Skip to main content
sharethis

เลขาธิการกกต.แจงมติ 4ต่อ 1 ให้อนุกรรมการสอบสวนฯ มีอำนาจสอบสวนกรณีนายสมัคร สุนทรเวช จัดรายการชิมไปบ่นไป ส่วนกรณีไชยา สะสมทรัพย์ มีมติ 4 ต่อ 1 ให้ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ


 


เลขาฯกกต.แจงมติ 4ต่อ 1 คอนเฟิร์มอำนาจสอบสมัคร เพิ่มกฎหมาย


นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. แถลงว่าที่ประชุม กกต. ได้พิจารณาในประเด็นข้อกฎหมาย ว่า กกต.มีอำนาจสืบสวนอบสวนกรณีร้องเรียนนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จัดรายการชิมไปบ่นไปซึ่งอาจขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี หรือไม่ โดย กกต. มีมติเสียงข้างมาก 4 ต่อ1 เสียง เห็นด้วยกับข้อเสนอของอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนซึ่งมีพล.อ.ยอดชาย เทพยสุวรรณ เป็นประธาน เสนอให้ปรับปรุงคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนจากฐานอำนาจรัฐธรรมนูญมาตรา 236(9) มาตรา 181 มาตรา182 วรรค 3 โดยหลังจากที่ประชุม กกต.พิจารณาแล้ว ได้ลงมติให้แก้ไขบทบัญญัติในคำสั่งตั้งอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนชุดดังกล่าว ให้เพิ่มอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. มาตรา 10(11)ที่ระบุกรณีที่กกต.เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุด, มาตรา 14 ที่ระบุว่า กกต.มีอำนาจแต่งตั้งให้อนุกรรมการปฏิบัติตามที่กกต.มอบหมาย


 


"อนุกรรมการพิจารณากรณีนายกฯสมัคร จัดรายการชิมไปบ่นไป เคยยกประเด็นปัญหาว่าอนุฯมีอำนาจสืบสวนสอบสวนหรือไม่ และควรมีการปรับปรุงคำสั่งตั้งอนุกรรมการพร้อมให้เหตุผลเพราะเห็นว่าตัวคำสั่งยังระบุกฎหมายไม่ครบ เพื่อป้องกันการถูกโต้แย้งในอำนาจหลังจากผลการพิจารณาออกมาเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งวันนี้กกต.ได้ลงมติเสียงข้างมาก 4 ต่อ 1 เสียงให้อนุกรรมการมีอำนาจตามกฎหมายที่อ้างตัวบทเพิ่มดังกล่าว " นายสุทธิพลกล่าว


 


ถามว่าการแก้ไขคำสั่งดังกล่าวเป็นการเพิ่มอำนาจให้ตัวเองหรือไม่ นายสุทธิพล กล่าวว่า กกต.มีอำนาจตามตัวบทกฎหมายที่มีอยู่แล้ว จึงมีการอ้างบทกฎหมายที่มีอยู่เพิ่มเข้าไป ยกตัวอย่างเช่น มาตรา 10(11) พรป. กกต. ระบุว่า "ในกรณีที่กกต.เห็นว่า" ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงให้ กกต.ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งการจะมีความเห็นได้ต้องมีการดำเนินการตามมาตรา 14 พรป.กกต. หากไม่มีการดำเนินการตั้งอนุกรรมการ กกต.ก็ไม่สามารถให้ความเห็นได้


 


นายสุทธิพล กล่าวต่อไปว่า กกต.เห็นชอบให้อนุกรรมการสืบสวนสอบสวนกรณีนายสมัคร ขยายเวลาสืบสวนสอบสวนได้ 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 7-21 มิถุนายน


 


นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม หนึ่งในเสียงข้างมากระบุว่า เมื่อรัฐธรรมนูญมาตรา 182 ระบุว่าให้ กกต. ส่งศาลรัฐธรรมนูญไปได้ด้วย ก็สมควรจะส่งเรื่องไปตามที่องค์กรเขาขอมา ส่วนข้อเท็จจริงอาจจะเหมือนหรือต่างกันเพราะเราเองก็มีคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงด้วยโดยขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเอง เพราะ กกต. ลงมติแค่เห็นควรส่ง และประกอบแต่รายงานข้อเท็จจริงไปเท่านั้น ไม่ได้ระบุว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดหรือไม่


 


กกต.ข้างมาก 4ต่อ 1ส่งเรื่องไชยา ไปศาลรธน.


นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. ได้เปิดเผยถึงการลงมติกรณีที่จะ เสนอศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีของ นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว. สาธารณสุข หรือไม่ตามที่ ปปช. ร้องว่านายไชยา ขาดคุณสมบัติเนื่องจากภรรยาถือหุ้นเกินกว่า 5% ว่า หลังจากที่ คณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งมีนายอิสระ หลิมศิริวงศ์ เป็นประธาน สรุปความเห็นส่งมา โดย กกต. มีมติเสียงข้างมาก เห็นควรให้เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามที่คณะอนุกรรมการเสนอ


 


ทั้งนี้ในเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คณะอนุกรรมการได้พิจารณาว่าไชยามีความผิดจริงหรือไม่ นายสุทธิพลกล่าวว่า กกต. เห็นว่าเป็นประเด็นที่ส่งศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่ในเรื่องสำนวนนั้น ตนไม่เห็นว่ามีการสรุปอย่างไร แต่จากนี้ทางอนุกรรมการจะดำเนินการในกรณีเรื่องการทำคำร้องที่จะส่งศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามติเสียงข้างมากในครั้งนี้เป็น มติ 4 ต่อหนึ่ง โดยมีนายสมชัย จึงประเสริฐ เป็นกรรมการเสียงข้างน้อย


 


 


สมชัย รับเป็นเสียงข้างน้อย วอนยึดหลักประชาธิปไตยเคารพในความเห็น เชื่อถ้าทุกคนคิดเหมือนกันก็ไม่ต้องมีกกต.ถึง 5 คน


นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต. ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวในรายการเวทีความคิดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง9 อ.ส.ม.ท. ว่ายอมรับว่าตนเป็น กกต.เสียงข้างน้อยในการลงมติ ส่งเรื่องนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว. สาธารณสุขไปยังศาลรธน.และลงมติประเด็นอำนาจกกต.ในการวินิจฉัยกรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีจัดรายการชิมไปบ่นไปเพราะเห็นว่า กกต. ไม่ใช่องค์กรตรวจสอบในทุกเรื่อง อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าเหตุผลของตนเพียงพอหรือไม่แต่ก็เป็นมุมมองอันหนึ่งซึ่งในหลักการประชาธิปไตย เราต้องเคารพทั้งเสียงข้างมากและข้างน้อยด้วย อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าเสียงข้างน้อยก็มีเหตุผลไม่ใช่วินิจฉัยอย่างไม่มีหลักการ เชื่อว่า ถ้ากกต.ทุกคนเห็นเหมือนกันหมดก็ไม่จำเป็นต้องมี กกต.ถึง 5 คน


 


นายสมชัย กล่าวถึงบรรยากาศในการประชุมกกต.ว่า มีการพัฒนามากขึ้นเพราะมีการยิ้มในห้องประชุมแต่สำหรับการลงมตินั้นตนยิ้มไม่ออก และเคยคิดมองตัวเองว่าทำไมเราต้องเป็นเสียงข้างน้อย เคยคิดว่าจะโหวตตามคนอื่นให้ผลการโหวตเหมือนเขา แต่ท้ายที่สุดก็คิดได้ว่าถ้าโหวตตามคนอื่นคงทำให้สังคมและทีมงานของตนผิดหวังและเราก็จะผิดหวังในตัวเองที่ไม่มีความเคารพในตัวเองด้วยเพราะเป็นเพียงการทำตามที่คนอื่นเขาอยากให้เป็นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่า กระแสสังคมเปลี่ยนแปลงได้ แต่สิ่งที่ถูกต้องจะยั่งยืนตลอดไปโดยส่วนตนได้วินิจฉัยยึดตามหลักกฎหมายมาตลอดจนกว่าจะแก้กฎหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไม่ใช่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงกฎหมายเสียเองและยืนยันว่ามีความเคารพต่อเสียงส่วนใหญ่

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net