จากกรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แสดงท่าทีของรัฐต่อเรื่องวิทยุชุมชนในการสัมมนา 'สื่อมวลชนคนวิทยุชุมชน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ' ที่โรงแรมโซฟิเทล ราชา ออคิด จ.ขอนแก่น โดยกล่าวว่าการที่มีพ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ออกมาและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2551 ที่ผ่าน ทำให้วิทยุชุมชนอยู่นอกกรอบของกฎหมายและเป็นวิทยุชุมชนเถื่อน พร้อมทั้งจะให้มีโครงการทดลองพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและวิทยุชุมชน เพื่อเป็นสถานีเครือข่ายของรัฐบาลซึ่งวิทยุชุมชนที่เข้าร่วมโครงการจะไม่ถูกจับดำเนินคดีนั้น
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ(คปส.)ในฐานะองค์กรที่ติดตาม ผลักดันการปฏิรูปสื่อของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง มีความกังวลต่อเรื่องนี้ว่าจะเป็นการเข้ามาจัดระเบียบวิทยุชุมชนซึ่งเป็นสื่อของภาคประชาชน
โดยในเรื่องนี้ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ รองประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อได้กล่าวว่า
"จริงอยู่ในกฎหมายพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ ฉบับใหม่ ที่ผ่านโดย สนช. นั้น ส่งผลให้วิทยุชุมชนอยู่ในความเสี่ยงระดับหนึ่ง เพราะยังขาดความชัดเจน
แต่การที่รัฐบาลลุกขึ้นมามีท่าทีดังกล่าว ย่อมเป็นเรื่องน่ากังวลเช่นกัน เพราะเท่ากับตอกย้ำให้เห็นการจะเลือกปฏิบัติต่อสื่อวิทยุชุมชน คือรัฐจะดีต่อฝ่ายสนับสนุนและอาจจะขัดขวางและจับกุมฝ่ายค้าน ใช้วาระทางการเมืองมาจัดระเบียบวิทยุชุมชนอีกครั้งหนึ่ง
เห็นว่าเรื่องนี้ควรค่อยดำเนินการโดยให้องค์กรอิสระ คือ กทช. หรือ กสช. ในอนาคตเป็นตัวหลัก รัฐบาลแค่ปล่อยให้วิทยุชุมชนดำเนินการไปได้โดยไม่จับกุมก็พอแล้ว หรือถ้าจะมีนโยบายอะไรก็ฟังเสียงที่แตกต่างของวิทยุชุมชนและสังคมด้วย"
ด้านนายวีระพล เจริญธรรม ผู้ประสานงานสมาพันธ์วิทยุชุมชนคนอีสาน กล่าวว่าการที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงท่าทีต่อวิทยุชุมชนแบบนี้ดูเหมือนว่ามีเจตนาแทรกแซงการทำงานของกทช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ในบทเฉพาะกาลของพ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ได้มอบหมายให้กทช.ทำหน้าที่ชั่วคราว ซึ่งเห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลและกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจรัฐบาลไว้เลย
"จึงมีคำถามกลับไปที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่ามีเจตนาอะไรแอบแฝงหรือไม่กับการออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ตอนนี้รัฐบาลรู้จักวิทยุชุมชนจริงหรือไม่" แม้ว่าตัวผมเองอาจจะไม่เห็นด้วยกับพ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ในบางมาตราที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ
รัฐบาลคงต้องกลับไปดูนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาว่าจะทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญได้ระบุชัดว่า ภายในกำหนดระยะเวลา180วัน ต้องได้องค์กรอิสระตามวรรค2 ของมาตรา47 ให้เกิดเป็นมรรคผลจะดีกว่า มิฉะนั้นแล้วจะถือว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้ทำตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ถ้ารัฐบาลคิดจะมาทำหน้าที่นี้แทนกทช.มีคำถามว่า จะเกิดความเป็นธรรมกับวิทยุชุมชนที่ปัจจุบันมีอยู่หลายรูปแบบเพียงแต่เรียกอย่างเดียวกัน หรือไม่ และจะมีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะไม่เลือกปฏิบัติซึ่งนี่เป็นข้อกังวล
จึงอยากเสนอทางออกผ่านไปยังรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าในระหว่างนี้ควรปล่อยให้ขบวนการวิทยุชุมชนได้ขับเคลื่อนไปเหมือนอย่างที่เคยได้ขับเคลื่อนมานานแล้ว รัฐบาลควรจะกลับไปทำตามบทบาทตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในทุกเรื่องที่มีผลกระทบกับประชาชนและสังคมจะดีกว่า ซึ่งจะทำให้เห็นว่ารัฐบาลนี้มีผลงานอะไรบ้างที่เป็นรูปธรรม
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อความเหมาะสมของบทบาทหน้าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกที่ควรหรือไม่ที่จะมาแทรกแซงการทำงานของสื่อวิทยุชุมชนทั้งที่ตามบทบาทหน้าที่ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังมีงานอีกมากมายที่ต้องรีบทำเพื่อประโยชน์ของรัฐที่ไม่ใช่เพียงรัฐบาลเท่านั้น