะต้องประกาศในราวเดือน ก.พ. อาจเป็นเพราะสหรัฐอยู่ในช่วงของการเลือกตั้งประธานาธิบดี หากมีการประกาศทบทวนโครงการเมื่อไร กรมก็จะยื่นเรื่องขอคืนสิทธิ์ และยกเว้นการตัดสิทธิ์ทันที
3 แคนดิเดตปธน.สหรัฐหนุนซีแอล
น.ส.
สำหรับเนื้อหาในจดหมายที่ทางกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนในสหรัฐร่วมลงนามนั้น ถามถึงจุดยืนของนโยบายกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลชุดใหม่ต่อปัญหาการเข้าถึงยาของประชาชน รวมทั้งขอทราบท่าทีที่ชัดเจนในเรื่องซีแอล เนื่องจากเห็นว่าที่ผานมารัฐบาลชุดเดิมได้ดำเนินการประกาศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยซีแอลยังเป็นมาตรการทางกฎหมายที่มีความสำคัญในการช่วยให้ประชาชนเข้าถึงยารักษาโรคเรื้อรังและโรคร้ายแรงที่เป็นอันตรายแก่ชีวิต จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น พร้อมทำแผนยุทธศาสตร์ใหม่ๆ ในรูปแบบอื่นๆ เพื่อการเข้าถึงยาอย่างทั่วถึงในระยะยาว
ขณะที่หนังสือของนักกฎหมายด้านสุขภาพ และการสาธารณสุขได้สนับสนุนการประกาศซีแอลยามะเร็ง รวมทั้งยังระบุให้รัฐบาลไทยพึงตระหนักในการประเมินคำขู่ของสมาคมอุตสาหกรรมยาต้นแบบในสหรัฐ(ฟาร์ม่า) ที่ข่มขู่ว่าจะเสนอให้จัดประเทศไทยเป็นประเทศที่ถูกจับตามองสูงสุด เนื่องจากขณะนี้อุตสาหกรรมยาได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชนในสหรัฐต่ำมาก เพราะจากการสำรวจความคิดเห็นล่าสุดพบว่า คนอเมริกันเพียงร้อยละ 11 เท่านั้นที่เชื่อว่าอุตสาหกรรมยายังคงมีความสัตย์ซื่อและน่าไว้วางใจ ผนวกกับผู้สมัครหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐที่มีคะแนนนำสูงสุด 3. คน ต่างก็มีมุมมองที่วิพากษ์วิจารณ์อุตสาหกรรมยามากกว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
"โดยนางฮิลลารี คลินตัน ยืนยันว่าสนับสนุนคำประกาศโดฮาว่าด้วยข้อตกลงทริปส์และการสาธารณสุข และยังได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะสนับสนุนนโยบายการค้าที่ปกป้องและขยายสิทธิของประเทศยากจนในการเข้าถึงยาชื่อสามัญราคาถูกและมีคุณภาพเพื่อความจำเป็นด้านสุขภาพ เช่นเดียวกันกับ นายบารัก โอบามา ที่ย้ำว่าสนับสนุนสิทธิของประเทศอธิปไตยในการเข้าถึงยาชื่อสามัญราคาถูกที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองความจำเป็นด้านสาธารณสุข ขณะที่นายจอห์น แม็กเคน แม้จะไม่ได้ประกาศนโยบายอย่างเป็นทางการในประเด็นนี้แต่เขาวิพากษ์อุตสาหกรรมยาต้นแบบอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้เขาพูดถึงบรรษัทยาเหล่านี้ว่าเป็นผู้ร้ายตัวเขื่อง ดังนั้นมั่นใจได้ว่ารัฐบาลชุดต่อไปของสหรัฐจะไม่ตอบสนองต่อผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมยาเท่ากับรัฐบาลปัจจุบัน" หนังสือดังกล่าวระบุ
---------------------------------
เรียบเรียงจาก : ฐานเศรษฐกิจ, โพสต์ทูเดย์,กรุงเทพธุรกิจ,ไทยโพสต์
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)