วันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) จัดสัมมนา " เจาะลึกร่าง กม. คุ้มครองแพทย์ ประชาชนได้อะไร? "
ที่มาที่ไปของการสัมมนาครั้งนี้ มีขึ้นเพื่อจะวิเคราะห์เปรียบเทียบร่างกฎหมาย 2 ฉบับว่าด้วยการชดเชยแก่ผู้เสียหายจากความผิดพลาดในการรักษาโรคภัย เพราะทุกวันนี้คดีความข้อพิพาทระหว่างคนไข้กับแพทย์เริ่มมีแนวโน้มมากขึ้นทั้งปริมาณและความรุนแรง ขณะเดียวกันที่ผ่านมาคนไข้ผู้เสียหายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็มีมากมาย
ร่างกฎหมายนี้เป็นการจัดทำกฎหมายตาม มาตรา 41 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ฉบับหนึ่งนำเสนอโดยเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค และเครือข่ายผู้ป่วย ชื่อว่า " ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ..." อีกฉบับหนึ่งนำเสนอโดยองค์กรวิชาชีพอย่าง แพทยสภา ชื่อว่า " ร่าง พ.ร.บ.ความรับผิดและวิธีพิจารณาความสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ พ.ศ. ...."
ร่างแรกมุ่งคุ้มครองผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายให้ได้รับการชดเชยที่เป็นธรรม และถูกวิจารณ์ว่าจะทำให้แพทย์ทำงานได้ยาก ขาดความมั่นใจในการรักษา อีกร่างหนึ่งมุ่งคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ และถูกวิจารณ์ว่าทำให้แพทย์มีสิทธิพิเศษ ผู้ป่วยจะยิ่งเข้าถึงความเป็นธรรมได้ยากขึ้นเมื่อสูญเสีย
สำหรับร่างของผู้บริโภคและเครือข่ายนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อ 10,000 รายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายตามช่องทางของรัฐธรรมนูญ ส่วนของแพทยสภานั้นไม่แน่ใจว่าอยู่ในขั้นตอนใด เพราะ สป.แจ้งว่าได้เชิญร่วมสัมมนา แต่ไม่ได้เข้าร่วม ขณะที่ของกระทรวงสาธารณสุขก็มีเวอร์ชั่นของตัวเองอีกฉบับ ผ่าน ครม.ไปตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว แต่ต้องรอดูท่าทีรัฐบาลปัจจุบันอีกทีว่าจะเอาอย่างไร
แน่นอน ... กฎหมายนี้มีความสำคัญมาก เพราะเราทุกคนต่างก็ต้องเคยเป็น "คนไข้" และไม่มีใครรับประกันว่าตัวเราเองหรือญาติสนิทมิตรสหายของเราจะไม่เผชิญกับความผิดพลาดในการรักษาเข้าสักวัน ท่ามกลางมาตรฐานและความพร้อมของระบบบริการสุขภาพแบบที่เป็นอยู่นี้
ผศ.ดร.
| ร่างฉบับคุ้มครองผู้ป่วย | ร่างฉบับคุ้มครอง(บุคลากรการ)แพทย์ |
วัตถุประสงค์ | 1. ชดเชยความเสียหายของ ผู้ป่วย ทั้งเหตุสุดวิสัยและที่เกิดจากความผิดพลาด แต่ไม่ได้มุ่งจับคนผิด ค่าชดเชยครอบคลุมตามกฎหมายแพ่ง แต่มีเพดานวงเงิน 2. ลดการฟ้องร้องแพทย์ จากการจ่ายค่าชดเชยที่เป็นธรรมทันที หากใช้สิทธิตามกฎหมายนี้ แต่ก็ไม่ได้จำกัดสิทธิในการฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและอาญา 3. พัฒนาระบบความปลอดภัยคนไข้ โดยนำความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาวิเคราะห์แก้ไข ในต่างประเทศมีระบบให้รายงานความผิดพลาดแต่ไม่นำไปสู่การลงโทษ เป็นเรื่องท้าทายมากว่าประเทศไทยจะพัฒนาระบบนี้อย่างไร | ไม่ใช่การปกป้องแพทย์ไม่ให้ได้รับโทษตามกฎหมาย แต่ต้องการให้แพทย์ที่ดีสามารถทำหน้าที่ดูแลรักษาชีวิตผู้ป่วยได้ด้วยความมั่นใจ (ที่มา : แพทยสภา) |
พื้นฐานแนวคิดกฎหมาย | - ดูแลทั้ง 2 ฝ่ายให้เกิดความชอบธรรม - ไม่มุ่งที่การจับตัวหรือลงโทษผู้กระทำผิด | ดูแลแพทย์ให้กลายเป็นกลุ่มที่มีสิทธิพิเศษเหนือพลเมืองไทยทั่วไปโดย 1. กำหนดขอบเขต ประเภทความผิดที่แพทย์จะรับผิดให้แคบที่สุด และให้องค์กรวิชาชีพอย่างแพทยสภาเป็นผู้กำหนดว่าอะไรคือ "ความเสียหาย" 2. กำหนดวิธีการพิเศษที่จะกระทำต่อแพทย์ที่ตกเป็นผู้ต้องหา โดยก้าวหล่วงความเป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรม เพราะให้อำนาจองค์กรวิชาชีพมากเกินไป กำหนดให้ศาลต้องรับฟังความเห็นแพทยสภาในการไต่สวน |
ความชอบธรรมของกฎหมาย | -ไม่ขัดหลักนิติธรรม - เน้นสร้างสังคมสมานฉันท์ | - ไม่มีเหตุผลอันสมควรที่ต้องมีการคุ้มครองเฉพาะวิชาชีพด้านสุขภาพ เพราะกำหนดว่าต้องประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้นจึงจะได้รับโทษ ขณะที่กฎหมายอาญา เพียงการกระทำโดยประมาท ก็ต้องได้รับโทษแล้ว - ความล้มเหลวของกฎหมายวิชาชีพในการสร้างความสมดุลย์ของดูแลผู้ประกอบวิชาชีพและความเป็นธรรมของผู้ถูกละเมิดจากผู้ประกอบวิชาชีพ |
ผศ.ดร.ยุพดี กล่าวถึงร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหาย โดยเน้นว่า เมื่อจะมีการร้องเรียน จะมีคณะกรรมการกลางในการพิสูจน์ความเสียหายดังกล่าวว่าจริงหรือไม่ เพียงไหน ก่อนจ่ายค่าชดเชย โดยค่าชดเชยก็จะให้ในอัตราใกล้เคียงกับที่ศาลพิพากษา เพื่อลดการฟ้องร้อง แล้วนำความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไปแก้ไขในระบบต่อไป ส่วนกลไกการบริหารงานจะมีคณะกรรมการที่มาจากหลายฝ่ายในการกำหนดนโยบาย ซึ่งจะทำให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรม หลังจากที่ผ่านมาองค์กรวิชาชีพถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่ามักปกป้องวิชาชีพตนเองเป็นหลัก ขาดการตรวจสอบ
ส่วนเงินทุนนั้นสามารถได้มาจาก 3 แหล่งคือ เงินสมทบจากทั้งโรงพยาบาลเอกชน, กองทุนประกันสังคม และงบประมาณรัฐ
ด้านนาย
เขาระบุว่า การกำหนดให้รับผิดเฉพาะการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงนั้น เข้าใจว่าเป็นความกังวลใจของฝ่ายแพทย์ แต่ในระบบกฎหมายของไทยในกฎหมายอาญาไม่มีการกำหนดว่าประมาทร้ายแรงคืออะไร แต่มีมาตรฐานเดียวคือ กระทำผิดโดยประมาท ซึ่งโดยทั่วไปศาลก็ต้องพิจารณาตามวิสัยและพฤติการณ์ของจำเลยที่แตกต่างกันไปอยู่แล้ว หากกำหนดเพิ่มเติมว่าประมาทร้ายแรง จะมีปัญหาแปลกแยกกับกฎหมายที่มีอยู่และมีปัญหาในการตีความ
ชาญณรงค์เสนอว่า ควรใช้กฎหมายอาญาแบบเดิมและให้ศาลเป็นผู้ตีความ พิจารณา โดยอาจจะเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมแนวทางในการใช้ดุลยพินิจ นอกจากนี้ควรเพิ่มเติมกระบวนการประนอมข้อพิพาทไปในร่างกฎหมาย
ในส่วนของวิธีพิจารณา โดยกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอยู่จะต้องเปิดรับฟังจากทุกฝ่าย และเปิดให้มากที่สุด ไม่ควรกำหนดว่าต้องให้น้ำหนักใคร ฟังใคร ควรให้เป็นความอิสระของศาล
อย่างไรก็ตาม นาย
สารี อ๋องสมหวัง จากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวถึงบทบาทของแพทยสภาว่าอยากเห็นองค์กรวิชาชีพแห่งนี้โปร่งใสมากขึ้น และมีตัวแทนจากภายนอกเข้าไปร่วมเป็นกรรมการด้วย ดังเช่นที่ประเทศอื่นๆ ทำกันทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฮ่องกง ฯลฯ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)