องค์กรพัฒนาเอกชน และนักสิทธิมนุษยชนร่วมออกแถลงการณ์กรณีพลโท เตงเส่ง เยือนไทยระบุ ความอดสูต่อประชาคมโลกของประเทศไทย และท้ายที่สุดประเด็นในการเจรจาดังกล่าวนั้น ก็จะลงเอยดังเช่นหลายๆครั้งที่เคยมีการเจรจามาโดยตลอด นั่นคือ การลงทุนที่เกิดขึ้นจะเอื้อประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนเฉพาะกลุ่ม
000
แถลงการณ์เนื่องในโอกาสการเดินทางเยือนประเทศไทย ของพลโทเตง เส่ง นายกรัฐมนตรี สหภาพพม่า ระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน 2551
องค์กรพัฒนาเอกชนด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนที่รณรงค์ให้เกิดการสร้างประชาธิปไตยในพม่าในประเทศไทย มีความเห็นว่าการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีพม่าในครั้งนี้ นอกจากไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้จริงแล้ว อาจจะนำมาซึ่งความอดสูต่อประชาคมโลกของประเทศไทย และท้ายที่สุดประเด็นในการเจรจาดังกล่าวนั้น ก็จะลงเอยดังเช่นหลายๆครั้งที่เคยมีการเจรจามาโดยตลอด นั่นคือ การลงทุนที่เกิดขึ้นจะเอื้อประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนเฉพาะกลุ่ม
ตามที่ พลโท เตง เส่ง นายกรัฐมนตรีสหภาพพม่าได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 29 - 30 เมษายน พ.ศ. 2551 โดยจะเน้นการเจรจาในเรื่องของการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของไทยต่อพม่าและข้อตกลงเรื่องการแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่า อาทิ การแก้ปัญหายาเสพติด การเดินทางเข้าเมืองผิดกฎหมาย การเปิดด่านตามแนวชายแดน การทำคอนแทรคฟาร์มมิ่ง รวมถึงการสนับสนุนด้านการค้าการลงทุน และการหาแหล่งพลังงานทดแทนนั้น
องค์กรพัฒนาเอกชนด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนที่รณรงค์ให้เกิดการสร้างประชาธิปไตยในพม่าในประเทศไทย มีความเห็นว่าการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีพม่าในครั้งนี้ นอกจากไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้จริงแล้ว อาจจะนำมาซึ่งความอดสูต่อประชาคมโลกของประเทศไทย และท้ายที่สุดประเด็นในการเจรจาดังกล่าวนั้น ก็จะลงเอยดังเช่นหลายๆครั้งที่เคยมีการเจรจามาโดยตลอด นั่นคือ การลงทุนที่เกิดขึ้นจะเอื้อประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลทั้งสองประเทศ ด้วยเหตุผลที่ว่า
ประการแรก การเจรจาทางการเมืองที่อ้าง "ผลประโยชน์ของชาติ" เป็นคำสำคัญ เช่น โครงการเขื่อนสาละวิน โครงการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่พม่านั้น มิได้มีความมุ่งหมายเพื่อให้คนส่วนใหญ่รับประโยชน์ เพราะโครงการดังกล่าวละเลยต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนของทั้งประเทศไทยและประเทศพม่า ตรงกันข้ามกลับเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการปราบปรามชนกลุ่มน้อย รวมถึงยังเป็นแหล่งรายได้ของรัฐบาลทหารพม่าและกลุ่มนักธุรกิจของไทยบางกลุ่มเท่านั้น
ประการที่สอง ปัญหาที่ประเทศไทยได้รับอันเนื่องมาจากสถานการณ์การเมืองในพม่านั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแรงงานข้ามชาติ การค้ามนุษย์เพื่อประโยชน์ทางเพศ หรือแรงงาน มีประเด็นหลักอยู่ที่สถานการณ์ทางการเมืองและสิทธิมนุษยชนในพม่าที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย จึงเกิดการละเมิดสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม มาอย่างยาวนาน ด้วยการกีดกันกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนชาติพันธุ์ต่างๆ กีดกันการรับฟังเสียงของประชาชน กีดกันกลุ่มประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับเผด็จการทหาร ซึ่งประเด็นดังกล่าวย่อมจะขัดแย้งต่อรัฐบาลไทยที่มาจากการเลือกตั้ง
ดังนั้นเพื่อให้เกิดบรรทัดฐานของการเจรจาระหว่างประเทศ และเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย ดังนี้
1.ให้รัฐบาลชะลอการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ในพม่า ที่จะส่งผลกระทบต่อสิทธิในการกำหนดวิถีชีวิตของประชาชนทั้งในพม่าและไทย ทั้งนี้เพื่อมิให้รัฐบาลทหารของพม่า ใช้ประเทศไทยเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่จะก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนษยชนต่อประชาชนในประเทศพม่า
2.ให้รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายระหว่างประเทศกับพม่า โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศทันที ด้วยการผลักดันให้ประเทศพม่าจัดทำกระบวนการสร้างประชาธิปไตยอย่างจริงจัง
3.ให้รัฐบาลไทย เป็นหลักในกลุ่มสมาชิกอาเซียนที่จะผลักดันให้กระบวนการสร้างประชาธิปไตยในพม่าเป็นไปอย่างโปร่งใสและประชาชนทุกชาติพันธุ์ของพม่ามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในกระบวนการลงประชามติและการจัดการการเลือกตั้ง ในปีพ.ศ. 2553 เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนพม่า และประชาชนอาเซียนในระยะยาวอย่างแท้จริง
29 เมษายน 2551
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในพม่า (กรพ.)
เครือข่ายสันติภาพเพื่อพม่า (Peach for
มูลนิธิส่งเสริมสันติวิถี(Peaceway Foundation)