ผลการเลือกตั้งในมาเลเซียแสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่พอใจรัฐบาลเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่รัฐมีกลไกกึ่งเผด็จการหลายอย่างในการหนุนให้พรรครัฐบาลได้เสียงข้างมาก แต่คะแนนเสียงพรรคแนวร่วมรัฐบาลลดลงเป็นประวัติศาสตร์ พรรคฝ่ายค้านได้รัฐ
คุณหมอคูมา Dr Kuma ของพรรคสังคมนิยมมาเลเซีย P.S.M. ได้รับเลือกเป็น ส.ส. คนแรกของพรรคสังคมนิยมในเขต Sungai Siput และ Nasir Hashim ประธานพรรคได้ที่นั่งในสภาระดับรัฐท้องถิ่นที่ Kota Damansara นับเป็นชัยชนะสำคัญสำหรับพรรคสังคมนิยมมาเลเซีย และเป็นชัยชนะทั้งๆ ที่รัฐไม่ยอมจดทะเบียนให้พรรคอีกด้วย ผู้แทน P.S.M. ซึ่งประกาศตัวเป็นนักสังคมนิยมอย่างชัดเจนต้องลงสมัครภายใต้ร่มของ Keadilan
พรรคสังคมนิยมมาเลเซีย (Parti Socialis
0 0 0
การเมืองเชื้อชาติและชนชั้นในมาเลเซีย
โดย: ใจ อึ๊งภากรณ์
ชนชั้นปกครองมาเลเซียใช้การเมืองเชื้อชาติเพื่อกดทับการเมืองชนชั้นมานาน การแช่แข็งการเมืองโดยแบ่งแยกและปกครองตามเชื้อชาติพร้อมๆ กับการใช้มาตรการกึ่งเผด็จการ มีเป้าหมายในการทำลายการต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนา และเป็นวิธีการที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่สมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ
มาเลเซียแบ่งเป็นสามเชื้อชาติหลักคือ คนจีน คนอินเดีย และคนมาเลย์ โดยที่คนจีนเป็นนายทุนและกรรมกร คนอินเดียมีกรรมกรภาคเกษตรและผู้ค้าขายรายย่อย และคนมาเลย์เป็นข้าราชการ ซุลต่าน และชาวนายากจน
นักการเมืองมาเลเซีย โดยเฉพาะที่สังกัดพรรครัฐบาล U.M.N.O. (United Malay National Organisation) จะอ้างถึงการจลาจลพฤษภาคม 1969 เพื่อให้ความชอบธรรมกับนโยบายเศรษฐกิจใหม่ที่เน้นเชื้อชาติ (New Economic Policy - N.E.P.) นโยบายนี้ให้สิทธิพิเศษสำหรับคน "พื้นเมือง" มาเลย์ (bumiputera หรือภูมิบุตร) การจลาจล 1969 ที่มีการตีกันระหว่างคนจีนกับคนมาเลย์ มักถูกอ้างเสมอเพื่อ "พิสูจน์" ว่าในสังคมอย่างมาเลเซีย ที่มีหลายเชื้อชาติดำรงอยู่ ต้องมีการบริหารสังคมเพื่อลดความขัดแย้งตาม "ธรรมชาติ" ระหว่างเชื้อชาติต่างๆ พร้อมกันนั้นมักมีการปลุกกระแสในหมู่คนมาเลย์ว่าต้องออกมาปกป้องผลประโยชน์ของเชื้อชาติตนเองจากการ "คุกคาม" ของคนจีน ตัวอย่างที่ดีคือหนังสือของอดีตนายกรัฐมนตรีมหาธีร์ The Malay Dilemma ที่เขียนในปี 1970 หลังการจลาจลและก่อนที่เขาจะขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ
นักวิชาการอย่าง Harold Crouch และ ชัยโชค จุลศิริวงศ์ (คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ) เป็นตัวแทนของสำนักคิดที่เน้นเชื้อชาติ และเป็นผู้ที่สนับสนุนนโยบายการปกครองกึ่งเผด็จการของรัฐบาลมาเลเซีย โดยอ้างว่าในประเทศอย่างมาเลเซียที่มีหลายเชื้อชาติ "การปกครองแบบประชาธิปไตยใช้ไม่ได้" เพราะมีข้อสมมุติฐานว่าระบอบประชาธิปไตยแก้ความขัดแย้งทางเชื้อชาติไม่ได้ มีการอ้างถึงงานของ Lijphart ซึ่งเป็นนักวิชาการสำนัก "โครงสร้างหน้าที่" ว่าในกรณีแบบนี้ต้องใช้การปกครองแบบ "Consociationalism"
Consociationalism คือระบบการปกครองที่ "บริหาร" เชื้อชาติ โดยมีการจัดให้ทุกเชื้อชาติมีตัวแทนของตนเองในรัฐบาล ซึ่งมีการใช้รูปแบบการปกครองอย่างนี้ในไอร์แลนด์เหนือหรือในบอสเนีย ในกรณีมาเลเซีย เราจะเห็นว่ารัฐบาล "แนวร่วมชาติ" ประกอบไปด้วยพรรคของชาวมาเลย์ (U.M.N.O.) พรรคของชาวจีน (M.C.A. - Malay Chinese Association) และพรรคของชาวอินเดีย (M.I.C. - Malay Indian Congress)
แต่ประเด็นปัญหาสำคัญคือตัวแทนของเชื้อชาติจะมาจากชนชั้นไหน และจะเลือกกันอย่างไร? ประเด็นชนชั้นแบบนี้ไม่มีการพิจารณาเลย เพราะคนที่เสนอ Consociationalism มักมองว่าชนชั้นไม่สำคัญ อย่างไรก็ตาม Crouch เองมองว่าการที่พรรค "เถ้าแก่จีน" (พรรค M.C.A.) ถูกเลือกมาเป็นผู้แทนของชาวจีนทั้งหมดจะเป็นปัญหาถ้ามวลชนไม่ถูกทำให้สงบนิ่งเพื่อตามการนำของอภิสิทธิ์ชน ดังนั้นการปกครองแบบ Consociationalism ย่อมประกอบไปด้วยระบบ "เผด็จการอ่อนๆ" เพื่อควบคุมความขัดแย้งทางเชื้อชาติเสมอ สรุปแล้วมีการยกความขัดแย้งทางเชื้อชาติมาเป็นข้ออ้างในการลดทอนสิทธิเสรีภาพทางประชาธิปไตย
มาเลเซียในมุมมอง "สำนักชนชั้น"
นักวิชาการฝ่ายซ้าย "สำนักชนชั้น" มีข้อสรุปตรงข้ามกับคนอย่าง มหาธีร์ Crouch หรือ ชัยโชค เพราะมองว่าระบบเผด็จการไม่ได้มาจากความขัดแย้ง "ธรรมชาติ" ระหว่างเชื้อชาติแต่อย่างใด David Brown เสนอว่า "ลักษณะชนชั้นของรัฐมาเลเซียคือสิ่งที่อธิบายนโยบายเชื้อชาติของรัฐนี้ได้" เพราะนโยบายเชื้อชาติมีวัตถุประสงค์ในการระงับการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของคนชั้นล่าง รัฐบาล U.M.N.O. ใช้ประเด็นเชื้อชาติเป็น "หน้ากากบังหน้า" เพื่อให้ความชอบธรรมกับการปกครองทางชนชั้น โดยอ้างว่ารัฐบาลผสมของแนวร่วมชาติเป็นตัวแทนของทุกเชื้อชาติ ขณะที่ในความเป็นจริงมันเป็นแนวร่วมระหว่างนายทุนเอกชน(นายทุนจีนและอินเดีย)กับนายทุนข้าราชการ(นายทุนมาเลย์) สรุปแล้วการเมืองชนชั้นถูกปราบปรามตั้งแต่ยุคอาณานิคมจนถึงปัจจุบัน และกระบวนการทางการเมืองถูกออกแบบใหม่เพื่อสะท้อนเชื้อชาติ สำหรับ Brown ความคิดเชื้อชาติเป็นเครื่องมือที่รัฐต่างๆ ใช้เพื่อแก้ปัญหาความไม่พอใจหรือปัญหาข้อกังวลของประชาชนที่มาจากโครงสร้างสังคมแบบชนชั้น "รัฐต่างๆ จะเปิดพื้นที่ให้แนวความคิดเชื้อชาติเจริญเติบโต แล้วพยายามบริหาร และใช้แนวนี้เป็นเครื่องมือ"
Martin Brennan อธิบายว่าตั้งแต่สมัยอังกฤษปกครองมาลายู ชนชั้นปกครองใช้นโยบายการบริหารเชื้อชาติ เพื่อสร้างความสงบเรียบร้อย ตั้งแต่ปี 1969 (ปีที่มีจลาจล) ชนชั้นปกครองมาเลเซียใช้นโยบายชาตินิยม-เชื้อชาติเพื่อสร้างฐานสนับสนุนในหมู่ชาวนาและกรรมาชีพมาเลย์ โดยพยายามสร้างภาพปลอมว่าคัดค้านนายทุนจีนและนายทุนต่างชาติ และในขณะเดียวกันมีการปราบปรามขบวนการทางสังคมที่สังกัดชนชั้น
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับคำอธิบายของ Brennan คือ การปลุกระดมการเมืองเชื้อชาติของชนชั้นปกครองมาเลเซีย เพื่อสร้างฐานสนับสนุนทางการเมือง เป็นสิ่งที่สร้างความขัดแย้งและความรุนแรงระหว่างเชื้อชาติแต่แรก ซึ่งถ้าไม่ควบคุมก็จะเป็นภัยต่อความมั่นคงในการปกครอง ดังนั้นมาตรการเผด็จการของรัฐมาเลเซียมีไว้เพื่อกดขี่การเคลื่อนไหวทางชนชั้น และเพื่อควบคุมความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่รัฐสร้างขึ้นมาแต่แรก
ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์มาเลเซียเราจะพบว่าอังกฤษเผชิญหน้ากับขบวนการทางการเมืองสองประเภทคือ 1. การเมืองของคนชั้นล่างที่ประกอบไปด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยม และสหภาพแรงงานต่างๆ ที่เน้นชนชั้นเหนือเชื้อชาติ และ 2. การเมืองของพวกอภิสิทธิ์ชนที่พยายามเน้นการเมืองเชื้อชาติของชาวมาเลย์ ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองมีการนัดหยุดงานทั่วไปที่อังกฤษปราบปราม ที่สำคัญคือขบวนการแรงงานไม่แบ่งแยกตามเชื้อชาติ พรรคคอมมิวนิสต์มาเลย์มีสมาชิกหลายเชื้อชาติ และแม้แต่ขบวนการชาวนาก็มีมุมมองทางการเมืองที่ปฏิเสธการเมืองของอภิสิทธิ์ชน และมีการเสนอให้รวมชาติในลักษณะสากลกับประเทศอินโดนีเซียเป็นต้น
ในการยกเอกราชให้มาเลเซียเราคงไม่แปลกใจที่อังกฤษเลือกยกอำนาจให้อภิสิทธิ์ชน โดยออกแบบรัฐในรูปแบบ Federation of
ในขบวนการนักศึกษา ฝ่ายซ้ายพยายามจัดตั้งข้ามเชื้อชาติ แต่ถูกรัฐและนักการเมืองเชื้อชาติอย่าง Anwar คอยสกัดกั้นและสร้างอุปสรรค์ นโยบายการสำรองที่พิเศษให้นักศึกษามาเลย์ในสถาบันการศึกษาต่างๆ และการปราบปรามของรัฐเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างปัญหา แต่ในปัจจุบันคนรุ่นใหม่อาจคิดในกรอบเชื้อชาติน้อยลง และพรรคสังคมนิยมมาเลเซีย (Malaysian Socialist Party - PSM) เป็นพรรคที่พยายามทวนกระแสหลัก โดยใช้การเมืองชนชั้นและรับสมัครสมาชิกจากทุกเชื้อชาติ
แม้แต่ในมาตรฐานของนักการเมืองเชื้อชาติเอง นโยบาย N.E.P. และการพัฒนาเศรษฐกิจที่ให้สิทธิพิเศษกับชาวมาเลย์ ไม่ได้ยกระดับของชาวมาเลย์ทุกคน ความเหลื่อมล้ำระหว่าง bumiputera คนรวยกับคนจนเพิ่มขึ้น และการขยายการถือหุ้นในธุรกิจของชาวมาเลย์ กระทำไปผ่านรัฐวิสาหกิจที่ซื้อหุ้นในบริษัทตะวันตก ในขณะที่ฐานะของนายทุนจีนไม่เปลี่ยนแปลง และนโยบายที่กีดกันสิทธิของคนจีนมีผลต่อคนจีนระดับล่างมากกว่านายทุนเสมอ สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการที่ UMNO อ้างความเป็นตัวแทนของชาวมาเลย์เพื่อปกป้องเขาจากการ "คุกคาม" ของนายทุนจีนคือ ในช่วงแรกของการปกครองหลังเอกราช พรรค U.M.N.O. อาศัยเงินทุนจากนายทุนจีนในพรรค M.C.A. เพื่อหาเสียง แต่พอ U.M.N.O. เข้ามามีอำนาจในรัฐ เริ่มมีแหล่งเงินทุนสาธารณะที่พรรคนำมาใช้ได้แทน และเมื่อพรรคอาศัยเงิน M.C.A. น้อยลงก็สามารถประกาศนโยบาย N.E.P. ได้ โดยไม่เกร็งใจนายทุนจีนหรือกลัวว่าจะทำลายแนวร่วมระหว่าง U.M.N.O. กับ M.C.A. เพราะนายทุนจีนจาก M.C.A. ไม่เคยเสียผลประโยชน์จากการปกครองของ U.M.N.O. เลย
ทั้งๆ ที่การจลาจล 1969 ถูกอ้างเสมอเพื่อให้ความชอบธรรมกับนโยบายการเมืองแบบเชื้อชาติ แต่ข้อมูลประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการจลาจลครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เพราะก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนั้นคะแนนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลเช่น U.M.N.O. กับพรรคนายทุนจีน M.C.A. ลดลง พรรคที่ได้คะแนนเพิ่มเป็นพรรคที่มีความเกี่ยวข้องกับคนชั้นล่างทั้งๆ ที่ยังอาจอยู่ในกรอบเชื้อชาติเป็นส่วนใหญ่ เช่นพรรค Democratic Action Party (D.A.P.) ที่ได้เสียงจากคนงานจีน พรรค Gerakan (พรรคฝ่ายซ้ายในปีนัง) และพรรค Parti Islam SeMalaysia (P.A.S.) ที่ได้คะแนนเสียงจากชาวนาเชื้อชาติมาเลย์ ในสถานการณ์แบบนี้องค์กรเยาวชนของ U.M.N.O. เป็นผู้ก่อความรุนแรงก่อน โดยเข้าไปโจมตีชาวจีนเพื่อปลุกกระแสความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ซึ่งกลายเป็นข้ออ้างของรัฐที่จะประกาศกฎหมายฉุกเฉินและปราบปรามพรรคฝ่ายค้าน
อ่านเพิ่ม
Harold Crouch (1996) Government and society in
ชัยโชค จุลศิริวงศ์ (๒๕๔๒) "การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองในมาเลเซีย" สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
David Brown (1994) The state and ethnic politics in south-east
Martin Brennan (1985) Class politics and race in modern
0 0 0
ถามทาง: พรรคสังคมนิยมมาเลเซีย (P.S.M.) ชนะสองที่นั่งในการเลือกตั้ง
เมื่อต้นเดือนมีนาคมพรรคสังคมนิยมมาเลเซียสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วประเทศและได้สองที่นั่งคือ สหายหมอ ไชยาคูมา (Dr Jeyakumar)ชนะอดีตรัฐมนตรีจากพรรคแนวร่วมรัฐบาล แซมมี่ เวลู โดยชิงที่นั่งในรัฐสภาแห่งชาติเขต ซุไง ซิพุด (Sungai Siput) คูมาได้คะแนน 16,458 เสียง มากกว่าคู่แข่งเกือบ 2 พันเสียง ส่วนสหายหมอ นะเซีย ฮะชิม (Dr. Nasir Hashim) ชนะที่นั่งในสภาของรัฐ โคตา ดามันซารา (Kota Damansara) ด้วยคะแนน 11,846 เสียง มากกว่าคู่แข่ง 1 พันเสียง สหายคูมาเป็น ส.ส. สังคมนิยมคนแรกของมาเลเซียในรอบ 40 ปี ครั้งสุดท้ายที่นักสังคมนิยมได้ที่นั่งในรัฐสภาระดับชาติคือในปี 1964 โดยที่แนวร่วมสังคมนิยม (Socialist Front) ได้ 2 ที่นั่ง และครั้งสุดท้ายที่นักสังคมนิยมได้ที่นั่งในสภาระดับรัฐคือปี 1969 เมื่อพรรคสังคมนิยมประชาชนมาเลเซีย (Parti Sosialis Rakyat Malaysia -PSRM) ได้ 4 ที่นั่งในรัฐปีนังและปาหัง
ในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้พรรคสังคมนิยมมาเลเซีย (Parti Sosialis Malaysia - PSM) จำเป็นต้องลงสมัครภายใต้ร่มของพรรคฝ่ายค้านคือ Parti Keadilan Rakyat (P.K.R.) และ Parti Islam Se-Malaysia (P.A.S.) เพราะรัฐบาลมาเลเซียไม่ยอมจดทะเบียนให้พรรคสังคมนิยมทั้งๆ ที่สู้กันในระดับศาลในเรื่องนี้มานาน อย่างไรก็ตามสมาชิกพรรค P.S.M. ที่ลงสมัครทุกคนจะเสนอนโยบายสังคมนิยมอย่างชัดเจนและประกาศว่าตนเป็นสมาชิก P.S.M. หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ น.ส.พ. เลี้ยวซ้าย ได้ สัมภาษณ์สหายอารุล (S. Arutchelvan) เลขาธิการพรรค P.S.M. เรื่องชัยชนะของพรรค สหายอารุล เองได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในรัฐ ซะเมนนี (Semenyih) แต่ได้คะแนน 10,448 เสียงแพ้ผู้แทนของพรรคแนวร่วมรัฐบาลประมาณ 1 พันเสียง
ถ้าต้องการดูรายละเอียดเกี่ยวกับพรรคสังคมนิยมมาเลซียควรดูเวปไซท์พรรค http://parti-sosialis.org
สัมภาษณ์สหาย อารุล จากพรรคสังคมนิยมมาเลเซีย
ชัยชนะของ P.S.M. เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ กรุณาอธิบายว่าพรรคได้ชัยชนะเพราะเหตุใด และชัยชนะนี้ทำให้เรามองอนาคตของสังคมนิยมอย่างไร พรรค P.S.M. สามารถผลักดันการเมืองชนชั้นแทนการเมืองเชื้อชาติได้มากน้อยแค่ไหน?
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่เราลงสมัคร ก่อนหน้านี้ในปี 1999 เราลงแข่งในหนึ่งที่นั่ง และในปี 2004 เราลงใน 4 ที่นั่ง เป้าหมายสำคัญของเราคือการชนะอย่างน้อยในหนึ่งที่นั่ง เพื่อเป็นการโฆษณาการทำงานของพรรคและเพื่อขยายพรรคต่อไป เราดีใจมากกับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ในการเลือกตั้งมีการใช้การเมืองเชื้อชาติและศาสนาเพื่อโจมตีฝ่ายค้านโดยพรรคแนวร่วมรัฐบาล แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะประเด็นที่ประชาชนสนใจมากขึ้นคือเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง เช่นเงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูง และค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ประชาชนไม่พอใจการคอร์รัปชั่นของรัฐบาล และการแทรกแซงสื่อและศาลโดยฝ่ายรัฐอีกด้วย ในเขตเมืองต่างๆ คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจเรื่องการลงคะแนนเสียงตามเชื้อชาติหรือศาสนาเท่าไร แต่สนใจนโยบายพรรคมากกว่า นี่คือปรากฏการณ์ที่ดี และมันช่วยพรรคเรามาก แต่การผลักดันการเมืองชนชั้นให้สำคัญกว่าการเมืองเชื้อชาติคงจะเป็นการต่อสู้ยาวนาน
พรรคของคุณต้องลงสมัครภายใต้ร่มของพรรค P.K.R. แต่ P.S.M. มีแถลงการณ์เฉพาะของตนเอง แถลงการณ์นี้มีเนื้อหาอะไรบ้าง?
แถลงการณ์เรามีทั้งหมด 7 ประเด็นคือ
1. ต้องปกป้องสิทธิแรงงาน เช่นค่าจ้างขั้นต่ำที่เป็นธรรม การยอมรับสหภาพแรงงานโดยอัตโนมัติ และสิทธิลาคลอด 90 วัน
2. ยกเลิกนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาด เช่นการแปรรูประบบสาธารณสุข การศึกษา และสาธารณูปโภค
3. ยกเลิกสัญญาค้าเสรีกับจักรวรรดินิยมตะวันตก
4. รัฐต้องจัดสรรที่อยู่อาศัยราคาถูกและคุณภาพดีให้ชาวเมืองและชาวชนบท
5. ยกเลิกการเมืองเชื้อชาติเพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่ประชาชน
6. ต้องปราบปรามการคอร์รับชั่นและการใช้อำนาจในทางที่ผิดของรัฐบาล
7. ต้องปกป้องสิ่งแวดล้อม
จริงๆ แล้วมีการอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ 7 ข้อนี้มากมาย แต่พิมพ์เป็นภาษามาเลย์ จีน และทมิฬ นอกจาก 7 ข้อนี้เรามีคำมั่นสัญญากับประชาชนในกรณีที่เราชนะการเลือกตั้งคือ
1. จะจัดตั้ง "คณะกรรมการประชาชน" ในพื้นที่ มีเวทีทุกเดือนให้ประชาชนแสดงความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายในสภาและเกี่ยวกับเงินช่วยเหลือการพัฒนา
2. ผู้แทนพรรคจะประกาศเรื่องทรัพย์สินส่วนตัวอย่างชัดเจน
3. เราจะตั้ง "ศูนย์บริการประชาชน" ของพรรค
4. เราจะพิมพ์วารสารข่าวการเมืองเพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลทุก 4 เดือน
5. จะเปิดสมุดบันทึกให้ชาวบ้านมาแสดงความเห็นและข้อเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาท้องถิ่นตนเอง
6. จะช่วยจัดตั้งสหภาพแรงงานในพื้นที่
7. จะต่อสู้ในประเด็นของประชาชนในพื้นที่
พรรค P.S.M. น่าจะเป็นที่รู้จักของประชาชนในเขตที่คุณชนะ ช่วยอธิบายว่าพรรคทำอะไรบ้างในพื้นที่ ก่อนการเลือกตั้ง?
P.S.M. จะลงสมัครแค่ในพื้นที่ที่พรรคและผู้แทนมีประวัติการทำงานเพื่อประชาชนมาอย่างน้อย 5 ปี งานหลักๆ ของเราในพื้นที่ที่เราทำตลอดปีคือ
1. เรามี "คณะแรงงาน" ที่ช่วยจัดตั้งคณะกรรมการกรรมกรและผลักดันประเด็นกรรมกร มีการประสานกันระหว่างหลายกรรมการภายใต้ร่มของ JERIT (ย่อจากคำว่า "เครือข่ายมวลชนผู้ถูกกดขี่")
2. เรามีอีกคณะกรรมการหนึ่งที่ทำงานกับคนจนในเมือง และคนงานไร่เกษตร เราต้องทำงานรากหญ้าในคณะกรรมการต่างๆ มากมาย และต้องเชื่อมโยงกันในพื้นที่ต่างๆ
3. เรามีใบปลิวในประเด็นร้อนๆ และหนังสือพิมพ์ของพรรค มีการขายในตลาดเช้าและตลาดกลางคืน มีการขายตามสถานที่ทำงานและในชุมชนอีกด้วย
4. เรามีสำนักงานพรรคที่เป็น "ศูนย์บริการประชาชน" ที่เปิดสองสามวันต่อสัปดาห์
5. เรามีกลุ่มศึกษาการเมืองที่พูดคุยเรื่องปากท้องและเรื่องการเมืองภาพกว้าง
และพอมีการเลือกตั้งเราก็ต้องส่งทีมไปหาเสียงทั่วพื้นที่อีกด้วย
การได้รับการเลือกตั้งเป็นชัยชนะสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันมันสร้างภาระมหาศาลให้กับพรรค คุณจะจัดการกับภารกิจดังกล่าวอย่างไร? และจะสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานภายในรัฐสภา กับการเคลื่อนไหวข้างนอกอย่างไร?
ปัญหาแบบนี้เราจะคุยกันอย่างละเอียดในการประชุมคณะกรรมการกลางของพรรค สองวันในเดือนเมษายน คำขวัญของพรรคคือ"สร้างพลังประชาชน" เราไม่มีความหลงใหลในระบบรัฐสภา และเรากำลังศึกษาบทเรียนสำคัญเรื่องการใช้รัฐสภาและการลงประชามติจากประเทศในลาตินอเมริกา เช่น
ขณะนี้เราต้องสร้างสองแนวพร้อมกัน เราจะไม่มีวันประนีประนอมและลดความสำคัญของงานพรรคที่ทำมาหลายปีเพราะเหตุผลแค่ว่าเรามีสองผู้แทนในสภา การทำงานมวลชนต้องทำต่อไป เราต้องใช้โอกาสในสภาเพื่ออธิบายกับประชาชนว่าเราต่างจากพรรคอื่น เราต้องบริการพื้นที่ที่เรามีผู้แทน ต้องเสริมสร้างพลังมวลชน เราต้องเจียมตัว ไม่อวดเก่ง และทำงานต่อไปอย่างสม่ำเสมอ
กรุณาขยายความเรื่อง "คณะกรรมการประชาชน" ที่พรรคจะจัดตั้ง?
เรามีแผนจะตั้งคณะกรรมการประชาชนในพื้นที่ ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนส่วนต่างๆ ของภาคประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง ตัวแทนเหล่านี้จะประชุมเพื่อกำหนดรูปแบบการพัฒนาท้องถิ่นและเสนอประเด็นเพื่อให้ส.ส.เรานำเรื่องเข้าสภา องค์กรนี้จะเป็นสื่อระหว่างผู้แทนเรากับประชาชน และจะเป็นวิธีควบคุมและตักเตือนผู้แทนของพรรคด้วย เราพูดมานานแล้วว่าประชาชนจะหมดสิทธิ์หลังการเลือกตั้งทุกครั้ง เราจึงพยายามจะสร้างรูปแบบการมีส่วนร่วมและการใช้อำนาจอย่างต่อเนื่องของประชาชน มันเป็นเรื่องใหม่ที่เราไม่เคยทำมาก่อน และเราต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ
P.S.M. กำลังจะร่างระเบียบการปฏิบัติของ ส.ส. พรรค เรื่องนี้สำคัญ ช่วยอธิบาย?
มันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัดส่วนเงินเดือนที่ ส.ส. ต้องให้พรรค การทำงานให้พรรค และท่าทีของพรรคเราต่อพรรคฝ่ายค้านในประเด็นต่างๆ เราจะร่วมมือในเรื่องไหนบ้าง และเราจะอิสระในเรื่องไหน แต่รายละเอียดคงจะออกมาหลังการประชุมคณะกรรมการกลาง
ในอดีตพรรคแนวสังคมนิยมเคยชนะการเลือกตั้งในมาเลเซีย มีบทเรียนอะไรบ้างจากยุคนั้น?
ก่อนหน้านี้แนวร่วมสังคมนิยมได้ที่นั่งในระดับเทศบาลมากมาย แต่รัฐบาลยกเลิกการเลือกตั้งเทศบาล และพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบันมีการเรียกร้องให้กลับมาใช้ระบบเลือกตั้งเทศบาลอีกครั้ง ในอดีตฝ่ายซ้ายเข้มแข็งมากระหว่าง 1959-1964 แต่จะถูกปราบปรามอย่างหนัก มีการจับคุมเข้าคุก เช่นในการเลือกตั้งปี 1969 ผู้นำแนวร่วมสังคมนิยมเกือบทุกคนติดคุกอยู่จึงสมัครไม่ได้ ในยุคนี้เราต้องมารื้อฟื้นความเข้มแข็งอีกครั้ง เราต้องชัดเจนว่าจะต้องไม่ประนีประนอมจุดยืนของพรรคหลังชัยชนะรอบนี้ เรายังถูกกีดกันไม่ให้จดทะเบียนพรรค เราต้องสู้เรื่องนี้อีกนาน การพูดเก่ง ป่าวประกาศ มันไม่พอ เราต้องทำงานอย่างจริงๆ จังๆ เพื่อสร้างฐาน ในอนาคตเราจะจัดงานเสวนาสองวันในเดือนเมษายน และเชิญพวกฝ่ายซ้ายรุ่นเก่าๆ มาเล่าเรื่องประสบการณ์ของเขา
P.S.M. มีข้อตกลง ไม่ลงแข่งกับพรรคฝ่ายค้านในบางเขต และต้องลงสมัครภายใต้ร่มของฝ่ายค้าน พรรคคุณมองพวกพรรคฝ่ายค้านนี้อย่างไร?
เราต้องลงใต้ร่มของ P.K.R. เพราะเรายังจดทะเบียนไม่ได้และ P.K.R. เขายินดีให้เราลงแบบนี้ เพราะผู้แทนของเราเป็นที่รู้จักในพื้นที่ การใช้โลโก้ของ P.K.R. มันง่ายกว่าการลงสมัครในรูปแบบผู้แทนอิสระ ซึ่งก็ทำได้เหมือนกัน เรามีนโยบายขั้นพื้นฐานที่ตกลงร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะในเรื่องการเปิดพื้นที่ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เช่นเราต่อต้านกฎหมายความมั่นคงภายใน (I.S.A.) การจำกัดสิทธิในการแสดงออกและรวมตัวกัน เรื่องการแทรกแซงศาล ฯลฯ นอกจากนี้พรรคฝ่ายค้านทุกพรรคเข้าร่วม "แนวร่วมสาธารณสุขเพื่อต่อต้านการแปรรูป" ซึ่งมี พรรคเราเป็นแกนนำ เราร่วมมือกับ P.A.S. ในเรื่องการคัดค้านการขึ้นค่าเชื้อเพลิงอีกด้วย แต่ในเรื่องประเด็นอิสลามและประเด็นเชื้อชาติ เราไม่เห็นด้วยกับพรรคเหล่านี้ การร่วมกันต่อต้านพรรคแนวร่วมรัฐบาลเป็นสิ่งดี แต่ทุกพรรคมีนโยบายของตนเองด้วย มันมีกระแสจากรากหญ้าที่ต้องการให้พรรคฝ่ายค้านร่วมมือกันเพื่อล้มแนวร่วมรัฐบาลที่ครองอำนาจมา 50 ปี
สุดท้าย คุณมีคำแนะนำอะไรสำหรับนักสังคมนิยมในประเทศเพื่อนบ้าน?
ผมคิดว่าทุกประเทศมีประสบการและลักษณะเฉพาะบางอย่างที่แตกต่างกัน เราต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การสร้างสังคมนิยมเป็นโครงการระยะยาว แต่ที่สำคัญคือต้องขยันทำงานในการสร้างพรรค ในที่สุดมวลชนจะเห็นว่าเราแตกต่างจากพวกกระแสหลักอย่างไร เราต้องให้ความเคารพกับประวัติศาสตร์การต่อสู้ของฝ่ายซ้ายในประเทศเราและในต่างประเทศ บ่อยครั้งเราจะสับสนและถกเถียงกันเรื่องยุทธวิธีและลัทธิการเมือง แต่ที่ต้องคงเส้นคงวาคือพรรคต้องทำตัวให้มีความหมายสำหรับชนชั้นกรรมาชีพและความใฝ่ฝันของกรรมาชีพ นี่คือเรื่องที่ต้องเอาใจใส่มากๆ เราหวังว่าเราจะพัฒนาได้ต่อไป และเราต้อนรับการวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะมิตร เพราะเรานักสังคมนิยมทั้งหลายมีเป้าหมายเดียวกัน
กรรมาชีพทั่วโลกจงสามัคคี!!
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)