วันที่ 27 เม.ย.51 คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพออกแถลงการณ์ถึงรัฐบาลกรณีการเสียชีวิตของประชาชน 108 ศพที่มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี และบริเวณอื่นๆ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2547 โดยเรียกร้องให้รัฐบาลและสำนักงานอัยการสูงสุดเร่งดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อเปิดเผยความจริงกรณีดังกล่าว เนื่องจากเป็นการวิสามัญฆาตกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนมาก โดยเฉพาะการสังหาร 28 คนที่มัสยิดกรือเซะ และเยาวชนอีก 19 คนที่อำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งผู้เสียชีวิตจำนวน 8 คนจากจำนวน 19 คนถูกยิงบริเวณศีรษะ หรือใบหน้า และส่วนใหญ่เป็นการยิงจากข้างหลัง
แถลงการณ์ระบุว่า การไต่สวนการตายที่สะบ้าย้อยครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 นี้ ขณะที่กรณีของกรือเซะนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน แล้วนับแต่ศาลปัตตานีได้มีคำสั่งส่งสำนวนการไต่สวนการตายไปยังพนักงานอัยการเพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ แต่จนบัดนี้ ยังไม่ปรากฏว่าได้มีการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมตามปกติแต่อย่างใด ซึ่งมีผลต่อความรู้สึกและความไว้วางใจเจ้าหน้าที่รัฐของประชาชน
คณะทำงานฯ จึงมีข้อเสนอให้สำนักงานอัยการสูงสุดเร่งส่งสำนวนให้พนักงานสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิด มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บนพื้นฐานของความเป็นอิสระ โปร่งใส และปราศจากการแทรกแซงไม่ว่าจะจากฝ่ายใดๆ โดยระลึกว่า "ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม" นอกจากนี้ยังขอให้รัฐพิจารณาทบทวนการใช้กฎอัยการศึก และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในการควบคุมตัวประชาชน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการซ้อมทรมานผู้ถูกควบคุมตัวจำนวนมาก และบางคนต้องเสียชีวิตจากการลุแก่อำนาจของเจ้าหน้าที่
แถลงการณ์ ขอให้รัฐบาล และสำนักงานอัยการสูงสุด เร่งดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม เปิดเผยความจริงกรณีการเสียชีวิตของประชาชน 108 ศพ วันที่ 28 เมษายน 2547 กรณีเหตุการณ์วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่มัสยิดกรือเซะ จังหวัดปัตตานีและที่อื่นๆ ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 108 ศพในวันเดียวกัน โดยการวิสามัญฆาตกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจในหมู่ประชนทั่วไปถึงความถูกต้องชอบธรรมต่อการกระทำดังกล่าว โดยเฉพาะการสังหารประชาชน 28 คนในมัสยิดกรือเซะ และเยาวชนอีก 19 คนที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เพราะการ "วิสามัญฆาตกรรม" จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นการที่เจ้าหน้าที่ต้องป้องกันชีวิตของตนเอง หรือผู้อื่นให้พ้นจากภยันตราย จากการต่อสู้ของคนร้ายและจะต้องเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุเท่านั้น กรณีการเสียชีวิตของประชาชน 108 ศพจึงเป็นการตายโดยผู้อื่นทำให้ตายโดยเฉพาะเป็นความตายที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ทางคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพได้ร่วมสังเกตการณ์คดีไต่สวนการตาย(วิสามัญฆาตกรรม) กรณีดังกล่าวมาโดยตลอด โดยได้ร่วมฟังการสืบพยานหลักฐานของทางอัยการซึ่งเป็นผู้ร้อง และญาติของผู้ตายที่เป็นผู้คัดค้าน ในเหตุการณ์ที่สะบ้าย้อยนั้นอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสงขลาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2547 ขณะนี้พยานฝ่ายญาติผู้เสียชีวิตได้ร้องขอต่อศาลให้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นายซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุมาให้การเป็นพยาน ซึ่งจากหนังสือรับรองการตายระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวน 8 คนจากจำนวน 19 คนถูกยิงบริเวณศีรษะ หรือใบหน้า และส่วนใหญ่เป็นการยิงจากข้างหลัง ซึ่งการไต่สวนการตายสะบ้าย้อยครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 นี้ ส่วนกรณีการเสียชีวิตของประชาชน 32 ศพที่มัสยิดกรือเซะอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2547ในคดีหมายเลขดำที่ ช. 4 / 2547 และหมายเลขแดงที่ ช. 3/2549 โดยศาลจังหวัดปัตตานีได้มีคำสั่งลงวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมด 32 คนถูกเจ้าหน้าที่กระทำให้เสียชีวิต โดยมีการปะทะกัน ผู้เสียชีวิตบางคนมีมีด และปืนเป็นอาวุธ ในจำนวนนี้มี 4 คนเสียชีวิตในเวลา 05.00 บริเวณหน้ามัสยิดกรือเซะ ส่วนอีก 28 คนเสียชีวิตเมื่อเวลา 14.00 น.ในมัสยิด ซึ่งเป็นการเสียชีวิตเนื่องจากการถูกกระสุนปืนและระเบิดที่อวัยวะสำคัญ ภายใต้คำสั่งการของ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี พันเอกมนัส คงแป้น และพันตรีธนภัทร นาคชัยยะ ซึ่งศาลปัตตานีได้ส่งคำสั่งศาลให้อัยการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมตามปกติต่อไป แต่จนถึงขณะนี้เป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน นับแต่ศาลปัตตานีได้มีคำสั่งดังกล่าวแล้วส่งสำนวนการไต่สวนการตายไปยังพนักงานอัยการเพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ แต่จนบัดนี้ ยังไม่ปรากฏว่าได้มีการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมตามปกติแต่อย่างใด สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดคำถามจากประชาชนทั่วไปมาโดยตลอดถึงความล่าช้าของกระบวนการยุติธรรม และปัญหาในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมถึงความโปร่งใสที่ปลอดพ้นจากการแทรกแซงในระบบยุติธรรมของประเทศไทย คณะทำงานฯ รู้สึกห่วงใยต่อปัญหาสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดภาคใต้ที่เพิ่มมากขึ้น และประชาชนส่วนใหญ่ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น ซึ่งสาเหตุสำคัญประการหนึ่งมาจากความไม่เป็นธรรมที่ยังคงปรากฏอยู่ ทั้งนี้ คณะทำงานฯ หวังที่จะเห็นกระบวนการยุติธรรมไทยได้ทำหน้าที่ในการให้ความเป็นธรรม และสามารถเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง จึงมีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้ 1. ขอให้รัฐบาลยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีอย่างจริงจัง เคารพในสิทธิมนุษยชน โดยต้องยุติการส่งสัญญาณใดๆที่จะเป็นเสมือนหนึ่งในการสนับสนุนความรุนแรง เพราะความสูญเสียในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรือทรัพย์สินของฝ่ายใด คือ ความเจ็บปวดของคนร่วมแผ่นดินจึงไม่ควรนำมากล่าวเปรียบเทียบให้เกิดความแตกแยกในสังคม 2. ขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดเร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน ในเหตุการณ์การเสียชีวิตของประชาชนเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 โดยการส่งสำนวนให้พนักงานสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิด มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บนพื้นฐานของความเป็นอิสระ โปร่งใส และปราศจากการแทรกแซงไม่ว่าจะจากฝ่ายใดๆ โดยต้องระลึกเสมอว่า "ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม" 3.ขอให้รัฐพิจารณาทบทวนการใช้กฎอัยการศึก และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในการควบคุมตัวประชาชน รวมทั้งการไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมทันทีหลังการถูกควบคุมตัว อีกทั้งสถานที่ควบคุมตัวหลายแห่งมิได้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการซ้อมทรมานผู้ถูกควบคุมตัวจำนวนมาก และบางคนต้องเสียชีวิตจากการลุแก่อำนาจของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อให้ความยุติธรรมเป็นไปโดยเสมอภาคเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อกระบวนการยุติธรรม เพราะคดีไต่สวนการตายนี้ นอกจากเป็นที่สนใจของประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และประชาคมโลกแล้ว ยังเป็นปมเงื่อนสำคัญของการแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย *********** |
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)