Skip to main content
sharethis





ต่างประเทศ


 


'หูจิ่นเทา'เยือนกระชับมิตรญี่ปุ่น


 


ประธานาธิบดีหูจิ่นเทาของจีนเริ่มการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งประวัติศาสตร์ที่กินเวลานาน 5 วัน  โดยทันทีที่เดินทางถึงสนามบินฮาเนดะในกรุงโตเกียวเมื่อวันที่  6  พ.ค.  ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นและประชาชนที่ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนมากกว่า 200 คน โดยมีกำลังตำรวจราว7,000 นายคอยคุมสถานการณ์ป้องกันการประท้วง ผู้นำของจีนได้กล่าวแสดงความหวังว่า  การเยือนอย่างเป็นทางการครั้งนี้จะเสริมสร้างมิตรภาพจีน-ญี่ปุ่นให้คืบหน้าอีกขั้น และจะเป็น  "ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นแห่งมิตรภาพอันยืนยาว"  ระหว่างสองชาติ


 


จีนและญี่ปุ่นต่างเป็นชาติสำคัญในเอเชียและในโลก"  หูแถลง  "ด้วยการเยือนครั้งนี้  ข้าพเจ้าหวังจะเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน  สร้างเสริมมิตรภาพ  และประสานความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น"


 


ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนถึงจุดตกต่ำที่สุดเมื่อ  3  ปีก่อน  ในยุคของนายกฯ  จุนอิชิโร  โคอิซูมิ  ที่สร้างความโกรธแค้นแก่จีนด้วยการเดินทางไปสักการะศาลเจ้ายาสุกุนิที่ถูกมองเป็นสัญลักษณ์ลัทธินิยมทหาร  จนจีนระงับการติดต่อเจรจาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในช่วง  2544-2549


 


ยาสุโอะ ฟุกุดะ นายกฯ  ญี่ปุ่นคนปัจจุบันได้พยายามสมานรอยร้าวนี้โดยให้คำมั่นว่าเขาจะไม่ไปสักการะศาลเจ้าสงครามแห่งนี้ในระหว่างที่ยังดำรงตำแหน่งผู้นำ


 


คาดกันว่าการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำทั้งสองจะมีทั้งการหารือด้านการค้า,  ความมั่นคง  และปัญหาข้อพิพาทเรื่องแหล่งก๊าซธรรมชาติใต้ทะเล โดยนอกจากการเข้าร่วมพิธีการต่างๆ การกล่าวสุนทรพจน์และลงข้อตกลงทั้งหลายแล้ว  หูกับฟุกุดะอาจได้มีโอกาสตีปิงปองกันด้วย


 


จีนได้แซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว โดยมีมูลค่าค้าขายระหว่างกันถึง 236.6 พันล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น  12  เปอร์เซ็นต์จากปี  2549  อย่างไรก็ดีขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของจีนได้เพิ่มโอกาสทางการค้า  แต่การดิ้นรนขยายอิทธิพลทางการทูตและทางทหารของจีนกลับเพิ่มความกังวลใจแก่ญี่ปุ่น ทั้งด้วยปัญหาข้อพิพาทแหล่งก๊าซฯ, การสร้างเสริมแสนยานุภาพทางทหารของจีน  หรือแม้กระทั่งมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าส่งออกของจีน


 


"แม้ภูเขาน้ำแข็งระหว่างจีนและญี่ปุ่นได้ละลายไปแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายต้องใช้ความอุตสาหะต่อไปหากต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่นอย่างเต็มกำลัง"  นักวิเคราะห์รายหนึ่งแสดงทัศนะในหนังสือพิมพ์ไชน่าส์พีเพิลเดลี


 


การเดินทางของหูครั้งนี้ถือเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกของผู้นำจีนนับแต่เกิดจลาจลในทิเบตเมื่อเดือน  มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งการใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงครั้งนั้นทำให้รัฐบาลจีนถูกนานาชาติประณามอย่างรุนแรง  และเกิดการประท้วงสร้างปัญหาก่อกวนการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกของจีน


 


กลางกรุงโตเกียวนั้นมีผู้ประท้วงมากกว่า  1,000  คนเดินขบวนอย่างสันติพร้อมกับร้องตะโกน  "สิทธิมนุษยชนเพื่อทิเบต" บ้างก็ถือป้าย "ปลดปล่อยทิเบต" และ  "อย่าฆ่าเพื่อนๆ  ของเรา"  พร้อมกับโบกสะบัดธงชาติทิเบต ขณะที่พวกนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาขึ้นรถยนต์ขับตระเวนทั่วกรุง ตะโกนคำขวัญต่อต้านจีนและร้องเพลงชาติญี่ปุ่น  แต่ไม่มีรายงานการปะทะกับเจ้าหน้าที่


 


ยูกิโอะ เอดาโนะ  ส.ส.ฝ่ายค้านกล่าวกลางการชุมนุมว่า  นายกฯ  ฟุกุดะควรหยิบยกประเด็นทิเบตขึ้นเจรจากับหู  "ถ้าการพบปะระหว่างนายกฯ  ฟุกุดะกับประธานาธิบดีหูจิ่นเทาเป็นแค่เรื่องพิธีการเท่านั้น  นั่นก็หมายความว่าเราได้สมรู้ร่วมคิดกับการก่ออาชญากรรมของจีนในทิเบตด้วย"


 


การเยือนนาน 5 วันครั้งนี้ของผู้นำจีนถือเป็นทริปเยือนต่างแดนที่ใช้เวลานานที่สุดนับแต่หูขึ้นสู่อำนาจเมื่อปี  2546  และเป็นการเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการครั้งที่  2  เท่านั้นของบุคคลระดับผู้นำของจีน


 


ที่มา: http://www.thaipost.net


 


 


ญี่ปุ่นผลิตกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ แก้ปัญหา กระดาษ-น้ำมันแพง


 


ญี่ปุ่นกำลังเตรียมผลิตกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรับมือกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติที่กำลังร่อยหรอน้อยลง


 


บริษัทต่างๆ ได้พากันนำผลิตภัณฑ์ออกแสดงในงานผลิตภัณฑ์ไฮเทคที่เปิดขึ้น ในกรุงโตเกียวในเดือนนี้ ในรูปของจอแบบต่างๆ ทั้งหนาและบาง เหมือนกับทำด้วยพลาสติก สามารถงอและม้วนได้


 


บริษัทอี-ลิงค์ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของโซนี่ แจ้งว่า ประชาชนคงจะต้องหันกลับมาหาเทคโนโลยีประหยัดพลังงานกันแล้ว เนื่องจากราคาของกระดาษและน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทะยานสูงขึ้น ญี่ปุ่นซึ่งมีชื่อเสียงในหัตถกรรมกระดาษรวมทั้งเทคโนโลยีระดับสูง กำลังพยายามสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ความสามารถรวมสองสิ่งนั้นเข้าด้วยกัน


 


ในงาน บริษัทอย่างฟูจิตสึและโซนี่ต่างหันมาแสดงผลิตภัณฑ์ที่ใช้จออีเลโรโฟเรติก ในผลิตภัณฑ์ตั้งแต่นาฬิกาข้อมือ ไปจนถึงจออิเล็กทรอนิกส์ มันทำงานด้วยการส่งประจุไฟฟ้าไปตามลวดที่ฝังอยู่ในกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดจุดขาวดำเล็กๆ เคลื่อนที่ ให้เกิดเป็นต้นฉบับและภาพขึ้น


 


ที่มา: http://www.thairath.co.th


 






การศึกษา


 


แห่สมัครสอบครู6.2หมื่นคนเกินอัตราบรรจุ


เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2551 คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการสอบบรรจุครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ประจำปีการศึกษา 2551 ว่า ตามที่ สพฐ.ได้ประกาศรับสมัครสอบบรรจุบุคคลเข้ารับราชการครูตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.-4 พ.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีจำนวนผู้มาสมัครสอบทั้งสิ้น 62,828คน ซึ่งในช่วงแรกผู้ที่สอบผ่านจะได้รับการบรรจุจำนวน 4,300 กว่าอัตรา และจะขึ้นบัญชีไว้ 2 ปี แต่ทั้งนี้หลังจากที่มีการเกษียณอายุราชการ และเออร์รี่ลีไทร์ในเดือน ต.ค.51 ก็จะมีการเรียกบรรจุจากบัญชีนี้อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะมีประมาณ 8,000 กว่าอัตราโดยจะดำเนินการสอบในวันที่ 10-11 พ.ค. และตรวจข้อสอบภายในเดือน พ.ค.นี้ โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์เขต 3 มีผู้มาสมัครมากที่สุดจำนวน 10,260 คน และเขตพื้นที่การศึกษาระยองเขต 2 มีคนมาสมัครต่ำสุด


 


เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ได้มีการประเมินผลปฏิบัติราชการของหน่วยงานราชการต่างๆ ซึ่งสพฐ.ได้รับผลการประเมิน 4.371 ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีมาก และได้รับเงินรางวัลทั้งหมด 2,407 ล้านบาท เพื่อให้มาจัดสรรให้กับครู บุคลากรทางการศึกษาและลูกจ้างประจำของ สพฐ.ที่มีอยู่ประมาณ 5 แสนคน ซึ่งจะมีการจัดสรรให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.นี้แต่ทั้งนี้จะต้องมีการประเมินผลงานตามลำดับในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา ดังนั้นเงินรางวัลที่ได้จะไม่เท่ากัน โดยจะให้ตามผลงานเฉลี่ยแล้วจะได้ประมาณคนละ 4,000-4,500 บาท


 


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


 






เศรษฐกิจ


 


โรงสีปิดรับซื้ออ้างข้าวชื้นสูงชาวนาขู่นัดชุมนุมทั่วประเทศ


ชาวนารวมตัวประท้วง ถูกนายทุนฮั้วโรงสีกดราคา ปิดรับซื้อข้าวอ้างความชื้นสูง ขู่ชุมนุมใหญ่ทั่วประเทศ ชาวนากาฬสินธุ์เทข้าวเปลือกประท้วง กรมการค้าภายในส่งทีมจัดการโรงสีไม่รับซื้อ-กดราคา โดนสองเด้ง ติดคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสน ถอนใบอนุญาต สังเวยแล้ว 1 ราย ยิงตัวตายหนีหนี้ "แอมเวย์" จับมือสหกรณ์การเกษตรพร้าว เซ็นสัญญาซื้อข้าวหอมมะลิบรรจุถุง 500 ตัน มูลค่า 19 ล้านบาท


 


ชาวนาทั่วประเทศรวมตัวประท้วงโรงสีฮั้วนายทุนกดราคารับซื้อข้าวเปลือก เรียกร้องรัฐบาลแก้ปัญหาโดยด่วน เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 พฤษภาคม ชาวนา ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง กว่า 500 คน นำโดย นายพะวิง ทองช่วย ประธานกลุ่มเกษตรกรผู้ใช้น้ำทำนาบ้านคลองตรุด ต.ชัยบุรี และนายจรัส สงกลิ่น อายุ 53 ปี ประธานศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลชัยบุรี มารวมตัวกันบริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดพัทลุง เพื่อเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการช่วยเหลือกรณีพ่อค้าคนกลางกดราคารับซื้อข้าวเปลือกจากแปลงนาเหลือเพียงตันละ 9,500 บาท ขณะที่ราคาข้าวปกติในพื้นที่ใกล้เคียงอยู่ที่ตันละ 1.35 หมื่นบาท


 


จากนั้น นายสุเทพ โกมลภมร ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงได้เรียกประชุมหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานการค้าภายใน สำนักงานเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พร้อมด้วยแกนนำชาวนา เพื่อรับฟังข้อมูลเบื้องต้น เนื่องจากพื้นที่ ต.ชัยบุรี เป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของ จ.พัทลุง มีข้าวที่กำลังทยอยเก็บเกี่ยวประมาณ 2.5 หมื่นไร่ ผลผลิตประมาณ 2 หมื่นตัน พร้อมประสานโรงสีข้าวขนาดใหญ่จากนอกพื้นที่ให้เข้ามารับซื้อข้าวเปลือกในราคาเป็นธรรม ขณะที่โรงสีข้าวขนาดกลางและขนาดใหญ่ใน จ.พัทลุง กว่า 15 แห่ง ไม่สามารถส่งข้าวจำหน่ายภาคกลางได้ เนื่องจากมีข้าวถุงธงฟ้าออกมาตีตลาด ซึ่งในที่ประชุมสรุปให้มีการเชิญผู้ประกอบการโรงสีข้าวภายใน จ.พัทลุง มาร่วมประชุมพร้อมด้วยแกนนำชาวนา เพื่อแก้ปัญหาต่อไป กลุ่มชาวนาจึงสลายตัว


 


นายไสว แก้วขำ นายก อบต.ชัยบุรี หนึ่งในแกนนำชาวนา กล่าวว่า ถ้าชาวนา ต.ชัยบุรี ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือในเรื่องราคาข้าวภายใน 1 สัปดาห์   ชาวนาจะกลับมารวมตัวกันบริเวณสนามหน้าศาลากลางพัทลุงอีกครั้งในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้


 


เทข้าวประท้วงโรงสีกดราคาข้าว


วันเดียวกัน ที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ นายสำรอง โพธิ์ซก ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตยคนอีสาน พร้อมด้วยตัวแทนชาวนากาฬสินธุ์จำนวน 100 คน ได้ปักหลักชุมนุมประท้วงและเรียกร้องผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดไปยังรัฐบาลให้เข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกที่ตกต่ำ เนื่องจากโรงสีทุกแห่งใน จ.กาฬสินธุ์ รับซื้อข้าวเปลือกเพียงตันละ 6,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สวนทางกับรัฐบาล ที่ตั้งราคาซื้อขายข้าวเปลือกปีนี้ไว้สูงถึงตันละ 1.7 หมื่นบาท ในการรับซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิ ขณะที่ราคาข้าวเปลือกเหนียวจะรับซื้อสูงถึงตันละ 1.2 หมื่นบาท ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในประเทศ ทำให้ชาวนาต้องนำข้าวเปลือกไปขายต่างจังหวัดที่ให้ราคาที่ดีกว่า เชื่อว่าราคาที่ตกต่ำเกิดจากปัญหานายทุนและโรงสีรวมตัวกันฮั้วราคาซื้อขายข้าวเปลือกกำหนดราคาอย่างไม่เป็นธรรม


 


บรรยากาศการชุมนุมครั้งนี้ บรรดาแกนนำรวมถึงชาวนาได้ผลัดกันขึ้นปราศรัยโจมตีการทำงานของการค้าภายในจังหวัดกาฬสินธุ์ กับกลโกงทุจริตจากโรงสีและตลาดกลางข้าว รวมถึงนายทุน ที่กำหนดราคาให้ต่ำจนมีการเทข้าวเปลือกประจาน ล่าสุดโรงสีใหญ่ยังปิดรับซื้อข้าวเปลือกชาวนา โดยอ้างถึงผลผลิตที่ล้นตลาด แต่ขณะนี้พบว่าโรงสีรายเล็กรวมถึงโรงสีขนาดกลางกลับรับซื้อข้าวเปลือกแทน และยังปั่นราคาให้รับซื้อข้าวเปลือกในราคาต่ำ เพียงตันละ 5,000 บาท


 


ทั้งนี้ ตัวแทนเกษตรกรได้เรียกร้อง 5 ประเด็น คือ 1.ให้ทำการเปิดการค้าเสรีในพื้นที่เพื่อให้เกิดการแข่งขัน 2.ให้ชี้แจงกรณีหักค่าความชื้นที่ไม่เป็นธรรม 3.ให้ตรวจสอบปัญหาการฮั้วราคาระหว่างโรงสีและตลาดกลาง 4.ให้การค้าภายในชี้แจงปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ รวมไปถึงจำนวนข้าวที่โรงสีรับซื้อไปแล้วว่าไปอยู่ที่ไหน และ 5.ให้ทบทวนระบบการซื้อขายที่ต้องการให้โรงสีที่รับซื้อจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรที่ขายข้าวขาดทุนอย่างไม่เป็นธรรม


 


รับข้อเสนอ2ข้อที่เหลือส่งส่วนกลาง


นายเดชา ตันติยวรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในข้อเรียกร้องที่เสนอมา จังหวัดมีหน้าที่ในการพิจารณาและส่งสารไปยังส่วนกลาง โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ที่สามารถดำเนินการได้มีเพียง 2 กรณี คือ กระบวนการชี้แจงวิธีการหักค่าความชื้นของโรงสีกับแนวทางการแก้ไข โดยจะเสนอเรื่องการแก้ไขปัญหาไปยังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขออนุญาตให้โรงสีข้าวในต่างจังหวัดที่สนใจเข้ามารับซื้อข้าวเปลือกของเกษตรกรในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อให้เกิดการแข่งขันในการรับซื้อข้าวเปลือก และเกษตรกรมีทางเลือกในการขายข้าวเปลือก หรือเลือกขายแบบเสรี ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นและป้องกันการกดราคาของโรงสีในพื้นที่ ส่วนเรื่องให้รัฐบาลประกันราคาข้าวเปลือกเหนียวตันละ 9,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 1.2 หมื่นบาทนั้น จังหวัดจะนำเรื่องเสนอไปยังส่วนกลาง เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่อไป


 


ด้านนายสำรองกล่าวว่า ข้อเรียกร้องที่จังหวัดรับไปยังไม่เป็นที่พอใจของเกษตรกร เพราะขณะนี้ส่วนต่างจากการค้าข้าวที่เอาเปรียบเกษตรกรได้สร้างผลกำไรอย่างมหาศาลให้แก่นายทุนไปแล้ว ดังนั้นชาวนาจึงมีมติจะเคลื่อนไหวให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาต่อไป สิ่งที่ต้องการที่สุดคือต้องการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงมารับทราบปัญหา แล้วดำเนินการเอาผิดกับการฮั้วราคาข้าวเปลือก หากเป็นไปได้ควรจะให้บทเรียนด้วยการไม่รับซื้อข้าวจาก กลุ่มนายทุนที่มีพฤติกรรมฉ้อโกงข้าวเปลือกชาวนาด้วย


 


รวมตัวกู้ธ.ก.ส.แก้ไขปัญหา


นายสมาน ทัดเที่ยง คณะอนุกรรมการลุ่มน้ำปิงและประธานเครือข่ายสมาพันธ์ลุ่มน้ำกวง เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกที่จำหน่ายในท้องตลาดราคาลดลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะข้าวเหนียวที่ราคาเหลือเพียงตันละ 6,000 บาทเท่านั้น จากราคาเดิมเมื่อกลางเดือนเมษายน ราคาตันละ 8,000-9,000 บาท ส่งผลให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้นทุนในการทำนาสูง ทั้งปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ ค่าแรงงาน และน้ำมัน ที่เกษตรกรต้องใช้เพื่อสูบน้ำเลี้ยงต้นข้าว ดังนั้นปัญหาของเกษตรกรเวลานี้คือ โรงสีไม่ยอมรับซื้อข้าว โดยให้เหตุผลว่าข้าวในสต็อกยังมีอยู่ ทำให้ไม่มีที่เก็บ ประกอบกับรัฐบาลไม่ได้กำหนดราคารับจำนำข้าวนาปรัง ส่งผลให้มีข้าวเหนียวตกค้างในมือเกษตรกรเป็นจำนวนมาก การแก้ปัญหาเบื้องต้นได้เข้าไปเจรจากับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้ปล่อยกู้แก่เกษตรกร เพื่อนำเงินไปรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ แล้วนำมารวบรวมไว้ในยุ้งฉางของพื้นที่นั้นๆ โดยจ่ายเงินในราคาเกวียนละ 5,000 บาท และรอราคาข้าวเพิ่มสูงขึ้นจึงทยอยขาย ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่เดือดร้อนได้ในระดับหนึ่ง


 


ชี้โรงสีไม่รับซื้อโทษทั้งจำ-ปรับ


นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวถึงกรณีเกษตรกรจาก จ.กาฬสินธุ์ ร้องเรียนเรื่องกลุ่มโรงสีไม่ยอมรับซื้อข้าวเปลือก ว่า เท่าที่ตรวจสอบ ขณะนี้โรงสีไม่ยอมรับซื้อข้าวเปลือกเหนียว ซึ่งกำลังตรวจสอบว่า โรงสีที่ จ.กาฬสินธุ์ มีพฤติกรรมไม่ยอมรับซื้อข้าวจากเกษตรกรจริงหรือไม่ พร้อมกันนี้ กรมการค้าภายในได้ส่งทีมออกตรวจสอบทั้ง จ.กาฬสินธุ์ พระนครศรีอยุธยา และอีกหลายจังหวัด เพื่อดูว่าโรงสีในจังหวัดต่างๆ มีพฤติกรรมไม่ยอมรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรหรือไม่


 


ทั้งนี้ หากโรงสีใดมีพฤติกรรมดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ค้าข้าว พ.ศ.2548 ระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่ทำธุรกิจโรงสีข้าวจะต้องซื้อและให้ราคาข้าวแก่ผู้ขายตามราคาตลาด หากโรงสีใดมีพฤติกรรมไม่ยอมรับซื้อข้าว เข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.ค้าข้าว มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีโอกาสถูกถอนใบอนุญาตได้ อีกทั้งยังถือว่า กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ที่กดราคารับซื้อสินค้า มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


 


นอกจากนี้ กรมการค้าภายในจะขอความร่วมมือตลาดกลางทั่วประเทศ ให้เข้าไปรับซื้อข้าวจากเกษตรกรโดยตรงโดยไม่ผ่านโรงสี และขอยืนยันว่า แม้ว่าราคาข้าวในปัจจุบันอาจปรับลดลงบ้าง แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดทำข้าวถุงธงฟ้ามหาชนของกระทรวงพาณิชย์ที่จะออกสู่ตลาดกลางเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งราคาข้าวในปัจจุบันอยู่ในระดับ 1.2-1.3 หมื่นบาทต่อตัน แม้จะมีฝนตกชุก ทำให้ข้าวมีความชื้น แต่ไม่ได้เป็นเหตุผลที่โรงสีข้าวจะอ้างกดราคารับซื้อต่ำกว่าราคาตลาด จึงสั่งการพาณิชย์จังหวัดเข้าไปดูแลเรื่องนี้แล้ว


 


ขณะที่ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหารกล่าวว่า สถาบันอาหารจะนำปัญหาร้านอาหารไทยในต่างประเทศประสบปัญหาข้าวสารราคาแพงมาก และหาซื้อยากเข้าหารือกับกรมส่งเสริมการส่งออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการครัวไทยสู่ครัวโลกในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ เพื่อหาทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยจะต้องตรวจสอบก่อนว่า ปัญหาดังกล่าวรุนแรงมากน้อยแค่ไหน โดยเชื่อว่าน่าจะเป็นปัญหาเพียงระยะสั้น เพราะขณะนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาวะข้าวราคาแพง


 


นายยุทธศักดิ์กล่าวด้วยว่า เห็นด้วยที่รัฐบาลจะพลิกวิกฤติข้าวราคาแพงให้เป็นโอกาส ในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศต่อสายตาชาวโลกว่า แม้หลายประเทศจะมีปัญหาไม่สามารถส่งออกข้าวได้ แต่ประเทศไทยยังคงส่งออกข้าวได้ตามปกติ 9 ล้านตัน และถือเป็นครัวโลกได้ต่อไป นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะโปรโมทโครงการครัวไทยสู่ครัวโลกสู่เวทีโลกได้อีกด้วย เพราะนอกเหนือจากจะขยายร้านอาหารไทยในต่างประเทศแล้ว ยังจะต้องทำให้อาหารไทยมีมาตรฐานและเป็นอาหารปลอดภัย


 


ชาวนาเครียดหนี้สินยิงตัวตาย


เกิดเหตุสลดขึ้นเมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.ท.ชัยยา แร่เพชร พนักงานสอบสวน (สบ 3) สภ.เมืองสุพรรณบุรี รับแจ้งเหตุมีชายถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่บ้านเลขที่ 147/2 หมู่ 1 บ้านไผ่ขวาง ต.ไผ่ขวาง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียว หลังคามุงสังกะสี ที่บริเวณกลางบ้านพบรอยเลือด และปืนพกลูกซองเบอร์ 410 ลูกปลาย ไม่มีหมายเลขทะเบียน 1 กระบอก มีปลอกกระสุนค้างอยู่ในลำกล้องปืน 1 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน และพบศพ นายสมบัติ กุ้งทอง อายุ 54 ปี เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซอง กระสุนเข้าที่หน้าอกด้านขวา 1 นัด อาการสาหัส และทนพิษบาดเจ็บไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่ รพ.ศูนย์ฯ


 


จากการสอบสวน นางสมบัติ กุ้งทอง อายุ 51 ปี ภรรยาของนายสมบัติให้การว่า ตนกับสามีประกอบอาชีพทำนา มีพื้นที่นาเป็นของตัวเอง 25 ไร่ และเป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขา อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มีหนี้สินอยู่กับธนาคารดังกล่าว 6 หมื่นบาท หลังกู้มาลงทุนทำนา และยังไม่ได้ชำระหนี้สิน ในช่วงที่ราคาข้าวเปลือกสูงถึงเกวียนละ 1.3 หมื่นบาท ครอบครัวตนไม่มีข้าวจะขาย เนื่องจากการทำนาประสบปัญหาโรคศัตรูพืช ทำให้เมล็ดข้าวลีบ ได้ผลผลิตน้อย ที่ผ่านมาสามีบ่นน้อยใจในโชคชะตา ขณะที่เพื่อนบ้านที่ทำนาเหมือนกัน แต่ได้ผลผลิตมากกว่า ประกอบกับถึงกำหนดจะต้องใช้หนี้เงินกู้แก่ ธ.ก.ส. ทำให้สามีเครียดอย่างมาก


ตำรวจสันนิษฐานว่า ผู้ตายน่าจะเกิดความเครียดที่ไม่มีเงินมาใช้หนี้ ธ.ก.ส. จึงฆ่าตัวตายดังกล่าว



แอมเวย์จับมือสหกรณ์ซื้อข้าวหอมมะลิ


นายวิกร ถกลกิจ ประธานสหกรณ์การเกษตรพร้าว จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์การเกษตรพร้าวได้เซ็นสัญญาซื้อขายข้าวหอมมะลิกับ บริษัท แอมเวย์ จำกัด เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีข้อตกลงส่งข้าวให้แอมเวย์ 500 ตัน มูลค่ารวม 19 ล้านบาท มีระยะเวลา 6 เดือน สัญญาสิ้นสุดปลายปี 2551 ซึ่งแอมเวย์ทำสัญญาซื้อขายข้าวกับสหกรณ์มานานแล้ว มียอดส่งข้าวหอมมะลิให้แอมเวย์ไม่ต่ำกว่าปีละ 200 ตัน และสัญญาฉบับนี้เป็นการเซ็นสัญญาในรอบที่ 23 โดยแอมเวย์จะนำข้าวหอมมะลิที่บรรจุถุงแล้วไปจำหน่าย เพราะข้าวหอมมะลิของ อ.พร้าว ถือเป็นข้าวคุณภาพสูง จึงเป็นที่นิยมของตลาด


 


ด้านนางสุรีรัตน์ จอมแปง ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรพร้าว จำกัด กล่าวว่า แอมเวย์ทำสัญญาซื้อขายข้าวหอมมะลิกับสหกรณ์เพื่อนำไปจำหน่ายต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เพราะข้าวหอมมะลิของ อ.พร้าว มีคุณภาพมาตรฐานสูง นอกจากนี้ สหกรณ์ยังรวบรวมข้าวจากเกษตรกรแล้วบรรจุถุงขายเอง รวมทั้งขายให้โรงสีข้าวทั้งในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และต่างจังหวัด ที่มารับซื้อไปบรรจุถุงขาย แต่ละปีสามารถรวบรวมข้าวจากเกษตรกรในพื้นที่ได้ไม่ต่ำกว่า 4,000 ตัน นำไปบรรจุถุงจำหน่าย สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 40 ล้านบาท


 


โรงสีแจงข้าวชื้นรับภาระส่วนต่าง2บาท/กก.


ขณะที่นายศิริ ไชยสถิตย์วานิช ประธานชมรมโรงสีข้าวจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า เนื่องจากสภาพคล่องของโรงสีโดยทั่วไปไม่ค่อยดีนัก ประกอบกับปัญหาข้าวเหนียวที่เกษตรกรนำมาขายมีความชื้นสูงถึง 35-36% จากปกติความชื้นในเกณฑ์มาตรฐานรับซื้อข้าวสดอยู่ที่ 30% หากความชื้นสูงเกินเกณฑ์โรงสีต้องนำข้าวมาผ่านขั้นตอนวิธีการอบข้าว เพื่อลดความชื้นให้มีค่าต้นทุนความชื้นเหลือ 14% ซึ่งต้นทุนในการอบข้าวอยู่ที่กิโลกรัมละ 9 บาท ในขณะที่รัฐบาลประกันราคาข้าวให้เพียงกิโลกรัมละ 7 บาทเท่านั้น ดังนั้น โรงสีต้องแบกรับภาระต้นทุนส่วนต่างถึงกิโลกรัมละ 2 บาท ส่งผลให้ราคารับซื้อข้าวจากเกษตรกรขณะนี้ราคาตันละ 6,500-6,800 บาท ประกอบกับการที่ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ออกสื่อว่าราคาข้าวจะพุ่งสูงขึ้นอีก จึงทำให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ไม่ยอมขาย แต่ในขณะนี้ราคาข้าวตกต่ำลง ชาวนาจึงต้องนำข้าวที่สต็อกไว้ออกจำหน่าย เพราะผลผลิตข้าวนาปรังกำลังออกสู่ท้องตลาด


 


ด้านนายนิสิต เมฆอรุณกมล ประธานชมรมโรงสีข้าวจังหวัดพิษณุโลกกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ราคาข้าวตกต่ำในขณะนี้ เกิดจากปัจจัยทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประเทศฟิลิปปินส์ล้มการประมูลข้าว จึงทำให้ผู้ส่งออกข้าวต่างประเทศงดรับซื้อข้าวจากเกษตรกร ดังนั้น ราคาข้าวในประเทศจึงลดต่ำลงเหลือเพียงตันละ 8,000-9,000 บาทเท่านั้น จากเดิมตันละ 1.2 หมื่นบาท


 


นอกจากนี้ การที่รัฐบาลนำข้าวในคลังกว่า 2.1 ล้านตัน มาทำข้าวธงฟ้าจำหน่ายให้ประชาชน ในราคาต่ำกว่าท้องตลาดถึง 20% ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อและหันไปซื้อข้าวธงฟ้าแทน ประกอบข้าวนาปรังที่กำลังจะเก็บผลผลิตในช่วงเดือนมิถุนายน ของ จ.พิษณุโลก กว่า 2 แสนตัน ก็จะทำให้ราคาข้าวตกลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาการปั่นราคาของพ่อค้าคนกลางด้วย


 


ที่มา: http://www.komchadluek.net


 


 


เสนอปิดเกาะเสม็ด-หาดแม่รำพึงฟื้นสิ่งแวดล้อม


เกาะเสม็ด-หาดแม่รำพึง วิกฤติขยะล้นและน้ำเน่าเสีย เผยมีพื้นที่กำจัดขยะเพียง 4 ไร่ รองรับการฝังกลบนานกว่า 10 ปี ผุดไอเดียปิดเกาะหวังแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ชี้ปัญหาเกิดจากการบุกรุกและนักท่องเที่ยวขาดจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม ทิ้งถุง-ขวดพลาสติกเกลื่อนหาด เตรียมเสนอรางวัลล่อใจหวังลดปริมาณขยะ


 


เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 6 พฤษภาคม นายทรงธรรม สุขสว่าง ผู้อำนวยการส่วนศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า หมู่เกาะเสม็ด จ.ระยอง เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อศึกษาและติดตามขีดความสามารถในการรองรับการใช้ประโยชน์ด้านนันทนาการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ โดยมีนายสิทธิชัย เสรีสงแสง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า หมู่เกาะเสม็ด กล่าวรายงาน และมีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ 8 แห่งทั่วประเทศไทย ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า หมู่เกาะเสม็ด อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย อุทยานแห่งชาติตะรุเตา อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ร่วมประชุมกว่า 50 คน


 


นายสิทธิชัย กล่าวว่า ปัจจุบันการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นแหล่งนำเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศ และสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น ถือเป็นประโยชน์มหาศาลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม แต่ผลกระทบด้านลบที่เกิดขึ้น จากการเปิดให้มีการท่องเที่ยว นับวันจะก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมต่อทรัพยากรธรรมชาติ และทำลายทัศนียภาพและสิ่งแวดล้อมที่สวยงามมากยิ่งขึ้น ดังนั้นอุทยานแห่งชาติจึงต้องศึกษาและติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลจัดการอุทยานแห่งชาติไปในทิศทางที่เหมาะสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน


 


นายทรงธรรม กล่าวว่า ปัญหาของอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า หมู่เกาะเสม็ด มีทั้งที่เกาะเสม็ด และชายหาดแม่รำพึง จึงได้ลงไปศึกษาและวิจัยผลกระทบ และขีดความสามารถในการรองรับได้ ซึ่งผลการวิจัยที่ออกมาพบว่า ทั้งหาดแม่รำพึง และเกาะเสม็ดอยู่ในขั้นวิกฤติ โดยเฉพาะที่หาดแม่รำพึง ปัจจุบันมีผู้บุกรุกเพิ่มขึ้นจากเดิม รวมกับของเดิมมากกว่า 100 ราย ทำให้ต้องเร่งดำเนินการตามกฎหมาย เพราะที่ผ่านมามีการร่วมกันหลายฝ่าย ทั้งภาคราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเป็นประธาน ร่วมกันดำเนินการด้านรัฐศาสตร์มาตลอด เพื่อแก้ไขปัญหา ทำข้อตกลงว่าจะไม่มีการบุกรุกเพิ่ม  แต่กลับพบว่า หน่วยงาน ภาครัฐ ไม่ชัดเจน เลยทำให้มีคนบุกรุกเพิ่มขึ้นมาอีก จนเกิดปัญหาการจัดการด้านสาธารณูปโภค ด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนที่เกาะเสม็ด พบว่าการขยายตัวของภาคธุรกิจ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเข้ามามาก จนเกินขีดความสามารถในการรองรับได้ เฉพาะจำนวนขยะแต่ละวันมีมากถึง 6 ตัน ทั้งๆ ที่มีพื้นที่รองรับขยะเพียง 4 ไร่ แต่ขณะนี้พื้นที่ดังกล่าวกำลังมีปัญหาเนื่องจากรองรับขยะมานานกว่า 10 ปี ฝังกลบจนเต็มพื้นที่ ไม่มีพื้นที่รองรับขยะอีกต่อไปแล้ว จึงต้องใช้วิธีเผา


 


นายทรงธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากเรื่องขยะล้นแล้วยังมีปัญหาน้ำเน่าเสีย ถนนชำรุดในช่วงฝนตก และจากสถานประกอบการ รวมทั้งกองขยะริมถนนน้ำเสีย ก็ไหลจากกองขยะลงทะเล ดังนั้นจึงเตรียมนำผลการศึกษาและวิจัยขีดความสามารถในการรองรับได้ เสนอกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้มีคำสั่งปิดเกาะเสม็ด และหาดแม่รำพึง เป็นการชั่วคราว เพื่อใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องขยะ โดยมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ให้ความร่วมมือในการศึกษาปัญหาขยะบนเกาะเสม็ดว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร และหลังจากนี้จะมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ที่จะเข้ามาเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติ บางเดือนอาจต้องมีการจองล่วงหน้า และให้นักท่องเที่ยวมัดจำค่าขยะไว้ก่อน เช่นการข้ามไปเกาะเสม็ด ถ้าหิ้วขวดน้ำ ต้องมัดจำค่าขวด เมื่อข้ามกลับมา นำขวดมาคืน ก็จะคืนเงินให้ และอาจมีรางวัลอื่นให้เป็นสิ่งจูงใจ เพื่อเป็นการลดปริมาณขยะบนเกาะเสม็ดและให้นักท่องเที่ยวมีส่วนช่วยในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม


 


นางราตรี สุขกระจ่าง อายุ 56 ปี ผู้ประกอบการ รับคัดแยกขยะ บนเกาะเสม็ด ยอมรับว่า ขยะบนเกาะเสม็ด มีปัญหามากเพราะนักท่องเที่ยวนำกล่องโฟมและถุงพลาสติกขึ้นมาบนเกาะทุกวัน ยากต่อการทำลาย ต้องใช้วิธีเผาเท่านั้น จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยกวดขันเรื่องนี้ เพื่อให้ขยะที่กำจัดยากลดน้อยลง และอยากให้หน่วยงานที่มีงบประมาณนำเครื่องมือทันสมัยมาช่วยในการจัดการกับขยะ เพราะทุกวันนี้ใช้เพียงแรงคนในการจัดการกับขยะที่มีมานานกว่า 10 ปี ส่วนการปิดเกาะนั้นไม่เห็นด้วย เพราะไม่เชื่อว่าถ้าปิดแล้วจะแก้ปัญหาขยะกับน้ำเสียได้ จึงไม่มั่นใจในความจริงใจของภาครัฐ


 


ด้าน น.ส.รับขวัญ ฤกษ์รุจิพิมล และ น.ส.ลดาวัลย์ ชาวัตร นักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาเที่ยวเกาะเสม็ด ยอมรับว่า รู้สึกผิดหวังกับการได้มาเห็นเกาะเสม็ดในฝัน เพราะมีคนมาเที่ยวแออัด และมีแต่ขยะ ทั้งที่หาดทรายขาวละเอียด แต่นักท่องเที่ยวกลับทิ้งขยะเต็มชายหาด อยากให้ทุกคนช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติให้มากกว่านี้


ที่มา: http://www.komchadluek.net


 


 


เอสแอนด์พีชี้ไทยเสี่ยงด้านการเมืองไอไอเอฟมองจีดีพีโต 6%


เอสแอนด์พีชี้ไทยมีความเสี่ยงด้านการเมืองและนโยบาย ขณะที่ไอไอเอฟคาดจีดีพีไทยปีนี้โต 6% ด้าน กกร.จี้รัฐส่งเสริมทุนนอกเข้ามาลงทุนในประเทศ ห่วงรัฐบาลมุ่งประเด็นการเมืองมากไป หวังโครงการเมกะโปรเจกท์ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ


 


สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ รายงานว่า อันดับความน่าเชื่อถือของไทย ไต้หวัน ปากีสถาน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเกาหลีใต้ เผชิญความเสี่ยงด้านการเมืองและนโยบาย แต่ไม่ได้บ่งชี้ถึงความเสี่ยงรุนแรงขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือหรือแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศเหล่านี้


 


ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (ไอไอเอฟ) รายงานว่า เศรษฐกิจของไทยและเกาหลีใต้อาจขยายตัวมากขึ้นในปีนี้ ขณะการส่งออกที่สดใสไปยังตลาดอื่นนอกเหนือจากสหรัฐ ช่วยชดเชยอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงจากสหรัฐ โดยคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยจะอยู่ที่ระดับ 6.0% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 4.8% ในปีที่แล้ว


 


ด้านนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานหอการค้าไทยและประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า กกร.เป็นห่วงเรื่องการส่งเสริมให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลมุ่งไปเรื่องประเด็นการเมืองมาก ไม่ได้ให้ความดูแลเรื่องการลงทุนเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม การลงทุนเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น เห็นได้จากมีการนำเข้าสินค้าประเภททุนมากขึ้นในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ แสดงให้เห็นถึงโครงการต่างๆ เริ่มตัดสินใจลงทุน ส่วนนักลงทุนต่างชาติไม่ตอบรับเข้ามาลงทุนมากนัก เพราะยังกังวลการเมืองในประเทศ


 


ส่วนตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เป็นการสะท้อนของกลุ่มที่ได้ประโยชน์ขอรับส่งเสริมการลงทุน ดังนั้น สิ่งที่เป็นความหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจคือ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ (เมกะโปรเจกท์) ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ และเพื่อสอบถามความเห็นนักลงทุนต่อการเข้ามาลงทุนในไทย กกร.จึงจัดสัมมนาขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อเสนอทิศทางในอนาคตกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการ โดยมุ่งหวังให้มีการลงทุนในไทยมากขึ้น


 


นายประมนต์ กล่าวถึงเรื่องการขึ้นค่าจ้างแรงงานว่า ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน เพื่อชดเชยค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบต่างกัน อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมากจะได้รับผลกระทบสูง ส่วน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2551 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจะมีผลบังคับใช้วันที่ 27 พฤษภาคมนี้ ในมาตรา 11/1 จะมีปัญหาการตีความลูกจ้างรับเหมา ว่าจะต้องรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เป็นธรรมเท่ากับพนักงานบริษัท ซึ่งแนวทางปฏิบัติและคำชี้แจงแต่ละมาตรา ทางกกร.กำลังศึกษาอยู่


 


ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานมาตรา 11/1 ยังมีปัญหาการตีความ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจที่จะต้องมีการจ้างซับคอนแทคมาก เช่น ธุรกิจยานยนต์ และธุรกิจบริการ รวมถึงกระทบกับนักลงทุนต่างชาติ หากไม่มีความชัดเจนในเรื่องผลประโยชน์ที่ซับคอนแทคจะได้รับ


 


ที่มา: http://www.komchadluek.net


 


 


น้ำมันแพงอิเหนาเล็งลาโอเปก


ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ล่าสุดทะลุ  120  ดอลลาร์ต่อบาร์เรลไปเรียบร้อยแล้ว  นักวิเคราะห์คาดภายในอีก  2  ปีอาจได้เห็นราคาน้ำมันบาร์เรลละ  150-200    ดอลลาร์


 


ด้านอินโดนีเซียออกมาส่งสัญญาณอีกรอบ   อาจถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกโอเปกเร็วๆ  นี้


 


เมื่อวันจันทร์ ราคาน้ำมันดิบไลต์สวีต  นิวยอร์ก  นัดส่งมอบเดือน  มิ.ย.ปรับเพิ่มขึ้นกว่า  4  ดอลลาร์  ขึ้นไปแตะนิวไฮที่  120.36  ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  เนื่องจากตลาดกังวลสถานการณ์ในไนจีเรียและอิหร่าน  ก่อนจะขยับลดลงมาเล็กน้อยปิดตลาดที่  119.97  ดอลลาร์ต่อบาร์เรล


 


ทีมนักวิเคราะห์จากโกลด์แมน  แซคส์  ชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่โลกจะได้เห็นราคาน้ำมันที่บาร์เรลละ  150-200  ดอลลาร์ในอีก  6-24  เดือนข้างหน้า


 


ภาวะราคาน้ำมันแพงในปัจจุบันส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย  หรือแม้แต่ประเทศในตะวันออกกลาง  ทั้งนี้   ด้วยเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ส่งผลให้ดีมานด์น้ำมันของจีนปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมกว่าสองเท่า  นับตั้งแต่ปี  2544  ที่ราคาน้ำมันเคยทำสถิติลดต่ำลงที่สุดในรอบทศวรรษที่  16.70  ดอลลาร์ต่อบาร์เรล


 


ขณะเดียวกัน  นายปูร์โนโม  ยุสจิอันโตโร  รัฐมนตรีน้ำมันอินโดนีเซีย  เปิดเผยว่า   ขณะนี้อินโดนีเซียกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก  (โอเปก)  เนื่องจากปัจจุบันอินโดนีเซียผลิตน้ำมันได้น้อยลง


 


นายปูร์โนโมระบุว่า  รัฐบาลอินโดนีเซียยังไม่ถอนตัวออกจากโอเปกในปีนี้  แต่คาดว่าจะถอนตัวอย่างเร็วที่สุดปีหน้า  เพราะอินโดนีเซียเพิ่งจ่ายค่าสมาชิกรายปีให้กับโอเปกไป


 


ในภาวะน้ำมันแพงทำให้อินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียงชาติเดียวที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกโอเปก  ต้องเจียดเงินมากถึง  13,770  ล้านดอลลาร์ในการอุดหนุนราคาน้ำมัน  หรือคิดเป็นร้อยละ  13  ของงบประมาณใช้จ่ายทั้งปีของรัฐบาล


 


ประธานาธิบดีสุสีโล  บัมบัง  ยุทโธโยโน  ของอินโดนีเซีย  เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า  รัฐบาลกำลังตัดสินใจปรับขึ้นราคาเชื้อเพลิงอีกราวร้อยละ  20-30  เพื่อลดการสูญเสียงบประมาณจากปัญหาราคาน้ำมันแพง


 


ปริมาณน้ำมันดิบที่ลดลงบวกกับการขาดงบลงทุนทำให้อินโดนีเซียผลิตน้ำมันได้น้อยลง  และคาดว่าปีนี้กำลังการผลิตน้ำมันต่อวันของอินโดนีเซียน่าจะอยู่ที่เพียง  927,000  บาร์เรล  เปรียบเทียบกับปีก่อนที่วันละ  950,000  บาร์เรล


 


ที่มา: http://www.thaipost.net


 






การเมือง


 


นายกฯนัดถกหน.พรรคร่วมฯ วันนี้


นายกรัฐมนตรี นัดหารือหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล วันนี้ 19.30 น. ขณะที่ ครม. อนุมัติส่งอาหารและเวชภัณฑ์ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุนาร์กีส ในพม่า


 


พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในวันนี้หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลจะนัดรับประทานอาหารมื้อคำ ที่ร้านไพซาโน่ ซ.ต้นสน ในเวลาประมาณ 19.30 น. ส่วนหัวข้อการประชุมถือเป็นเรื่องภายใน


 


โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า วันนี้ ครม. ได้อนุมัติให้ส่งอาหารสำเร็จรูป และเวชภัณฑ์จำนวน 9 ตัน ให้กับทางพม่าแล้ว ส่วนกระทรวงสาธารณสุขได้อนุมัติงบประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ส่งไปช่วยเหลืออีกรวมทั้ง ได้มอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรีจัดงบประมาณซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างนำไปช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภา สมัยประชุมสามัญทั่วไป พ.ศ. 2551 ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้


 


นอกจากนี้ ยังมีมติอนุมัติในบันทึกความเข้าใจโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย และเส้นทางเชื่อมต่อทวาย-กรุงเทพมหานคร ที่เป็นเส้นทางเชื่อมต่อบริเวณชายแดน  รัฐบาลพม่าเป็นผู้ก่อสร้างและจัดหาแรงงาน โดยใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 5 ปี และอาจขยายเวลาออกไปได้


 


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้จัดสรรเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรจำนวน 304.50 ล้านบาท ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อดำเนินโครงการจัดซื้อปุ๋ยเคมีนำเข้าจากต่างประเทศ  เพื่อแก้ไขปัญหาปุ๋ยเคมีราคาแพง เป็นเงินยืมปลอดดอกเบี้ยจำนวน 300 ล้านบาท กำหนดชำระคืนภายในเดือนธันวาคมปีนี้  ส่วนอีก 4.5 ล้านบาท เป็นเงินจ่ายขาด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบคุณภาพและค่าบริหารจัดการโครงการ


 


นอกจากนี้  กระทรวงมหาดไทยได้สรุปสถานการณ์ภัยแล้งต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายดีขึ้น  จังหวัดที่ประสบภัยแล้งมีจำนวนลดลงเหลือ 20 จังหวัด จากเดิม 47 จังหวัด  โดยต่อไปเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย วาตภัยและดินถล่มประจำปี 2551  เนื่องจากกรมอุตุนิยม คาดการว่า ปีนี้ฤดูฝนจะเริ่มต้นเร็วกว่าปกติ 1 สัปดาห์ ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยไดสั่งการให้จังหวัดเตรียมในการป้องกันและแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป รวมทั้งให้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่มระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์แบ่งหน้าที่การปฏิบัติงานอย่างชัดเจน


 


คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบ ร่างกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค ที่ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้สอดคล้องกับหลักภูมิสังคม ในแต่ละภูมิภาคและท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมของทุกภาคีในการพัฒนา โดยยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคเหนือ เน้นการปรับโครงสร้างการผลิตสู่การพึ่งพาตนเอง พัฒนาเมืองศูนย์กลางความเจริญและชายแดน เพื่อรองรับการเชื่อมโยงระดับนานาชาติ ,ยุทธศาสตร์พัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ สร้างสังคมและเศราฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ควบคู่กับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สมบูรณ์ ,ยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคการ เน้นการพัฒนาฐานเศรษฐกิจหลักของประเทศ ทั้งด้านอุตสาหกรรม เกษตร การบริการ การลงทุนให้มีความมั่นคง และพัฒนาคน สังคม และชุมชนให้มีคุณภาพ ,ยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคใต้ เน้นการเสริมสร้างควมเข้มแข็ง ภาคการผลิตหลักให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน ขยายฐานเศรษฐกิจ เพิ่มความหลากหลายของแหล่งสร้างรายได้ และการจ้างงาน พัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพ และภูมิคุ้มกันที่ดี  โดยแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคสู่การปฏิบัติ ให้ทุกจังหวัด และ 18 กลุ่มจังหวัดทั่วประเทศ ยึดกรอบยุทธศาสตร์เป็นแนวทางในการจัดทำแผนเพื่อปฏิบัติ และจัดทำของงบประมาณ โดยมอบหมายให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. รับผิดชอบบูรณาการโครงการที่สำคัญ ประเมินผล เพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็รประจำทุกปี


 


พร้อมกันนี้ คณะรัฐมนตรี ยังอนุมัติร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ.2551-2554 ที่ประกอบด้วย 12 แผนงาน 104 โครงการกรอบวงเงินงบประมาณ 4,826.80 ล้านบาท โดยให้หน่วยงานต่างๆ พิจารณาบรรจุแผนงานไว้ในแผนปฏิบัติราชการ 4 ปีของหน่วยงาน เพื่อขออนุมัติงบประมาณประจำปีต่อไป


 


ที่มา: http://www.posttoday.com


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net