ยุกต์ อิสรนันทน์
ข่าวจากเวบไซต์ประชาไท เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้ลงข่าวว่า นาย
นายสุริยะใสกล่าวว่า จุดยืนพันธมิตรยังคงมี 3 เรื่องคือ 1.พ.ต.ท.ทักษิณ และบริวารที่เกี่ยวข้องต้องถูกนำตัวเข้ากระบวนการยุติธรรม โดยห้ามใช้อำนาจรัฐเข้าแทรกแซง 2.ต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญจนกว่า พ.ต.ท.ทักษิณและบริวารจะถูกพิจารณาจากกระบวนการยุติธรรม 3.รัฐบาลชุดปัจจุบันหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ เนื่องจากเป็นรัฐบาลตัวแทนของระบอบทักษิณ ซึ่ง 3 เรื่องดังกล่าวมีจุดยืนอย่างเหนียวแน่น พันธมิตรไม่ใช่เล่นไม่เลิก หรือเพิ่มข้อต่อรองไปเรื่อยๆ
นายสุริยะใสกล่าวด้วยว่า ขณะนี้กำลังพิจารณาวิธีการกดดันรัฐบาล อาจมีการยกระดับขึ้นมาจากเดิมที่มีอยู่ โดยอาจขอให้ประชาชนใช้สิทธิ์ไม่ยอมรับคำสั่งจากรัฐด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การไม่จ่ายภาษี และการขัดขืนคำสั่งรัฐต่างๆ ที่ออกมา การกระทำดังกล่าวถือเป็นสิทธิประชาชนที่สามารถไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาลที่ขาดชอบธรรมในการบริหารประเทศ ด้วยการดื้อแพ่ง หรืออาจเรียกว่า "อารยะขัดขืน" ซึ่งจะหารือกับ 5 แกนนำอีกครั้ง
จากที่กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนจึงขอวิพากษ์ความคิดของนายสุริยะใส กตะศิลา ในฐานะผู้นำพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ดังนี้
ประการแรก "...จ.เชียงใหม่เป็นรัฐอิสระ ที่สามารถจะห้ามมิให้คนใดเข้าก็ได้ ถือว่าเป็นผลพวงมาจากระบอบทักษิณ"
การกล่าวเช่นนี้ของนายสุริยะใส เป็นการเล่นการเมืองในลักษณะของการ "สร้างความเกลียดชัง"และ "การยัดเยียดความเป็นอื่น" ให้กับประชาชนจังหวัดเชียงใหม่
การที่สุริยะใสกล่าวว่า "จังหวัดเชียงใหม่เป็นรัฐอิสระ" เป็นการยัดเยียดความเป็นอื่นให้กับประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ เพราะ คำว่า รัฐอิสระ ย่อมหมายความว่าไม่ใช่ "รัฐไทย" ซึ่งการกล่าวเช่นนี้ เป็นการปลุกกระแส nationalism ขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม ทั้งๆ ที่กลุ่มที่ออกมาชุมนุมนั้นมิใช่ public opinion อันแท้จริงของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่
ดังนั้น ใช่หรือไม่ ? ว่าการที่สุริยะใสกล่าวเช่นนี้ เป็นการสร้างความเกลียดชัง โดยให้ประชาชนที่รักในความเป็นไทย มองเชียงใหม่ว่าเป็นจังหวัดที่เหิมเกริมและพยายามสถาปนาความเป็นใหญ่ขึ้น (หรืออาจพยายามแบ่งแยกดินแดน)
นอกจากนี้ การที่กล่าวว่า "ถือเป็นผลพวงมาจากระบอบทักษิณ" ยังมีนัยยะอีกว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่ปกครองโดยระบอบทักษิณ หรือหน่ออ่อนของระบอบทักษิณ
ดังนั้น การที่จังหวัดเชียงใหม่พยายามแสดงตัวเป็นรัฐอิสระ (ดังที่สุริยะใสกล่าวอ้าง) เป็นเพราะจังหวัดเชียงใหม่ยอมรับระบบการปกครองแบบ "ทักษิณ"
การกล่าวเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการปลุกกระแสภูมิภาคนิยม สร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนในภูมิภาคต่างๆ แล้ว ยังเป็นการพยายามอ้างความชอบธรรมที่จะทำลาย "ทักษิณ" และ "รัฐบาล" ชุดนี้ เนื่องจากพยายามแบ่งแยก และเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย
ประการที่สอง "ทักษิณและบริวาร...โดยห้ามใช้อำนาจรัฐแทรกแซง"
คำถาม คือ "ห้ามใช้อำนาจรัฐแทรกแซง" เป็นอย่างไร เนื่องจาก อำนาจตุลาการเป็นหนึ่งในอำนาจ 3 ขาของอำนาจรัฐ ดังนั้น ทักษิณและบริวาร ต้องถูกดำเนินการโดยห้ามอำนาจรัฐแทรกแซง
อาจหมายความได้หลายนัยยะ คือ นัยยะแรก ห้ามอำนาจของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติเข้าแทรกแซง (ซึ่งร่วมไปถึงห้ามแก้รัฐธรรมนูญ) หรือ นัยยะที่สอง (ซึ่งครอบคลุมคำว่า "อำนาจรัฐ"มากกว่า)
คือการลงโทษทักษิณไม่ใช่สิ่งที่ควรลงโทษโดยใช้กลไกของอำนาจรัฐ หากแต่ควรใช้กลไกที่ไม่ใช่อำนาจรัฐ (กลไกหมู่ ความเห็นพันธมิตร ประชาทัณฑ์ หรือ ? )
ผู้เขียนอยากถามว่า เจตนาที่แท้จริงของนาย
ประการที่สาม "ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนกว่าทักษิณและบริวารจะถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม"
การแก้ไขรัฐธรรมนูญควรทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน การต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรมาจากเหตุผลที่ว่ารัฐธรรมนูญมีข้อดีอย่างไร มิใช่ต่อต้านเพราะบอกว่า "กลัวทักษิณพ้นความผิด" เพราะการต่อต้าน หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีทักษิณเป็นศูนย์กลาง มิได้ตอบสนองต่อประโยชน์สุขที่แท้จริงของพี่น้องประชาชนแน่นอน
ประการที่สี่ "รัฐบาลหมดความชอบธรรมเพราะเป็นตัวแทนของระบอบทักษิณ"
หากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง (ซึ่งถึงแม้ว่าผลการเลือกตั้งจะไม่ถูกใจใครหลายคนก็ตาม) นั้นเรียกว่าไม่ชอบธรรม แล้วรัฐบาลอย่างไรเล่าที่ท่านจะเรียกว่าชอบธรรม? รัฐบาลทหาร หรือ รัฐบาลแต่งตั้ง? และการที่รัฐบาลจะหมดความชอบธรรมได้นั้น ไม่ใช่ว่ารัฐบาลเป็นตัวแทนของระบอบทักษิณหรือไม่ หากแต่อยู่ที่การดำเนินการของรัฐบาล
หากรัฐบาลดำเนินการไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควร และประชาชนไม่ยอมรับ อย่างนั้นถึงควรจะเรียกว่ารัฐบาลไม่ชอบธรรม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งย่อมมีความชอบธรรมมากกว่ารัฐบาลที่มาจากปากกระบอกปืนอย่างมิอาจปฏิเสธได้
ประการที่ห้า "อาจขอให้ประชาชนขัดขืนโดยการไม่จ่ายภาษี..."
เป็นการแสดงให้เห็นว่าพันธมิตรมีฐานมวลชนอยู่กับชนชั้นกลางที่ไม่พอใจรัฐบาลที่มีปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น (แน่นอนสิทธิมนุษยชนย่อมเป็นเรื่องรอง เพราะในเวทีพันธมิตร หัวข้อหลัก คือ "ทักษิณติดคุก" การดื้ออำนาจรัฐโดยการไม่จ่ายภาษีเป็นยุทธวิธีที่ทำได้เฉพาะชนชั้นกลาง เพราะเป็นชนชั้นที่แบกรับภาษีเป็นจำนวนมาก ในขณะที่คนจนมีรายได้น้อยย่อมได้รับการยกเว้นภาษีรายได้
ผู้เขียนขอถามว่า การขัดขืนโดยการไม่จ่ายภาษีก่อให้เกิดปัญหาประการใด แน่นอน ชนชั้นกลางย่อมได้รับผลประโยชน์เพราะรายได้ของเค้ายังคงอยู่กับตัว ส่วนคนจนย่อมเสียผลประโยชน์เพราะขาดการ redistribution ไม่นับรวมสวัสดิการสังคมต่างๆ ของรัฐที่ใช้เงินจากภาษีที่จะต้องได้รับผลกระทบ
ดังนั้น ถามว่าใครได้รับผลกระทบมากที่สุด คำตอบย่อมเป็นคนจน ยุทธศาสตร์ของพันธมิตรจึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ไม่เห็นหัวคนจน และผลักความเสียหายทั้งหมดให้กับคนจน ซึ่งหากคนจนร้องเรียนในประเด็นดังกล่าว พันธมิตรก็ย่อมตอบว่าเป็นเพราะรัฐ
การขัดขืนโดยการไม่จ่ายภาษี จึงเป็นอำนาจเหนือของชนชั้นกลาง ที่จะผลักความเสียหายทั้งหมดไปที่คนจน มันเป็นเรื่องที่มากกว่าการเมือง มันเป็นความขัดแย้งทางชนชั้น การไม่จ่ายภาษีเป็นการแสดงอำนาจเหนือของชนชั้นกลาง
จะเห็นได้ว่า พันธมิตรไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนคนจนอย่างแท้จริง หากแต่ทำเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มของตน และความสะใจของชนชั้นกลางเท่านั้น นอกจากนี้ยังจะเห็นได้ว่า ข้อเสนอต่างๆ ของพันธมิตรไม่ได้แตะที่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่ยุติธรรม กดขี่และกีดกันคนจนแต่อย่างใด
ดังนั้น ภาคประชาชนที่แท้จริงจึงไม่ควรเข้าร่วมกับพันธมิตร เพราะนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์แล้ว ยังเกิดความเสียหาย คนจนต้องเป็นผู้แบกรับผลกระทบทั้งหมด
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)