ชื่อบทความเดิม: อารยะขัดขืนของนักปรัชญา Vs อารยะขัดขืนของพันธมิตร: ตอนที่ 1 อารยะขัดขืนใน อารยะขัดขืน ของชัยวัฒน์ สถาอานันท์
อุเชนทร์ เชียงเสน
ในวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ก่อนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะประกาศมาตรการ "อารยะขัดขืน" ของตนเองอย่างเป็นทางการ รุ่นพี่คนหนึ่งเมื่อทราบว่าผู้เขียนต้องเข้าเรียน (โดยที่ไม่ได้ลงทะเบียน) วิชา "สัมมนาปรัชญา ปรัชญาการเมือง และทฤษฎีการเมืองสำหรับศตวรรษที่
จริงๆแล้ว สิ่งที่ผู้เขียนอยากรู้พอๆหรือมากกว่าว่า อารยะขัดขืน คือ อะไร หรือ สิ่งที่พันธมิตรฯ กำลังทำอยู่เป็นอารยะขัดขืนหรือไม่ คือ ชัยวัฒน์จะมีท่าที รับมือ หรือ จัดการกับคำถามนี้อย่างไร โชคดี ในวันเดียวกันนี้ นักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ NBT ก็อยากรู้คล้ายๆ กับผู้เขียน จึงได้สัมภาษณ์ชัยวัฒน์และออกอากาศในช่วงข่าวประมาณ 3 ทุ่ม ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ ชัยวัฒน์ปฏิเสธที่จะออกความเห็นต่อการประกาศ "อารยะขัดขืน" ของพันธมิตรฯ หรือตอบคำถามว่า สิ่งที่พันธมิตรทำนั้นเป็นอารยะขัดขืนหรือไม่ แต่พยายามที่จะอธิบายแนวคิด หลักการของอารยะขัดขืนแทน
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่สนใจว่า อารยะขัดขืนคืออะไร หรือสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำ เป็นอารยะขัดขืนได้หรือไม่ในความเห็นของชัยวัฒน์ รวมทั้งเหตุใดเขาจึงเผชิญกับคำถามดังกล่าว โดยการปฏิเสธที่จะตอบคำถามนั้น ทางหนึ่งที่สามารถจะทำได้ และเข้าใจว่าเขาเองปรารถนาที่จะให้ผู้รับสารทำ คือ การกลับไปทำความเข้าใจแนวคิดเรื่องอารยะขัดขืน ซึ่งเขาได้เขียนไว้ ใน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, อาระยะขัดขืน (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2549) และนำไปเทียบกับการกระทำของพันธมิตรฯ นั่นเอง
ดังนั้น ในการพยายามที่ตอบปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมด ในบทความนี้ ผู้เขียนจะทำการแบ่งออกเป็น 3 ตอน (เสนอที่ละตอน) คือ (1) นำเสนอแนวคิด "อารยะขัดขืน" ของชัยวัฒน์ โดยการสรุป ตัดตอนเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่จะพิจารณา จาก อาระยะขัดขืน -ซึ่งแน่นอน ย่อมไม่เป็นไปตามโครงการบรรยายหรือเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือ (2) สรุป ประเมินการเคลื่อนไหวและแนวคิดอารยะขัดขืนของพันธมิตรฯ (3) ทำการเปรียบเทียบ ตั้งข้อสังเกตบางประการระหว่างอารยะขัดขืนของชัยวัฒน์และพันธมิตรฯ รวมทั้งพยายามที่จะอธิบายว่า ทำไมชัยวัฒน์จึงรับมือกับคำถามของนักข่าวด้วยวิธีการดังกล่าว
1. "อารยะขัดขืน" ใน (หนังสือ) อารยะขัดขืน
หนังสือ อารยะขัดขืน ตีพิมพ์ในช่วงปลายปี 2549 ซึ่งคำว่า "อารยะขัดขืน" นี้ เป็นที่รู้จักและถูกใช้อย่างแพร่หลายแล้ว โดยการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในรอบแรก ใน อารยะขัดขืน นั้น ชัยวัฒน์เริ่มต้นจากการพิจารณามายาคติต่างๆ เกี่ยวกับอารยะขัดขืนในสังคมไทย จากนั้นจึงได้ทำการถกเถียงเรื่องการเลือกใช้คำแปล "civil disobedience" ในภาษาไทยและเสนอว่าให้ใช้ "อารยะขัดขืน" และในตอนท้าย ได้เสนอข้อวิเคราะห์บทความคลาสสิกเกี่ยวปรัชญาอารยะขัดขืนจำนวนสามชิน คือ บทสนทนา "ไครโต" ของโสเกรติส, "ต้านอำนาจรัฐ" ของ เฮนรี่ เดวิด ธอโด และ "จดหมายจากคุกเมืองเบอร์มิงแฮม" ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ พร้อมคำแปลของบทความทั้งสามชิ้น
อารยะขัดขืนของ John Rawls
แม้ผู้เขียนจะไม่แน่ชัด [ไม่อาจฟันธงจากการอ่านหนังสือเล่มเดียว] ว่า ชัยวัฒน์เป็น Rawlsian ในเรื่องอารยะขัดขืนหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยใน อารยะขัดขืน ก็แสดงให้เห็นว่า เดินตาม John Rawls ในการอธิบาย ทำความเข้าใจแนวคิดนี้ อย่างเช่น การระบุว่า ตัวอย่างของสมชาย ปรีชาศิลปกุล ใน การดื้อแพ่งต่อกฎหมาย (กรุงเทพฯ: สถาบันพัฒนาการเมือง, 2543, หน้า41-42 ) คือ การต่อสู้ของประชาชนด้วยสันติวิธี เพื่อล้มเผด็จการของเอล ซัลวาดอร์ และ กัวเตมาลา มิใช่ "อาระขัดขืน" เพราะ "ถือกำเนิดและดำเนินไปในทางบริบททางสังคมการเมืองที่ห่างไกลจากความเป็นประชาธิปไตย (ไม่ว่าจะนิยามอย่างไร) เป็นอันมาก" และเห็นว่า การถือว่ากรณีทั้งสองนี้เป็นตัวอย่างของ "อารยะขัดขืน" นั้นสะท้อนปัญหาในทางทฤษฎี คือ การเข้าใจความสำคัญของรูปแบบการปกครองในฐานะบริบท (context) ของการใช้อารยะขัดขืน (หน้า 15) ทั้งนี้เพราะในฐานะปฏิบัติการสันติวิธีอย่างหนึ่ง อารยะขัดขืนต้องให้ความสำคัญกับบทบริบททางการเมืองอย่างยิ่ง เนื่องจากมีเงื่อนไขอย่างหนึ่งคือ "การยอมรับบทลงโทษของรัฐ" ซึ่งเท่ากับว่า รัฐโดยรัฐบาลที่ดำรงอยู่ยังมีความชอบธรรมอยู่ในตัว
John Rawls ได้นิยาม "อารยะขัดขืน (civil disobedience)" อย่างจำกัด (restricted) ว่าหมายถึง "การกระทำทางการเมืองซึ่งมีลักษณะเป็นสาธารณะ (public) สันติวิธี (nonviolent) และมีมโนธรรมสำนึก (conscientious) ที่ขัดต่อกฎหมาย (contrary to law) ปกติเป็นสิ่งที่ทำโดยมุ่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย (in the law) หรือนโยบายของรัฐบาล" ทั้งนี้ การที่เขาจำกัดไว้ว่า เป็นการกระทำที่มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง "ในกฎหมายหรือนโยบาย" แต่ไม่ได้มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือกระทั่งตัวรัฐบาลเอง เพราะเขากำหนดตำแหน่งแห่งที่ของทฤษฎีนี้ไว้ที่เฉพาะในสังคมที่ใกล้จะเป็นธรรม (nearly just society) ซึ่งหมายถึง "สังคมที่ส่วนใหญ่มีการจัดระเบียบอย่างดี แต่มีการละเมิดความยุติธรรมอยู่บ้าง" และถือว่าสภาวะสังคมที่ว่านี้ ขึ้นต่อระบอบประชาธิปไตย (หน้า 16) ทฤษฎีที่ John Rawls เสนอจึงเกี่ยวพันกับบทบาทและความเหมาะสมของอารยะขัดขืนต่อหน้ารัฐประชาธิปไตยที่ขึ้นมาสู่อำนาจโดยชอบธรรมเท่านั้น "ด้วยเหตุนี้ การคัดค้านรัฐด้วยสันติวิธีจึงเป็นสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผลรองรับ (justified) เพราะการใช้ civil disobedience มิได้มุ่งเปลี่ยนแปลงแย่งชิงอำนาจรัฐ แต่ต้านอำนาจรัฐด้วยการเปลี่ยนแปลง "บางสิ่ง" ในกฎหมายหรือนโนบายของรัฐที่ไม่เป็นธรรมต่างหาก" (หน้า 17)
นอกจากนั้น อารยะขัดขืน ในฐานะปฏิบัติทางการเมืองอย่างหนึ่ง ในทัศนะของ John Rawls มีคุณลักษณ์ที่สำคัญ 7 ประการ (หน้า 21) คือ
1. เป็นการละเมิดกฎหมายหรือตั้งใจละเมิดกฎหมาย
2. ใช้สันติวิธี (nonviolent)
3. เป็นการกระทำสาธารณะโดยแจ้งให้ฝ่ายรัฐรับรู้ล่วงหน้า
4. ประกอบด้วยความเต็มใจที่จะรับผลทางกฎหมายของการละเมิดกฎหมายดังกล่าว
5. ปกติกระทำไปเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล
6. มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง
7. มุ่งสร้างเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรม ซึ่งโดยหลักแล้วเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายและสถาบันทางสังคม
อารยะขัดขืนของชัยวัฒน์
แม้ชัยวัฒน์จะไม่ได้อธิบายโดยตรงว่า อารยะขัดขืนของตนนั้นคืออะไร ตรงกับ John Rawls มากน้อยแค่ไหน หรือมีรายละเอียดแตกต่างกันหรือมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถที่จะเข้าใจหรือสรุปรวบยอดแนวความคิดอารยะขัดขืนของเขาเองได้ โดยการพิจารณารายละเอียดข้อโต้แย้ง ถกเถียงในประเด็นต่างๆ ในบทความ อย่างเช่นที่ปรากฎในการพิจารณาบริบททางการเมืองกับอารยะขัดขืนอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น รวมทั้งปฏิเสธ/ไม่ยอมรับ"อารยะขัดขืนแบบปฏิวัติ" ของ Gene Shape อันเป็นวิธีการที่ใช้เพื่อ"บั่นทอนระบบการเมืองที่ไม่เป็นธรรม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบใหม่" และเห็นว่าความแตกต่างในเรื่องนี้ระหว่าง John Rawls และ Gene Shape นั้นปัญหาอยู่ที่ความเข้าใจของ Gene Shape เอง
ในช่วงแรกของ "อารยะขัดขืน" ซึ่งเปรียบเสมือน "บทนำ" ชัยวัฒน์อธิบายว่า " "civil disobedience" หรือ "อารยะขัดขืน" เป็นเรื่องของการขัดขืนอำนาจรัฐ ที่ทั้งเป้าหมายและตัววิธีการอันเป็นหัวใจของ "civil disobedience" ส่งผลในการทำให้สังคมการเมืองโดยรวมมี "อารยะ" ยิ่งขึ้น" และในส่วนของการอธิบายถึงมายาคติว่าด้วย civil disobedience"ในสังคมไทยนั้น ซึ่งบางอย่างนำไปสู่การเสนอให้ทำให้อารยะขัดขืนกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมาย เขาไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว ทั้งนี้เพราะเห็นว่า จะเป็นการลดทอนพลังอำนาจในทางมโนธรรมสำนึกของอารยะขัดขืนไปในตัว เนื่องจากมีเงื่อนไขประการแรกของการอารยะขัดขืน คือ ฐานะปฏิบัติการที่เป็นการละเมิดกฎหมาย ซึ่งมีหน้าที่สำคัญคือ "เพื่อสื่อสารกับสังคมการเมืองว่า เกิดอะไรผิดปกติบางอย่าง ที่ผู้คนซึ่งปกติปฏิบัติการตามกฎหมาย จงใจละเมิดกฎหมาย" ดังนั้น อารยะขัดขืนจึงเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายบางข้อหรือนโยบายของรัฐบางประการ เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง "การปลุกมโนธรรมสำนึกของสาธารณะ มิได้เพียงเกิดจากการละเมิดกฎหมาย แต่เกิดจากการรับผลของการละเมิดกฎหมายดังกล่าว" โดยอารยะขัดขืนแตกต่างจากการละเมิดอำนาจรัฐอื่นทั้งหมดก็คือ ผู้ใช้ต้องยอมรับการลงโทษของรัฐที่จะกระทำต่อตน ในฐานะพลเมืองของรัฐด้วย
สาเหตุที่สำคัญหนึ่งที่ชัยวัฒน์เสนอให้ใช้คำว่า "อารยะขัดขืน" ในสังคมไทยแทนคำว่า civil disobedience นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเห็นว่า คำว่า "อารยะ" ในสังคมไทย มีความหมายในเชิงการจำกัดอำนาจรัฐด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ civil disobedience กล่าวคือ "ให้พื้นที่กับมนุษย์จะกระทำการขัดขืนอำนาจรัฐเพื่อ "ความเป็นธรรม" ได้บ้าง มิใช่จะยอมรับว่ารัฐจะมีอำนาจเป็นที่ล้นพ้นที่ไม่มีขีดจำกัด" (หน้า 34) และเห็นว่า "การจำกัดอำนาจรัฐนั้นเองเป็นหนทาง "อารยะ" ยิ่งจำกัดอำนาจรัฐด้วยวิธีการอย่างอารยะ คือ เป็นไปอย่างเปิดเผย ไม่ใช้ความรุนแรง และยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตน เพื่อให้สังคมการเมือง"เป็นธรรม" มากขึ้น เคารพสิทธิเสรีภาพคนอื่นมากขึ้น และเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น (หน้า 7)
ในการพิจารณาคุณูปการของอารยะขัดขืน ในฐานะ เงื่อนไขที่เอื้อต่อการสร้างการเมืองที่ "อารยะ" นั้น ชัยวัฒน์เสนอว่า ทำได้หลายทาง แต่เขาเลือกที่จะพิเคราะห์จากงานเขียนทางปรัชญาอารยะขัดขืนคลาสสิก 3 ชิ้น คือ "ไครโต" ของเพลโต, "ต้านอำนาจรัฐ" ของ เฮนรี่ เดวิด ธอโด และ "จดหมายจากคุกเมืองเบอร์มิงแฮม" ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เนื่องจากเป็นงานเขียนที่มีอิทธิพลทางความคิดเรื่องอารยะขัดขืนมากที่สุด และข้อเขียนของทั้งสามคนนี้มีความสำคัญต่อการพิจารณาปัญหาอารยะขัดขืนแตกต่างจากข้อเขียนอื่นๆ เพราะข้อเขียน (text) ของพวกเขานั้น "แยกไม่ออกจากชีวิตทางการเมือง" ที่ให้กำเนิดแนวคิดนี้ กล่าวคือ เฮนรี่ เดวิด ธอโด ถูกจับเนื่องจากไม่ยอมจ่ายภาษีให้กับรัฐด้วยเห็นว่ารัฐจะนำเงินไปทำสงครามและธำรงไว้ซึ่งการมีทาส ซึ่งเขาเห็นว่าไม่ยุติธรรม มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ใช้ชีวิตของตนเองต่อสู้เพื่อสิทธิของคนกลุ่มน้อยผิวสีจนถูกสังหารในที่สุด ส่วนโสเกรติสนั้นก็เป็นนักปรัชญาการเมืองที่ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อชีวิตทางปรัชญาที่ตนเชื่อ
แม้งานทั้งสามนี้จะมีบริบททางประวัติศาสตร์แตกต่างกัน และดังนั้นจึงมีความแตกต่างกันในเนื้อหา แต่ชัยวัฒน์เห็นว่า งานทั้งสามชิ้นนี้มีจุดเด่นที่เอื้อต่อลักษณะอารยะที่สำคัญ 3 เรื่องคือ (1) บทบาทและอำนาจของปัจเจกชนในการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองให้ดีขึ้น (2) การละเมิดกฎหมายในนามศีลธรรมที่เหนือกว่าเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่อยุติธรรมให้เป็นธรรมขึ้น (3) การยอมรับการลงโทษของรัฐที่ดำรงอยู่ด้วยความชอบธรรม (หน้า 43) และได้ทำการสรุปในตอนท้ายเกี่ยวกับลักษณะอารยะขัดขืนของทั้งสาม ไว้ว่า
"ลักษณะอารยะขัดขืนที่สามคนมีเหมือนกันก็คือ สังคมการเมืองที่คนทั้งสามดำรงอยู่เป็นสังคมที่มีคุณลักษณ์ประชาธิปไตยมากบ้างน้อยบ้างต่างกัน คนทั้งสามมุ่งเปลี่ยนแปลงสังคมของตนให้ดีขึ้น ด้วยการชี้ให้เห็นข้อจำกัดทางอำนาจของสังคมการเมืองนั้นๆ ใช้การละเมิดกฎหมายของสังคมการเมืองด้วยวิธีการอันเป็นสันติเพื่อกระตุ้นมโนธรรมสำนึกของสังคม กระทำการของตนอย่างเปิดเผย และที่สุด ยอมรับการลงโทษที่เกิดขึ้นจากการละเมิดอำนาจรัฐของตน ทั้งหมดนี้เป็นหนทางอารยะขัดขืน ทั้งในฐานะปัจเจก ในฐานะนักปรัชญา และในฐานะผู้นำขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมือง" (หน้า 46)
โดยสรุป จะเห็นได้ว่า จากการอภิปรายโต้แย้งและเสนอความเห็นของเขา ในหลักการหรือแนวคิดอารยะขัดขืนโดยภาพรวม ชัยวัฒน์เดินตามแนวทาง John Rawls กล่าวคือ
ในแง่ของบริบทการใช้อารยะขัดขืน คือ รูปแบบการปกครองนั้น อารยะขัดขืนจะเกิดเฉพาะในรัฐที่มีความเป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตยอยู่บ้าง ดังนั้นการลุกฮือโค่นล้มรัฐบาลเผด็จหรือการลุกฮือของพลเรือน ด้วยสันติวิธี ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาล หรือแย่งชิงอำนาจรัฐ ในสังคมที่ห่างไกลอย่างมากกับความเป็นประชาธิปไตย ไม่เป็น "อารยะขัดขืน"
ขณะที่คุณลักษณ์ของอารยะขัดขืนที่สำคัญ ที่ชัยวัฒน์เน้นย้ำตลอดเวลา คือ ข้อ 1 ต้องเป็นการละเมิดกฎหมายหรือตั้งใจละเมิดกฎหมาย และคัดค้านการทำให้ถูกต้องตามกฎหมายเนื่องจากเป็นการลดทอนพลังอำนาจในทางมโนธรรมสำนึก (ซึ่งอารยะขัดขืนต้องการให้เกิดขึ้น) และอำนาจทางการเมืองของอารยะขัดขืนลงไป ในขณะที่ข้อ 2 คือ ใช้สันติวิธี (nonviolent) และ ข้อ 3 เป็นการกระทำสาธารณะ เป็นไปอย่างเปิดเผย นั้นไม่ได้อธิบายมากนัก ซึ่งเข้าใจว่าไม่มีประเด็นที่จำเป็นต้องถกเถียง
ประเด็นที่สำคัญที่ชัยวัฒน์พยายามที่จะเน้นอีกอย่างหนึ่งคือ ข้อ 4 ต้องเต็มใจที่จะรับผลของการละเมิดหรือขัดขืน เพราะผลของการยอมรับผลดังกล่าวจะนำไปสู่ ข้อ 7 คือ การปลุกนโนธรรมสำนึกของสาธารณะ ผู้คน ทำให้ตั้งคำถามกับตัวกฎหมายหรือนโยบายที่พลเมืองดีต้องทำการอารยะขัดขืน หรือความอยุติธรรม หรือข้อจำกัดของสังคมการเมืองนั้นๆ
สำหรับขอบเขตของการกระทำที่ยอมรับว่าเป็นอารยะขัดขืนนั้น ค่อนข้างที่จะจำกัดอยู่ใน ข้อ 5 การกระทำเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบาย "บางอย่าง"ของรัฐบาล มากกว่าการแย่งเชิง เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ ระบอบการเมืองหรือรัฐบาล โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองให้ดีขึ้น กล่าวคือ เพื่อให้สังคมการเมือง"เป็นธรรม" มากขึ้น เคารพสิทธิเสรีภาพคนอื่นมากขึ้น และเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และที่สำคัญมากที่ชัยวัฒน์กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายและวิธีการของอารยะขัดขืนคือ คือ " ทั้งเป้าหมายและตัววิธีการอันเป็นหัวใจของ "civil disobedience" ส่งผลในการทำให้สังคมการเมืองโดยรวมมี "อารยะ" ยิ่งขึ้น"
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับการอธิบายถกเถียงในตอนต่อไป คือ การพิจาณาเรื่องความสัมพันธ์ของอารยะขัดขืน (ที่ในสังคมไทย มีการถือกันว่าเป็น ประชาธิปไตยทางตรง) และประชาธิปไตยแบบตัวแทน โดยชัยวัฒน์ เห็นว่า "แม้อารยะขัดขืนจะสัมพันธ์กับทฤษฎีประชาธิปไตยในฐานะการแสดงออก แต่มิได้มุ่งทดแทนระบบตัวแทนแต่อย่างใด" อย่างเช่น การละเมิดกฎหมายแบ่งแยกคนผิวสีออกจาคนผิวขาว หรือ การขัดขวางการจราจรเพื่อต่อต้านสงครามเวียดนามนั้น เป็นไปเพื่อให้ตัวแทนของประชาชนในรัฐสภาได้ยินเสียงอื่นๆ และทำหน้าที่เป็นตัวแทน นำเสนอการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายที่ไม่เป็นธรรม ไม่ชอบธรรม และได้สรุปว่า
"นอกจากอารยะขัดขืนจะมิได้มุ่งเปลี่ยนแปลงถอนรากถอนโคนระบบการเมืองที่ดำรงอยู่แล้ว ยังมิได้เป็นการพยายามเข้าแทนที่ประชาธิปไตยแบบตัวแทน หากแต่เป็นสิ่งที่เสริมให้ประชาธิปไตยแบบตัวแทนเข้มแข็งขึ้น เพราะเปิดพื้นที่ให้สังคมการเมืองได้ยินเสียงของผู้คน ที่แตกต่างหลากหลายรอบด้านยิ่งขึ้น" (หน้า 20)
การพยายามทั้งหมดของผู้เขียนในตอนที่ 1 นี้ ในการพิจารณาถึงอารยะขัดขืนของชัยวัฒน์นี้ น่าจะเพียงพอต่อการพิจารณาว่า มีความแตกต่างจากอารยะขัดขืนของพันธมิตรหรือไม่อย่างไร และถ้ายึดอารยะขัดขืนของชัยวัฒน์เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาแล้ว ก็พอที่จะพิจารณาได้ว่า อารยะขัดขืนของพันธมิตร เป็นอารยะขัดขืนตามความหมายนี้หรือไม
หมายเหตุเพิ่มเติม
เนื่องจาก ทั้งหมดนี้เป็นการสรุปและนำมาบางส่วนเท่านั้น ซึ่งแน่นอน ผู้เขียนย่อมมีบทบาทสำคัญในการเลือกและสรุป ดังนั้นเพื่อเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจเรื่องอารยะขัดขืนและการอภิปรายถกเถียงในตอนต่อไป จึงขอเสนอว่า ถ้าเป็นไปได้ ผู้อ่านควรจะอ่านหนังสือ อารยะขัดขืน ด้วยตนเอง รวมทั้งบทความภาษาไทยอื่นที่เกี่ยวข้องที่ถูกอ้างถึงและนำมาถกเถียง ซึ่งมีชิ้นที่สำคัญ คือ สมชาย ปรีชาศิลปกุล, สิทธิในการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย (กรุงเทพฯ: สถาบันพัฒนาการเมือง, 2543); ประภาสปิ่นตบแต่ง, "civil disobedience: การดื้อแพ่ง" ใน สิริพรรณ นกสวน และ เอก ตั้งทรัพย์วัฒนา (บรรณาธิการ) คำและความคิดในรัฐศาสตร์ร่วมสมัย (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546), หน้า 42-46; ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ ขบวนการเคลื่อนไหวประชาสังคมในต่างประเทศ : บทสำรวจพัฒนาการ สถานภาพและนัยยะเชิงความคิด/ทฤษฎีต่อพัฒนาการประชาธิปไตย (กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัยและผลิตตำรามหาวิทยาลัยเกริก, 2540 ( ต่อมาได้ตีพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยสำนักพิมพ์วิภาษา ในปี 2545 ในชื่อ ขบวนการเคลื่อไหวทางสังคมแบบใหม่)
นอกจากนั้น สำหรับผู้ที่รังเกียจหรือเห็นว่างานชั้นสองเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ และ/หรือ ต้องการถกเถียงเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะคุณสุริยะใส กตะศิลา และแกนนำพันธมิตรฯ ผู้ประกาศอารยะขัดขืน ก็สามารถที่จะเริ่มต้นด้วยงานชั้นต้น คือ A Theory of Justice ของ John Rawls ได้ (ซึ่งผู้เขียนเองก็ยังไม่ได้อ่าน)
อนึ่ง ที่ผู้เขียนแนะนำให้อ่านหนังสือ อารยะขัดขืน ของชัยวัฒน์เอง รวมทั้งงานชิ้นอื่นๆ มิใช่ต้องการเสนอว่า ให้ยึดงานเหล่านี้เป็นหลักแต่อย่างใด เพียงแต่เห็นว่า การเริ่มต้นการถกเถียงที่ดี ควรจะเริ่มต้นจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว แล้วค่อยถกเถียงว่าจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยอย่างไร มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่กำหนดอะไรตามอำเภอใจหรือที่เรียกว่า "มั่วๆ" เอา
เกี่ยวข้อง
อารยะขัดขืนของนักปรัชญา Vs อารยะขัดขืนของพันธมิตร (ตอนที่ 2)