Skip to main content
sharethis

หมายเหตุ: เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวอภิปรายทั่วไป โดยลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และ 7 รัฐมนตรี ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลุกขึ้นอภิปรายตอบโต้


 


000


 


อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ


ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์


 


4 เดือนที่ผ่านไปประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาหลักๆ ของประเทศล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ได้แก่ 1.ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่มีทั้งวิกฤตพลังงาน ราคาอาหาร ปากท้องของแพงการดูแลคนจน โดยเฉพาะความเสี่ยงในเรื่องของเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่สำคัญที่ประชาชนคาดหวังจะให้รัฐบาลแก้ไข 2.การแก้ไขปัญหาภาคใต้ที่เป็นระบบ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และ 3.ต้องการเห็นความสมานฉันท์ในชาติ ไม่มีปัญหาความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย เพื่อประชาชนอยู่ในประเทศด้วยสุขใจ ไม่วิตกกังวล ไม่เครียด ไม่มีความรู้สึกว่ามีการเผชิญหน้ากัน ทั้ง 3 เรื่องล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ซึ่งจะขอขยายความว่า


 


1.เรื่องพลังงาน เรื่องน้ำมัน รัฐบาลไม่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบทบาทของรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน แต่ที่ไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพราะคนที่มีหน้าที่ดูแลโดยตรงคือ กระทรวงการคลัง อยากชี้ให้เห็นว่านายกฯ นั่งดูประชาชนวิตกกังวล และเดือดร้อนราคาน้ำมันที่ขึ้นรายวัน และนั่งดูรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของประเทศ คือ ปตท. มีกำไรปีละ 100,000 ล้านบาท แล้วไม่เคยเข้าไปตรวจสอบอะไรที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับคนของประเทศ นายกฯก็เพียงอธิบายผ่านรายการสนทนาประสาสมัคร เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมว่า เขาทำธุรกิจการค้าก็ต้องให้โอกาสเขา และเขาค้ามากก็กำไรมาก แต่กำไรกว่าแสนล้านต่อปี เกิดจากโครงสร้างที่ผูกขาด ซึ่งต้องแก้ไข แต่ที่ผ่านมาแก้ไม่ได้ เพราะกฎหมายที่ใช้จัดการ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ไปยกเว้นรัฐวิสาหกิจ แต่ไม่เคยเห็นกระทรวงการคลังที่ถือหุ้นใหญ่ และกระทรวงพาณิชย์ที่ดูแลกฎหมายดังกล่าว วางแนวทางให้กับคนไทยว่า กำไรกว่าแสนล้านจะคืนกลับให้กับประชาชนได้อย่างไร เพราะกำไรดังกล่าวตกกลับมาอยู่ที่รัฐบาลอย่างมาก 10,000-20,000 ล้านบาท ปล่อยสภาพปัญหาวิกฤตราคาน้ำมันไปได้อย่างไร และนี่คือการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลไปวันๆ แล้วปล่อยให้ตัวเลขกำไรของรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน บาดใจผู้ใช้พลังงานทั่วประเทศ


 


2.ในเรื่องอาหาร เช่น ราคาข้าวที่ขึ้นสูงไปประวัติการณ์ รัฐบาลได้ทำโอกาสให้เป็นวิกฤต เพราะประเทศไทยเป็น 1 ใน 6 ประเทศที่ผลิตอาหารส่งออกไปยังต่างประเทศได้ แต่กลับมีภาพของการทะเลาะกันระหว่างรัฐมนตรีคลัง และรัฐมนตรีพาณิชย์ ทำให้ชาวนาไทยเสียโอกาส ตลาดข้าวปั่นป่วน เกิดการประท้วงของชาวนา และความไม่พอใจระหว่างบุคคลในกระทรวงพาณิชย์ ทำให้ไทยซึ่งมีโอกาสขายข้าวให้กับประเทศฟิลิปปินส์ เรื่องต้องเสนอ ครม. แต่กลับมาทะเลาะกัน และปล่อยให้โอกาสหลุดไป สุดท้ายเวียดนามได้ไป และขายได้ราคาดี


 


นอกจากนี้ นายกฯยังไม่สามารถกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์จัดการปัญหา เพื่อบรรเทาปัญหาของประชาชน คนที่เป็นนายกฯจะต้องมีการวางแผน มีการนำเสนออย่างเป็นระบบ ว่าในยามที่ประชาชนเดือดร้อน รายจ่ายจะลด หรือรายได้จะเพิ่มได้อย่างไร แต่ความไม่มองเหตุการณ์ล่วงหน้าของรัฐบาลจึงเกิดความสูญเสียสำหรับประชาชนคนไทย


 


ที่น่าเป็นห่วงคือ เงินเฟ้อ และยามที่เรากำลังจะต่อสู่ภาวะเงินเฟ้อ สิ่งที่ต้องการทำงานระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีความเป็นเอกภาพ แต่เวลานี้กลับตรงกันข้าม ที่พบว่ามีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างรัฐมนตรีคลัง ที่ต้องการเอาพรรคพวกที่มีส่วนได้เสียกับคดีที่ คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ไปดำรงตำแหน่งในธนาคารแห่งประเทศไทย โดยไม่คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล จึงไว้วางใจให้ทำงานต่อไปไม่ได้


 


3.ปัญหาภาคใต้ ที่วันนี้ยังไม่ได้รับการเยียวยา เป็นเพราะหลักคิดของนายกฯว่า เรื่องดังกล่าวปล่อยให้ตำรวจ ทหารทำแล้วเรื่องจะจบ การสร้างสมานฉันท์ นายกฯไม่ได้ทำ ซ้ำยังมีการปกป้องพวกพ้องของตนเอง เช่น การย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เนื่องจากมีเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีของอดีตนายกฯ ย้ายนายตำรวจ นอกจากนั้นยังมุ่งหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กระบวนการสมานฉันท์จึงไม่เกิด และเป็นชนวนให้คนออกมาชุมนุม ดังนั้น คนที่ล้มเหลวในการสร้างสมานฉันท์คือ ตัวนายกฯเอง และหากยังเป็นเช่นนี้ตลอด 4 ปีก็จะเป็นเช่นนี้ แล้วบ้านเมืองจะเดินหน้าไปได้อย่างไร ทุกคนที่มองก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่ารัฐบาลที่ดีต้องมีการเปลี่ยนแปลง


 


4.ส่วนเรื่องที่มีปัญหา และนายกฯก็อ้างว่าเป็นการโยนหินถามทาง คือ เรื่องรถเมล์ ผมมีหนังสือที่ทางกระทรวงคมนาคมได้ทำเรื่องเสนอไปยัง ครม.ทั้งหมด 11 หน้า ระบุถึงเรื่องงบประมาณที่ชัดเจน คือ 111,690 ล้านบาท ที่สำคัญยังมีลายเซ็นของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เสนอ ครม. ถ้าคิดว่าโยนหินถามทาง หรือทำเรื่องถูกต้องแล้ว ทำไมคนเซ็นเสนอ ครม.ถึงถอนเรื่องออกเอง ส่วนงบประมาณที่ระบุก็มีรายละเอียดที่ชัดเจน คร่าวๆ ก็มีการเช่าที่จอดรถแพงกว่าความเป็นจริงมาก


 


5.เรื่องที่ร้ายแรงที่สุด คือกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งผมก็รู้ว่านายกฯต้องถามว่าผมเกิดทันหรือเปล่า ผมเกิด 2507 แต่เขาพระวิหารเกิด 2505 ที่ผมไม่เชื่อก็คือว่า การที่พยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็น ที่บอกว่าให้ไปถามคนเก่าแก่ในพรรคว่าใครทำให้ไทยแพ้คดี ผมก็มีหนังสือที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อยู่ในมือ เรื่องตัวนายกฯเอง ก็มีผู้ใหญ่ในพรรคเล่าให้ผมฟังหลายเรื่อง แต่ผมไม่พูดในที่นี้


 


อย่างไรก็ตาม ถ้า 4 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลทำเพื่อทดแทนคุณของประเทศ พวกผมไม่มาพูดอยู่ ณ ตรงนี้หรอก แต่ถ้าเป็นการทำเพื่อผู้มีพระคุณหรือมีผลประโยชน์แอบแฝงผมยอมไม่ได้ เรื่องของประเทศ เรื่องแบบนี้มือสมัครเล่นทำไม่ได้ ต้องศึกษาทั้งกฎหมายระหว่างประเทศ และรักษาผลประโยชน์ประเทศให้ได้ เหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ถึงยอกว่าผมไว้วางใจท่านไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ท่านกลับเบี่ยงเบนประเด็นมากล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ ถ้านายสมัครจะเนรคุณ พ.ต.ท.ทักษิณ สักครึ่งหนึ่งของ ม.ร.ว.เสนีย์ บ้านเมืองจะดีกว่านี้


 


000


 


สมัคร สุนทรเวช


นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม


และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน


 


ผมไม่เคยเนรคุณ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะ ม.ร.ว.เสนีย์ เป็นอาจารย์ผม นายอภิสิทธิ์ สมควรแล้วที่พูดผิดแล้วถอน นอกจากนี้ที่กล่าวหาว่า การทำงานของรัฐบาล 4 เดือนที่ผ่านมา ผมทดแทนบุญคุณอดีตนักการเมืองที่เสียประโยชน์ ขอชี้แจงว่า ผมเป็นคนที่มีบุญคุณต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องตอบแทนบุญคุณผม


 


ส่วนเรื่องเขาพระวิหาร ไม่รู้ว่า พูดอะไรกันนักหนา ตอนเกิดเหตุเมื่อปี 2505 ผมอายุ 29 ปี ห่างกับผู้นำฝ่ายค้านเยอะ แต่ไม่เป็นไร จะพูดอย่างไรฟังได้ แต่การมาอบรมบ่มนิสัยกันแบบนี้ พ่อแม่ผมสั่งสอนว่า ไม่ให้ไปดูแคลนใครโดยไม่มีเหตุผล แต่วันนี้ผมโดนคนอายุ 40 กว่าๆ ดูแคลนโดยไม่มีเหตุผล ข้อเท็จจริงคือ ไทยแพ้คดีความ และยอมมา 45 ปี แต่รัฐบาลก็สงวนสิทธิ กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบทุกระยะ รัฐบาลไม่ได้คิดเองทำเอง แต่ไม่เข้าใจว่า ทำไมกลายเป็นเรื่องเอาประเทศชาติไปขาย มีการจุดชนวนปลุกระดมกันใหญ่ ทำให้คนสองประเทศไม่เข้าใจกัน และคนไทยในกัมพูชานอนไม่หลับ มีการสอบถามมาว่า เครื่องบินซี 130 ของกองทัพอากาศไทย ยังอยู่ในกัมพูชาหรือเปล่า


 


เรื่องเขาพระวิหารผมรู้ดี ผมนั่งดูอยู่ด้วยในการพิจารณาแผนที่ของฝ่ายไทย ถ้าไม่เช่นนั้น อธิบดีกรมสนธิสัญญา ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ แม่ทัพ นักวิชาการ ไม่มีความหมายเลยหรือ แต่ในสภาก็กล่าวหากัน ขอให้เอาหลักฐานมาพิสูจน์ ไม่ใช่ปลุกระดมจนร้อนฉ่า ถึงกับต้องไปห้ามทัพ ผมสงสารคนศรีสะเกษ จะนอนหลับหรือ ถ้าจะหาว่า มีการรีบตกลงเพื่อ ผลประโยชน์ของอดีตนายกฯก็ฟ้องเลย เพื่อพิสูจน์ว่าอดีตนายกฯเกี่ยวข้องหรือไม่ ไปทำมาหากินอะไรในนั้น เอากันให้ตายเลยก็ได้ ลากขึ้นศาลจะได้มาว่ากัน


 


ที่เขียนญัตติ โจมตีต่างๆ นานา นั่นเป็นมือสมัครเล่น แต่นี่สมัครจริง ที่แค่นเขียนมาว่า ผมแย่ขนาดนั้น ผมคิดว่าผู้ยื่นญัตติคงมองว่า บริหาร 4 เดือน ทำไมยาวนานทรมานเหลือเกิน ทำไมพรรคเส็งเคร็งถึงมาตัดสินโครงการใหญ่ๆ เช่น ขนส่งมวลชน รถไฟรางคู่ ผันน้ำ เป็นแสนล้านบาท ทำไมรัฐบาลหน้าโง่นี้มีโอกาส ปัดโธ่ อยากเหลือเกิน อยากเป็นนายกฯ แสดงความอยากให้คนเห็นทั้งบ้านทั้งเมือง เสียง 164 กับ 306 ก็จะเอากันให้ได้ คนรู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า จะอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ก็ต้อง 21 มกราคม ปีหน้า เลยแทรกยื่นญัตติให้ได้ตอนพิจารณางบประมาณ แต่ผมก็เปิดให้ และไม่ใช่การเมืองข้างนอกบีบบังคับ เพราะผมไม่กลัวการเมืองข้างนอก ถ้าประชาธิปัตย์เห็นว่าข้างนอกดีก็เป็นสิทธิ แต่ย้ำว่า อยู่การเมืองมาขนาดนี้ ปล่อยให้คนอายุ 40 กว่าๆ มากระแทกแดกดัน ผมหน้าโง่ขนาดนั้นเลยหรือ ผมรู้บุญคุณ ม.ร.ว.เสนีย์ เดินออกจากประชาธิปัตย์ แต่ก็ไม่เคยดูแคลนพรรค ฉะนั้น อย่ามาเก่งกาจเกินขนาด ใช้คำแบบนี้มากเกินไป


 


เรื่องรถเมล์ 6 พันคัน ก็ถอนออกจาก ครม. เพราะเพียงแต่คิดกันมา แต่ก็ข่าวตอบโต้กันมากมายแล้ว ส่วนปัญหาน้ำมัน ทุกประเทศโดนวิกฤตนี้กันหมด แต่คนเข้าใจแล้วว่า ไม่ใช่ความโง่ของรัฐบาลเรื่องน้ำมันแพง


 


ส่วนปัญหาสมานฉันท์ มาตำหนิผมอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าผมเป็นคนชั่วร้ายเลวทรามก็ว่าไป แต่นี่กล่าวหาว่า เอาคนไม่มีความสามารถมาเป็นรัฐมนตรี ขอถามว่า วัดอย่างไรเรื่องความสามารถ รัฐมนตรีก็จบปริญญาตรีกันหมด ถามว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะเอาคนนอกมาเป็นรัฐมนตรีหมดเลยหรือ ยอมรับว่า พรรคฝ่ายค้าน มีคนเก่ง แต่พรรคนี้คนเก่งมีไม่เยอะ แต่ระบบพรรคมีอยู่ และเลือกตั้งมา แต่ทำไมดูแคลนกัน


 


ผมทำงานก็รู้จักที่จะฟังข้าราชการประจำ แม้ผมไม่เก่งเท่าคนในประชาธิปัตย์ แต่ผมเข้าใจ เหมือนตีกอล์ฟ ผมเล่นไม่เป็นแต่ดูเป็น และสนุกไปด้วย ส่วน ครม. ถ้าเข้าใจแล้วก็บริหารได้ มีสติปัญญา คิดเป็น รู้ว่าอะไรควรทำอะไรควรเป็น ผมคุยกับนานาชาติได้ อย่าง พม่า ทำไมคนอย่างผม เลขาฯสหประชาชาติโทร.มาให้คุยกับพม่าเปิดประตูรับความช่วยเหลือเหตุภัยพิบัติ ผมจึงต้องชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่โดนกล่าวหา ผมมีความสามารถในการคุยกับต่างประเทศ เช่น จะดึงพม่าออกจากเงามืด


 


เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ผมพูดชัดว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 309 แต่เห็นด้วย กับการแก้ มาตรา 237 ท่อนหลัง แต่ถ้าไม่อยากให้แก้รัฐธรรมนูญ คราวหลังก็ให้เขียนบอกไว้ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแก้ได้ แต่ต้องทำให้ถูกตามกฎหมาย และไม่มีการปลุกระดม แต่วุฒิสภาอภิปรายเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ก็หาว่า ผมจะแก้เพื่อให้เป็นสาธารณรัฐ หรือล้มองคมนตรีถามว่ารัฐธรรมนูญทำไมจะแก้ไม่ได้ การแก้ทำไมเป็นชนวนให้คนลุกฮือ หรือฝ่ายค้านเห็นด้วยกับฉบับนี้ ก็ไม่ต้องลงคะแนน ให้ ส.ส.พรรครัฐบาลร่วมกับ ส.ว. ร่วมกันทำได้ และแก้ก็เพื่อใช้ในวันข้างหน้า ไม่ได้แก้เพื่อใช้ช่วยใครในวันนี้ คดีของนักการเมืองที่มีอยู่ก็ต้องขึ้นศาลอยู่แล้ว


 


สรุปสุดท้ายว่า 9 ข้อ ที่กล่าวหามานั้น ดูแคลนมาก เป็นผม ผมไม่ทำ อยากบอกว่า ผมรับผิดชอบต่อทุกเรื่อง การตรวจสอบของฝ่ายค้านเป็นเรื่องดี แต่ที่จะเอาเป็นเอาตาย ประโคมข่าวมันรุนแรงมากเกินเหตุ 4 เดือนที่ผ่านมา ผมแน่ใจว่า ไม่ได้ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ยืนยันเดินหน้าต่อ และยืนยันว่า มีความสามารถบริหาร แต่ถ้าหัวหน้าฝ่ายค้านดูแคลนนายกฯอย่างนี้ ขอให้คิดดูด้วย ที่เอาความอยากได้ใคร่ดี จนมาเล่นงานให้เจ็บช้ำ คนทั้งโลกฟัง ผมเสียหาย แต่ไม่เป็นไร จะสับโขกยังไงรวมทั้งรัฐมนตรีอีก 7 คนก็ว่าไป


 


แต่ผมเป็นคนมีสกุล ไม่เนรคุณใคร ฉะนั้นโปรดกรุณอย่ากล่าวหา ถามว่า 4 เดือน ท่านยังทนรอไม่ได้ แล้ว 4 ปี จะทนไหวหรือ


 

ที่มา: http://www.matichon.co.th/matichon

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net