Skip to main content
sharethis


ปชป.กลับลำเลิกขยายแผล 6 ตุลา


เว็บไซต์เดลินิวส์ -นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และรองนายกรัฐมนตรีเงา กล่าวว่า พรรคเห็นด้วยกับข้อเสนอขององค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หรืออมธ. 3 ข้อที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยยุติการบิดเบือนประวัติศาสตร์ และให้ขอโทษต่อสาธารณะชน รวมไปถึงให้ตั้งคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ 6 ตุลา


 


อย่างไรก็ตามพรรคเห็นว่า ไม่ควรนำประเด็นดังกล่าวมาขยายผลทางการเมือง ดังนั้นในการประชุมพรรคเพื่อพิจารณาการตั้งกระทู้สด หรือการยื่นญัตติเร่งด่วนวันที่ 26 ก.พ.นี้พรรคอาจจะไม่นำเรื่อง 6 ตุลามาตั้งเป็นกระทู้ถามรัฐบาลอีก เนื่องจากสถานการณ์สินค้าราคาแพง น่าจะเป็นปัญหาเร่งด่วนมากกว่า นอกจากนี้อาจจะมีการสอบถามรัฐบาลถึงกรณีการโยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอไปช่วยราชการด้วย


 


กกต.สอบนายกฯ ขาดคุณสมบัติ


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า การประชุม กกต. พิจารณากรณีที่มีผู้ร้องเข้ามายัง กกต. ว่านายสมัคร สุนทรเวช ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายสมัครเคยได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ว. เมื่อปี 2549 จึงไม่น่าที่จะมีสิทธิสมัครรับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.


 


ดังนั้นจึงน่าจะขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมจึงมีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้ โดยมีนายประทีป เปรื่องวงศ์ อัยการอาวุโส เป็นประธานคณะอนุกรรมการ



 


นายประพันธ์กล่าวว่า สาเหตุที่ กกต. ต้องตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสอบ ก็เพราะมีการร้องเรื่องนี้เข้ามาอย่างเป็นทางการ และเรื่องเข้าสู่กระบวนการแล้ว ส่วนเวลาที่ใช้ในการสอบสวนนั้น กกต.ไม่ได้กำหนดเวลาให้กับคณะอนุกรรมการ แต่คาดว่าไม่น่าจะใช้เวลาเกินหนึ่งเดือน เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสืบสวนหาข้อเท็จจริงมากนัก



 


เนื่องจากเป็นเรื่องของการตีความข้อกฎหมายเท่านั้น ส่วนการจะเชิญใครมาให้ปากคำหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่คณะอนุกรรมการจะพิจารณา ซึ่งเขาอาจจะเชิญนายสมัครมาให้ข้อมูลก็ได้



 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 116 วรรคสอง จะระบุว่า "บุคคลผู้เคยดำรงตำแหน่ง ส.ว. และสมาชิกภาพสิ้นสุดไม่เกินสองปี จะเป็นรัฐมนตรี หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้" อาจจะทำให้ ส.ว.ที่ได้รับเลือกตั้งในปี 2549 เข้าข่ายมาตรานี้ แต่อย่างไรก็ตาม บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญมาตรา 296 กลับระบุว่าในการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งแรกนี้ ให้งดเว้นการนำบทบัญญัติดังกล่าว มาบังคับใช้กับผู้เคยเป็น ส.ว. ครั้งหลังสุดตาม รัฐธรรมนูญปี 2540



 


 


"สดศรี" ชี้พิจารณาเชือด "ยุทธ ตู้เย็น" เสร็จ 26 ก.พ.นี้แน่ ไม่สนนั่งประธานสภา แย้มให้จับตาคดียุบพรรคให้ดี


เว็บไซต์แนวหน้า - นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง ให้สัมภาษณ์ กรณีการพิจารณาสำนวนการสืบสวนสอบสวนการทุจริตเลือกตั้งจังหวัดเชียงรายนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภา และ ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน (พปช.) ในช่วงที่เรื่องอยู่ระหว่างการสอบสวนของอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน ที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน แต่กลับมีข้อมูลออกมา ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ไปต่างๆ นานาว่า คณะอนุกรรมการฯ มีมติให้ใบขาวหรือใบแดง (เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง) ทำให้เกิดความวุ่นวายและสับสน หรือเรียกได้ว่า มีความพยายามนำเอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการพิจารณาคัดค้านถอดถอน ส.ส. เพราะโดยปกติแล้ว นายยงยุทธถือเป็นเพียงส.ส.ระบบสัดส่วนคนหนึ่งเท่านั้น แต่คนส่วนใหญ่กลับให้ความสำคัญกับนายยงยุทธมากเกินไป จนคิดไปเองว่า กกต.จะต้องพิจารณาให้ใบเหลืองหรือใบแดงแก่นายยงยุทธ หรือที่เรียกว่าเลือกปฏิบัติ ซึ่งไม่เป็นความจริง



 


นางสดศรี กล่าวว่า กกต.ไม่ควรให้ความสำคัญกับตำแหน่งเหล่านี้ และพิจารณาไปตามกรอบของกฎหมาย ซึ่งให้ความเสมอภาคกับทุกคน โดยคนที่ออกมาพูดควรยุติเรื่องดังกล่าวได้แล้ว และรอผลการพิจารณาเสียก่อน เพราะจะได้ไม่ทำให้เกิดความสับสน



 


"ดิฉันไม่รู้สึกหนักใจ แม้จะมีการโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการ โดยเฉพาะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในช่วงนี้ และไม่กลัวว่าจะถูกเช็คบิล เพราะกกต. เป็นองค์กรอิสระ ไม่ใช่ข้าราชการประจำ อีกทั้ง องค์กรอย่าง กกต.ก็ปราศจากการแทรกแซงจากกลุ่มการเมือง และการเข้ามาของกกต.ทั้ง 5 คน ก็เข้ามาอย่างถูกต้องโปร่งใส แต่หากกลุ่มการเมืองจะใช้อำนาจหน้าที่ในการโยกย้ายข้าราชการ หรือองค์กรอิสระ ก็เป็นหน้าที่ของประชาชนและสังคมที่จะตรวจสอบ และพิจารณาว่า สมัยหน้าสมควรที่จะเลือกพรรคดังกล่าว เข้ามาบริหารประเทศหรือไม่" นางสดศรีกล่าว



 


นางสดศรีกล่าวว่า ขอให้ทุกฝ่ายไม่ต้องสนใจคดีนายยงยุทธ แต่ควรสนใจคดีการยุบพรรคการเมืองดีกว่า นอกจากนี้ นายยงยุทธ ยังมีเรื่องร้องเรียนล่าสุดเข้ามาเพิ่มเติมอีก 2 เรื่อง และวันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ กกต.จะพิจารณาสำนวนของนายยงยุทธให้เสร็จสิ้น


 


 


กกต. เร่งพิจารณาร้อง ส.ว. สรรหา เชื่อผิดจริงสรรหาได้ใหม่


เว็บไซต์เดลินิวส์ - นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้งกล่าวถึง การที่วานนี้ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนกรณีที่มีผู้ร้องนายคำนูณ สิทธิสมาน ผู้ได้รับการสรรหาเป็น ส.ว. ว่าไม่มีความเหมาะสม และกรณีที่มีผู้ร้องว่า องค์กรวิชาชีพที่เสนอชื่อนั้นไม่ได้เป็นองค์กรวิชาชีพตามนิยมของกฎหมายว่า กกต. ให้เวลาสอบสวนกับคณะอนุกรรมการชุดนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งหาก กกต. สอบแล้วพบว่ามีมูลก็จะส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจาณา ซึ่งทันทีที่ศาลฎีการับเรื่องเอาไว้ ผู้ถูกร้องก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่



 


"หากศาลฎีกาพิจารณาว่าผิดจริง ผู้ถูกร้องก็ต้องพ้นจากหน้าที่ และต้องมีการสรรหากันใหม่ ซึ่งขั้นตอนนี้คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกินหนึงเดือน" นายประพันธ์กล่าว


 


 


ปชป.ยืนยันสนับสนุนนโยบายปราบปรามยาเสพติด มอบหมายส.ส.ทุกพื้นที่รายงานครม.เงา


พรรคประชาธิปัตย์ - นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบายปราบยาเสพติดของรัฐบาลว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าพรรคสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดว่าเป็นปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้งอเร่งดำเนินการ โดยที่จะต้องดำเนินการอย่างเฉียบขาด และเด็ดขาด แต่ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงกฎหมายและสิทธิ มนุษยชน โดยพรรคประชาธิปัตย์จะติดตามการดำเนินนโยบายดังกล่าวอย่างใกล้ชิด พร้อมกับจะให้ ส.ส. ทุกคนสนับสนุนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการรายงานสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในพื้นที่ที่รับผิดชอบต่อคณะรัฐมนตรีเงาของพรรค และต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง อาทิ ปปส. เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดบรรลุผล


 


อย่างไรก็ตาม นายอลงกรณ์ ได้เรียกร้องกับรัฐบาล 2 ข้อ คือ 1. อย่ามองคำเตือนเป็นยาพิษ 2. อย่าเบี่ยงเบนข้อท้วงติงจากองค์กรประชาชนและฝ่ายต่าง ๆ เกี่ยวกับนโยบายปราบปรามยาเสพติดว่าเป็นผู้ที่ไม่หวังดี หรือเป็นผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นผลให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการปราบปรามยาเสพติดนั้นไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร ดังนั้นรัฐบาลจึงมีหน้าที่ผนึกความร่วมมือโดยรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปสู่การปราบปรามอย่างได้ผล


 


 


"เลขาฯ รมว.ยุติธรรม" ป้องนาย เชื่อย้าย "สุนัย" ไม่เกี่ยวการเมือง แนะ เป็นข้าราชการต้องยอมรับ


เว็บไซต์แนวหน้า - สืบเนื่องจากการที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ลงนามในคำสั่งย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปช่วยราชการในตำแหน่งรักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.)



 นายสมพงษ์ ให้สัมภาษณ์เรื่องดังกล่าวทางโทรศัพท์ว่า ขณะนี้ตนอยู่จังหวัดเชียงใหม่ไม่ค่อยสะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ ทั้งนี้ตนจะเดินทางกลับมาแถลงข่าวในวันจันทร์ที่ 25 ก.พ. ก่อนเวลา 09.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพราะในเวลา 09.30 น. ตนต้องเข้าร่วมรับฟังนโยบายจากนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่จะเป็นประธานการประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาลต่อผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐ



 


เมื่อถามว่ามีแต่คนมองว่าเป็นเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง นายสมพงษ์ กล่าวว่า แน่นอนขณะนี้มีแต่คนสงสัยว่าเป็นเรื่องของการเมืองซึ่ง แต่ตนขอปฏิเสธว่าไม่มีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน และในวันจันทร์แถลงตนจะอธิบายให้ทราบทั่วกัน



 


ด้านนายถาวร ตรีรัตน์ณรงค์ เลขานุการรมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องดังกล่าวตนยังไม่ทราบเพิ่งตนเพิ่งเข้าไปจัดโต๊ะทำงาน รับทราบระเบียบและกติกาของกระทรวง และทำการรายงานตัวกับนายสมพงษ์แต่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องเรื่องดังกล่าว ดังนั้นตนจึงไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น



 


เมื่อถามว่าตอนนี้คนมองเป็นประเด็นทางการเมือง นายถาวร กล่าวว่า ไม่ทราบอันนี้ต้องเรียนถามท่านรัฐมนตรีโดยตรง แต่ตนคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องทางการเมือง ทั้งนี้ในเรื่องของการโยกย้ายไม่ว่าใครก็ตามพอมีการโยกย้าย ก็ตื่นเต้น และบอกว่าเป็นเรื่องของการเมืองกันทั้งนั้น



 


"คงไม่มีเรื่องของการเมืองหรอกครับ ผมว่าคงจะเป็นเรื่องของความเหมาะสมมากกว่า ก็เหมือนกับว่าตอนนี้ก็มีคนที่มีความเหมาะสมเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้มากกว่า ก็คิดว่าอย่างนั้นถึงได้มีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามเป็นข้าราชการก็ต้องยอมรับในเรื่องของการโยกย้ายในเมื่อมีคนเหมาะสมกว่าในการทำงาน"นายถาวร กล่าว


 


 


มทภ.1โบ้ยไม่ใช่หน้าที่ทหารต้องรอรับ "ทักษิณ" กลับไทย


เว็บไซต์คมชัดลึก -พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กองทัพภาคที่ 1 จะสนองนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดว่า ยาเสพติดถือเป็นภัยคุกคาม ที่กองทัพบกสั่งให้ทุกหน่วยงานสนองนโยบายปราบปรามยาเสพติด รวมถึงปัญหาแรงงานต่างด้าว และการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยจะกำหนดเป็นแผนงานและโครงการ เพราะที่ผ่านมามีปัญหาการบูรณาการของพลเรือน ตำรวจ ทหาร และต่อไปนี้กองทัพบกให้นโยบายชัดเจน ว่าทั้งพลเรือน ตำรวจทหาร ต้องร่วมมือกันในการป้องกันและปราบปราม ซึ่งกองทัพภาคที่ 1 รับผิดชอบชายแดนด้านตะวันออกและตะวันตก



 


พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้กองทัพภาคที่ 1 ได้ร่วมบูรณาการกับทางจังหวัด และส่วนราชการต่างๆโดยเฉพาะการรักษาทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เร่งด่วน โดยได้เชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาหารือกัน และแก้ไขปัญหาให้เกิดความยั่งยืน ทั้งนี้ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาหลักของชาติ ที่ทุกฝ่ายจะต้องเกี่ยวข้อง จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะต้องช่วยกันต่อต้าน โดยเฉพาะการรณรงค์ให้รู้พิษภัยของยาเสพติด



 


เมื่อถามถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เดินทางเข้าพบพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และพล.ท.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของการชี้แจงงานของกองทัพบก ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันต่อ รมว.กลาโหม ซึ่งเป็นงานของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เพื่อให้นายกฯทราบว่า กองทัพได้ทำหน้าที่อะไรบ้าง รวมถึงการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้



 


พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนของกอ.รมน.ขณะนี้ ผบ.ทบ.ได้สั่งการให้ปรับโครงสร้างของ กอ.รมน.ใหม่ เพื่อให้เป็นในลักษณะบูรณาการทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร โดยจะนำกลุ่มงานต่างๆขึ้นมาจับ ซึ่งจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใหม่ โดยจะมีการปรับเจ้าหน้าที่ให้สอดคล้องกับงาน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้พูดกับ ผบ.ทบ.ว่าพอใจในการทำงานของกองทัพบกในปัจจุบัน ว่าได้ทำหน้าที่ในทุกๆด้าน ซึ่งนายกฯพร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างดีที่สุด หากมีปัญหา หรือมีเหตุต่างๆที่ขัดข้อง



 


เมื่อถามว่า ตำแหน่ง ผอ.กอ.รมน.จะให้นายกรัฐมนตรี หรือ ผบ.ทบ.เป็นผู้ดูแล พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับนายกฯ



 


ต่อข้อถามว่า นายกฯ ได้เปรยอะไรบ้าง พลท.ประยุทธ์ กล่าวว่า นายกฯมาเยี่ยมเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรที่เป็นสาระสำคัญ แต่อยากจะมาทำเข้าใจว่า กองทัพบกได้ทำงานอะไรบ้างในปัจจุบัน และแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างไร



 


ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการพูดคุยถึงบัญชีโยกย้ายนายทหาร ในช่วงเดือนเม.ย.หรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้มีการพูดถึง เพราะท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง ซึ่งการโยกย้ายเดือน เม.ย.ในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 เป็นเรื่องของ ผบ.ทบ.ที่จะเป็นผู้ปรับย้าย



 


เมื่อถามถึงการเตรียมความพร้อมในการรักษาความปลอดภัย หากพ.ต.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับประเทศ พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของตำรวจ ส่วนทหารจะดูแลในส่วนของการป้องกันประเทศ และการรักษาความมั่นคงภายใน สำหรับเรื่องต่างๆเป็นเรื่องของรัฐบาลและตำรวจ ที่จะต้องดำเนินการ ทหารจะไม่เข้าไปยุ่งเพราะไม่ใช่หน้าที่ ส่วนกรณีที่อาจจะมีม็อบหนุนและม็อบต้าน เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะดูแล แต่อาจจะไม่มีม็อบก็ได้


 


 


"คาสโตร" จวก "บุช" ควรจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง


เว็บไซต์คมชัดลึก - อดีตประธานาธิบดีฟิเดล คาสโตรของคิวบาออกมาตอบโต้ทั้งประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ล ยู บุช ของสหรัฐ และเหล่าบรรดาผู้ที่หวังจะเป็นผู้นำสหรัฐคนต่อไปที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในคิวบา หลังจากที่เขาประกาศจะลงจากตำแหน่งหลังครองอำนาจมาเกือบ 50 ปี โดยบอกว่า ที่ควรจะเปลี่ยนแปลงก็คือสหรัฐเอง



 


ในคอลัมน์ของเขาที่ชื่อ "เสียงสะท้อนของสหายฟิเดล" ในหนังสือพิมพ์กรานม่า ของพรรคคอมมิวนิสต์คิวบา คาสโตรบอกว่าบุชบอกว่าการแถลงลงจากตำแหน่งของเขาเป็นการเริ่มต้นของถนนสู่เสรีภาพของคิวบา หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือการถูกผนวกดินแดนโดยสหรัฐมากกว่า



 


นอกจากนั้นเขาก็ยังบอกด้วยว่า เขาได้เห็นสถานการณ์ที่น่าขายหน้าบนจอทีวี เมื่อผู้หวังสมัครชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ เรียงหน้ากันออกมาเรียกร้องเอากับคิวบา เพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่ต้องสูญเสียฐานเสียงไปแม้แต่คะแนนเดียว ทำให้ดูเหมือนว่า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจนาน 50 ปี จะยังไม่เพียงพอสำหรับคนเหล่านี้ ผู้สมัครเหล่านี้ต่างก็พากันเรื่องร้องเรื่องการเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนแปลง ซึ่งคาสโตรก็เห็นด้วยกับเรื่องการเปลี่ยนแปลง แต่ในสหรัฐเองกลับไม่เห็นด้วย



 


คาสโตรบอกว่า คิวบานั้นเปลี่ยนแปลงมาระยะหนึ่งแล้ว และจะยังคงเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป ในวันอาทิตย์นี้ รัฐสภาคิวบาจะเลือกผู้ที่จะมานั่งในตำแหน่งประธานาธิบดีแทนคาสโตรอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็คาดกันว่า นายราอูล คาสโตร น้องชายของเขาจะได้ขึ้นมาสืบทอดอำนาจต่อ


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net