สมชาย ปรีชาศิลปกุล : สถานะและข้อจำกัดของขบวนการสิทธิชุมชนในสังคมไทย
งานรำลึก 100 วัน วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์
เวทีวิชาการ "วนิดากับคนจนและการต่อสู้ของคนรากหญ้า: อดีต ปัจจุบัน อนาคต"
15 มีนาคม 2551
ถ้าพูดถึงขบวนการประชาชนในรอบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมาที่มีอยู่หลายกลุ่ม เช่น ขบวนการเกษตรกร ขบวนการแรงงาน ขบวนการสลัม ซึ่งเคลื่อนไหวในสถานการณ์ประเด็นต่างๆ ในสังคม ผมคิดว่า ขบวนการขององค์กรชุมชนที่ลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรของตนเองจากการคุกคามของการพัฒนาของรัฐ เช่น ชาวบ้านที่บ้านกรูด ปากมูล จะนะ เรียกโดยรวมว่า "ขบวนการสิทธิชุมชน" เป็นขบวนการที่เข้มแข็งที่สุดในสังคมไทยเมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรอื่นๆ
เราจะอธิบายได้อย่างไรว่า ขบวนการสิทธิชุมชนเข้มแข็ง อย่างน้อยๆ มันมีประเด็นที่เห็นคือ ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของขบวนการสิทธิชุมชนที่ชาวบ้านเป็นฐานที่สำคัญ มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญๆ ในหลายเรื่อง นโยบายของรัฐที่ไม่เคยถูกตั้งคำถามเลย ถูกตั้งคำถามเพิ่มมากขึ้น เช่น การสร้างเขื่อน นโยบายพลังงาน การเคลื่อนไหวขององค์กรชาวบ้านทำให้สังคมเห็นว่า โครงการของรัฐมีประโยชน์ แต่ชาวบ้านมีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในเชิงนโยบาย มันเริ่มจะเป็นสิทธิความชอบธรรมของกลุ่มองค์กรชาวบ้านในการที่จะตั้งคำถามกับโครงการต่างๆ ที่รุกเข้ามาในท้องถิ่นว่า เขามีสิทธิที่จะกำหนดอนาคตตนเองมากน้อยขนาดไหน
นอกจากนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ หลายประเด็นได้ถูกทำให้เป็นสถาบัน คือเป็นความสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้แล้ว เช่น เรื่องสิทธิชุมชน เมื่อไรที่มีการสร้างเขื่อนหรือโครงการของรัฐ คำว่า "สิทธิชุมชน" จะถูกดึงเข้ามา ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม ในเชิงความหมาย สิ่งที่เรียกว่าสิทธิชุมชนได้ถูกขยายความ ทำให้มีความหมายมากขึ้น อันนี้ไม่ได้หมายความว่าประสบความสำเร็จทั้งหมด บางที่สำเร็จ บางที่ล้มเหลว แต่มันได้เป็นคำๆ หนึ่งที่ชาวบ้านหรือนักวิชาการหยิบมาใช้ได้อย่างมีพลัง
ตัวอย่างง่ายๆ ที่เป็นภาพสะท้อนของความเปลี่ยนแปลง ในรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้เขียนเรื่องสิทธิชุมชนไว้ หลังปี 2540 ชาวบ้านหยิบรัฐธรรมนูญมาใช้มากเป็นพิเศษ และได้พบปัญหาว่ายังไม่มีกฎหมายรองรับ เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับก็ถือว่ายังไม่มีสิทธิ เมื่อมีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ในปี 2550 ก็ได้มีการตัดข้อความบางอย่างที่เป็นปัญหาสำหรับการเคลื่อนไหวของชาวบ้านคือคำว่า "ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้" อย่างน้อยการเคลื่อนไหวในช่วง 10 ปี มันได้สะท้อนให้เห็นปัญหาในระบบกฎหมายหรือในระดับสถาบัน แล้วเกิดความต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงขึ้น
ถ้าเปรียบเทียบกับขบวนการอื่นๆ ในสังคมไทยที่เคลื่อนไหวอยู่มากมาย มันมีความต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่น การเคลื่อนไหวของกรรมกร/ผู้ใช้แรงงาน ในรอบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายหรือในระดับสถาบันเกิดขึ้นมากน้อยขนาดไหน ผมคิดว่ามีอยู่น้อยมาก ไม่ได้หมายความว่ากรรมกรไม่ได้ประท้วง ประเด็นเคลื่อนไหวของกรรมกรคือ ค่าแรงขั้นต่ำ แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ 170-180 บาท โดยที่ไม่สามารถผลักเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในระดับสาธารณะ หรือมีความเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายหรือสถาบันได้
ในกรณีคุณ
ประเด็นนี้ ผมคิดว่าเป็นความสำคัญของการเคลื่อนไหวด้านแรงงาน แต่ในระดับสาธารณะไม่มีการถกเถียงในเรื่องนี้ การเคลื่อนไหวของกรรมกรไม่มีพลังเท่ากับการเคลื่อนไหวของขบวนการสิทธิชุมชน เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของชาวนาชาวไร่หลังสิ้นสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ในปี 2519
สิ่งที่ขบวนการสิทธิชุมชนเรียกร้องในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา คือ อำนาจในการจัดการทรัพยากรที่ทำให้ตนเองยืนอยู่ในชุมชนได้ แต่สิ่งที่เราจะต้องคิดถึงมากขึ้นคือ กลุ่มหรือชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ในสังคมไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและกว้างขวาง
คนในภาคเกษตรไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการยืนอยู่บนภาคการเกษตรเพียงอย่างเดียว ต้องทำอย่างอื่นด้วย ในภาคแรงงาน ปัจจุบันระบบการจ้างงานแบบชั่วคราวหรือเหมาช่วงกำลังขยายตัวมากขึ้น ปรากฏการณ์เหล่านี้ คนที่อยู่ในขบวนการสิทธิชุมชนต้องคิดอะไรมากขึ้น การอยู่ในชุมชนด้วยขบวนการสิทธิชุมชนมันไม่พอ มันกำลังจะเป็นข้อจำกัดของขบวนการสิทธิชุมชนหรือเปล่า...???
ขบวนการสิทธิชุมชนได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยอย่างแน่นอน แต่ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ทำให้การพัฒนารุกเข้ามา ทำให้ระบบการผลิตเปลี่ยนแปลง ผมคิดว่า เราคงต้องคิดถึงเรื่องอะไรต่างๆ ที่กว้างขวางมากขึ้น
อย่างแรก เราต้องตระหนักว่าความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง มันกำลังเกิดขึ้นอย่างมากและมีผลกระทบกับท้องถิ่น การอยู่ในท้องถิ่นอย่างเดียวโดยขบวนการสิทธิชุมชนกำลังเป็นเงื่อนไขที่จำกัดมากขึ้น คือทำให้เราอยู่ไม่ได้มากขึ้น
อย่างที่สอง เราควรต้องคิดถึงปัญหาของคนจนในมิติที่กว้างขวางมากขึ้น ซึ่งเราอาจต้องเผชิญกับมันด้วย ผู้ใช้แรงงานก็คือคนจนอีกกลุ่ม ซึ่งในสังคมไทย เกษตรกรที่ยากไร้ มักจะกลายเป็นภาคแรงงานที่ยากจน
อย่างที่สาม ข้อเสนอขององค์กรประชาชนรวมทั้งขบวนการสิทธิชุมชนเป็นไปในลักษณะที่เรียกร้องต่อรัฐมากขึ้น ในขณะที่มีนัยยะการต่อสู้ทางชนชั้นน้อยลง เราพูดถึงความเป็นธรรมในสังคมไทยน้อยลง
ในอดีต กรรมกรต่อสู้เพราะมีนายทุนกดขี่ ชาวนาต่อสู้เพราะมีเจ้าที่ดินกดขี่อยู่ เพราะฉะนั้นต้องจัดการกับคนที่กดขี่เพื่อสร้างความเป็นธรรมด้วย เช่น ต้องมีการปฏิรูปที่ดินเพื่อให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน แต่ในช่วงทศวรรษหลัง การเรียกร้องทั้งหมดเป็นการเรียกร้องต่อรัฐ และเป็นการเรียกร้องในเชิงการสร้างกลไกบางอย่าง เช่น ต้องมีรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) EIA ทำมาไม่ดี เราก็วิจารณ์ แต่มีผลกระทบไปไม่ถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง EIA องค์กรประชาชนเรียกร้องอำนาจบางอย่างเพิ่มมากขึ้นจากรัฐ แต่การพูดถึงความเป็นธรรมในสังคมมันหายไป
เมื่อองค์กรประชาชนพูดถึงความเป็นธรรมในสังคมน้อยลง ข้อเรียกร้องต่างๆ บางทีรัฐหรือคนที่มีสถานะก็ไม่ปฏิเสธ เพราะไม่กระทบต่อสถานะของตนเอง
คำถามของผมคือว่า ขบวนการประชาชนที่กำลังเดินหน้าไปโดยไม่แตะเรื่องความเป็นธรรมหรือความเท่าเทียมในสังคม มันจะไปได้ไกลขนาดไหน ข้อเรียกร้อง เช่น รัฐสวัสดิการ สิทธิในการรักษาพยาบาล การศึกษา ฯลฯ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายโดยการเรียกร้องที่ไม่แตะเรื่องความเป็นธรรมในสังคม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)