Skip to main content
sharethis

ชื่อบทความเดิม: การเมืองยุคผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน กระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าถอยจม


 


ยามเฝ้าบ้านตัวเอง


 


 


 


 


การเมืองไทย 3 ปีที่ผ่านมา ช่างพิลึกพิลั่นกลับตาลปัตรหลายตลบจนน่าสงสัยว่าประเทศไทยแปลกประหลากพิสดารกว่าใครในโลก หรือคนไทยเพ้อเจ้อเลอะเลือนกันไปใหญ่แล้ว


ลองพิจารณาปรากฏการณ์ต่อไปนี้ดู


 


            1. คนรวยเกือบที่สุดในประเทศกลายเป็นขวัญใจมหาประชาชนคนรากหญ้า เลือกกี่ครั้งก็ชนะถล่มถลายทุกที จึงถูกมองว่าเป็นการแข่งบุญวาสนาบารมีกับคนรวยที่สุดในประเทศอีกคนซึ่งก็เป็นขวัญใจมวลมหาประชาชนเช่นกัน


 


            2. ภาคประชาชนทนไม่ได้จึงต้องออกมาต่อต้านประชาชนและเรียกหาพระราชอำนาจของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวเข้ามาแทรกแซง พระเจ้าอยู่หัวบอกใช้มาตรา 7 ไม่ได้เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย


 


            3. ทหารจึงแทรกแซงเพื่อประชาธิปไตย แถมทำอย่างสันติ๊ สันติ หน่อมแน้ม น่ารัก น่าหอมสักฟอด ไม่ดุเด็ดน่ากลัวอย่างชายชาติทหารเลย


 


            4. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นตัวแบบของความกลับตาลปัตรที่ขำกลิ้งจนร้องไห้แล้วก็ยังเข้าใจไม่ได้


 


            4.1 พันธมิตรฯ มีผลงานต่อต้านฉุดกระชากประชาธิปไตยให้ถอยหลังลงคลองเป็นลำดับไม่ขาดสาย เริ่มจากเรียกร้องพระราชอำนาจ ต่อมาเชิญชวนทหารให้ออกมาทำรัฐประหาร ต่อมาหนุนคณะรัฐประหารสุดตัว ต่อมาไม่พอใจเพราะรัฐบาลคณะรัฐประหารเด็ดขาดไม่พอ เผด็จการไม่พอ พวกเขาหนุนองค์กรและกลไกเผด็จการทุกประเภทอย่างสุดตัว รวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับไม่ไว้ใจประชาชน หนุน "ศาลเจ้าภิวัฒน์" และปวารณาตัวเองเป็น "ยามเฝ้าศาลเจ้า"


           


            ทั้งหมดนี้เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ


           


4.2 ครั้นเลือกตั้งตามกติกามัดมือไพล่หลังคู่ต่อสู้แล้ว ฝ่ายตนก็ยังแพ้ ตอนนี้เขาเลยบอกว่าอย่าไปเลือกเลิกแม่งเลย เอาการเมืองใหม่ดีกว่า เลือกกันเล่นๆ พอเป็นกับแกล้ม 30% แล้วยกอำนาจให้ 70% ที่ประชาชนไม่ได้เลือกดีกว่า


           


ที่อื่นๆ ในโลกเขาประณามระบบซึ่งค่อยๆ ตายจากโลกนี้ไปทุกทีนี้ว่า อำนาจนิยม คณาธิปไตย แต่พันธมิตรฯ คงสอบตกรัฐศาสตร์ หลงคิดว่าเป็นของใหม่ จึงปะหน้าทาแป้งให้สวยเช้งว่าเป็น "การเมืองใหม่" (โอ๊ย...งงระเบิดเลย เห็นเมืองไทยเป็นจูราสสิคปาร์คหรือไงถึงคิดว่านี่เป็นการเมืองใหม่)


 


            4.3 พันธมิตรฯ อวดว่า อภิชนาธิปไตยค่อนใบแบบนี้เป็นความคิด "ล้ำเส้น" ยากที่จะเข้าใจ อือม์...ยากที่จะเข้าใจจริงๆ แหละ เพราะความคิดนี้ล้าหลัง ถอยหลังจนไม่นึกว่าจะมีใครคิดพิเรนทร์แบบนี้อีกแล้ว ผู้คนจังงังกันเป็นแถวไม่ใช่เพราะล้ำหน้า แต่เพราะแทนที่จะพยายามวิ่งเข้าไปยิงประตูข้างหน้า พันธมิตรฯ กลับวิ่งถอยหลังจนหลุดออกนอกเส้นหลังประตูตัวเอง


 


            งงจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมีความฉลาดแบบกลับตาลปัตรได้ถึงขนาดนี้ เหลือเชื่อจริงๆ


 


            4.4 ไม่ว่าที่ไหนในโลก เขาวิจารณ์ข้อจำกัดของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนเพราะเขาต้องการให้เพิ่มอำนาจโดยตรงแก่ประชาชนให้ปกครองกันเอง จำกัดอำนาจของรัฐและตัวแทนรัฐ แต่พันธมิตรฯ วิจารณ์ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนว่าล้มเหลว เพื่อเสนอว่าในเมื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศลงคะแนนเลือกคู่ต่อสู้ของตนเข้ามาเป็นพวกโง่ดักดาน สอนเท่าไหร่ก็ยังเลือกทุนสามานย์อยู่ได้ จึงควรลดอำนาจประชาชนซะ ให้พวกโง่ๆ มีอำนาจแค่ 30% ก็พอ เอาอำนาจให้ผู้ทรงคุณธรรมชั้นสูงเลือกสรรแต่งตั้งคนที่ตนพอใจอีก 70% ดีกว่า


 


            4.5 ท่านผู้นำพันธมิตรฯ มอบหมายเป็นการบ้านแก่บรรดานักวิชาการทั้งหลายให้ไปช่วยกันขบคิดทำให้อภิชนาธิปไตยค่อนใบเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา งงวุ๊ย! คนคุมม็อบดัดจริตทำตัวเป็นนักคิด นักทฤษฎีผู้ชี้นำสังคม ศาสตราจารย์ทำหน้าที่ด่ากราด ใช้วาจาสามหาวกักขฬะหยาบคายโดยไม่ต้องมีข้อมูล ไม่ต้องใช้ปัญญา ไม่มีสาระ นักทฤษฎีมาจากแอคติวิสต์ที่ไม่เคยค้นคว้าวิจัย นักปราศรัยแบบสถุลมาจากมหา"ลัยที่ได้ดีกรีด๊อกฯ มาจากต่างประเทศ


 


            5.1 ประชาธิปไตยของพันธมิตรฯ หมายถึงอำนาจสูงสุดในประเทศอยู่ที่การชุมนุม ส่วนอื่นของสังคมต้องตอบสนองเอื้ออำนวยการชุมนุมของพวกเขา ใครไม่มาชุมนุมโดนตำหนิ ใครตำหนิพันธมิตรฯ โดนด่าประณามว่าเป็นพวกไม่รักชาติ ในเมื่อประชาชนคนส่วนใหญ่โง่ จน เจ็บ และบ้านนอกจึงไม่ควรมีอำนาจเท่ากับชาวพันธมิตรฯ สมควรเป็นแค่เมืองขึ้นของชาวเมืองและกรุงเทพฯ


 


            5.2 ระบอบประชาธิปไตยของการชุมนุม หมายถึงการที่ผู้ชุมนุมมอบอำนาจให้ผู้นำไปคิดและตัดสินใจแทนตน จากนั้นผู้นำมีหน้าที่มาตะโกนถามผู้ชุมนุมว่า "เห็นด้วยไหม" ผู้ชุมนุมมีหน้าที่ตอบรับแข็งขันว่า "เห็นด้วยๆๆๆ"


 


"สู้ไหม"  "สู้ๆๆๆ"


 


            "ใช่ไหม" "ใช่ๆๆๆ"


 


            ผู้นำพันธมิตรฯเรียกสภาวะเช่นนี้ว่า เป็นแบบอย่างของระบอบประชาธิปไตยที่ดี โอ้โฮ! ชื่นใจจัง ยังกะอยู่ในสมัยสุโขทัย พ่อบ้านเรียกประชุมลูกบ้านหน้าประตูวัง อย่าลืมแขวนกระดิ่งหน้าประตูด้วยนะ...จะบอกให้


 


            6.1 ผู้ดีประเทศนี้ก็แสนจะน่ารัก ยอมโดนจูงจมูกเดินตามไพร่พันธมิตรฯ ต้อยๆ อย่างว่านอนสอนง่าย คณะผู้นำเป่า "ปรี๊ด" ก็ซ้ายหันขวาหันตามท่าน ท่านว่า "ออกไป" ผู้ดีซื่อบื้อก็ร้องตามว่า "ออกไป" ท่านว่า "เอาเขาพระวิหารคืนมา" ก็พากันเดินตามก้นไปลงชื่ออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย น่าร้าก... น่ารัก


 


            6.2 พันธมิตรฯประสบความสำเร็จสุดยอด ได้ชัยชนะสำคัญที่สุด ตรงที่สามารถทำให้ผู้ดีหลงใหลเดินตามไพร่พันธมิตรได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู โดนสอยจมูกลากจูงถอยหลังลงคลองก็ยังไม่รู้ตัว ใครคิดว่าไพร่โง่ โปรดทราบด้วยว่าผู้ดีโง่กว่า ยอมให้ไพร่จูงจมูกอย่างหลงใหล


 


            ไอ้พวกสาธารณรัฐเอาแต่ต่อต้านพันธมิตรฯจนมองไม่เห็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่พันธมิตรฯ กำลังทำกับพวกผู้ดีซื่อบื้อแบบไทยๆ แต่พันธมิตรฯแฝงเร้นภารกิจนี้ไว้หลายตลบจนพันธมิตรฯ เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่


 


            6.3 อำมาตยาธิปไตย อภิชนาธิปไตยเติบใหญ่กล้าแข็งด้วยการต่อสู้ของไพร่พวกนี้แหละ ไพร่ต่อสู้เพื่อเพื่ออภิชนผู้ยินดีเดินตามไพร่ผู้ต่อสู้เพื่ออภิชนผู้ยินดีเดินตามไพร่ผู้ต่อสู้เพื่ออภิชนผู้ยินดีเดินตามไพร่ผู้ต่อสู้เพื่ออภิชนผู้ยินดีเดินตามไพร่....โอ๊ย! งง!


 


            เมืองไทยไม่มีความขัดแย้งทางชนชั้น มีแต่ความสมานฉันท์ทางชนชั้นแบบงูกินหาง


 


7. ภาษาการเมืองของพันธมิตรฯมีความหมายตรงข้ามกับความหมายที่ใช้กันปกติในภาษาไทย


 


            การเมืองใหม่หมายถึงการถอยหลังลงคลองทวนน้ำกลับไปถึงต้นธารโน่น


 


            ถอยหลังคือเดินหน้า อดีตคืออนาคต


 


            ประชาธิปไตยหมายถึง เผด็จการ อภิชนาธิปไตย 70%


 


            ภาคประชาชนหมายถึง อภิชน ผู้ดีมีสกุล และยามเฝ้าศาลเจ้าทั้งหลาย


 


            ประชาชนคือ ทรราชย์ของคนส่วนใหญ่


 


            โอ้! พระเจ้าจอร์จ...ออร์เวลยังยอมแพ้เลย เพราะนี่เป็น "ดับเบิ้ลสปีก" ของจริง ไม่ใช่แค่ในนิยาย 1984 อีกต่อไป ยามเฝ้าศาลเจ้าสามารถทำให้เมืองไทยเป็นสังคมแบบ 1984 จริงๆ ขึ้นมาได้


 


            8.1 ความไม่รุนแรงแบบไทยๆ หมายถึงการที่ฝ่ายหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องยั่วยุจุดชนวนครั้นแล้วครั้นเล่า คุกคามได้ไม่จำกัด โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ตอบโต้


 


            การคุกคามแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ถือเป็นความรุนแรง


 


            ความรุนแรงหมายถึงภาวะที่อีกฝ่ายอาจจะตอบโต้ แค่คิดก็ถือเป็นความรุนแรงแล้ว


 


            การชุมนุมอย่างสันติที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองรวมถึงการยั่วยุจุดชนวนเพื่อล้มล้างประชาธิปไตยได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ส่งเทียบเชิญทหารให้ทำรัฐประหารก็ได้... ถือว่าสันติ


 


            8.2 นักมวย 2 ฝ่ายอยู่บนเวที ฝ่ายน้ำเงินเดินรี่เข้าไปหาฝ่ายแดง ประกาศชัดตลอดเวลาว่ากูต้องการน็อคเอาท์ฝ่ายแดง แต่ฝ่ายน้ำเงินร้องไปพลางว่า อย่าใช้ความรุนแรงกับตน เรียกร้องให้กรรมการจัดการห้ามฝ่ายแดงตอบโต้เพราะการตอบโต้จะทำให้เกิดการนองเลือด


 


            คนดูช่วยกันร้องว่า ฝ่ายแดงห้ามตอบโต้ เพราะการตอบโต้จะทำให้เกิดการนองเลือด ฝ่ายน้ำเงินต้องการน็อคเอาท์ฝ่ายแดงอย่างสันติ เพราะการคุกคามแต่เพียงฝ่ายเดียว = สันติ


 


            กรรมการจึงเข้าแทรกแซง ไล่ฝ่ายแดงลงจากเวที ยกมือให้ฝ่ายน้ำเงินเป็นฝ่ายชนะ เพื่อป้องกันการนองเลือดโดยฝ่ายแดงซึ่งยังไม่ได้ทำอะไรเลย ส่งผลให้การน็อคเอาท์อย่างสันติโดย


ฝ่ายน้ำเงินบรรลุผล


 


            ฝ่ายน้ำเงินยกย่องกรรมการว่าช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะนองเลือดโดยฝ่ายแดง ซึ่งยังไม่ได้ทำอะไรเลย และช่วยให้การใช้ความรุนแรงฝ่ายเดียว (= สันติ) ของตนบรรลุผล


 


            กติกาและกรรมการของมวยแบบไทยๆ พิลึกจริงๆ


 


            8.3 รัฐประหารจึงช่วยป้องกันการนองเลือดไว้ได้ด้วยการกำจัดฝ่ายที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ให้ตอบโต้ฝ่ายที่ยั่วยุจุดชนวน ตลอดเวลาดังกล่าวทางออกอีกแบบที่จะป้องกันการปะทะนองเลือดได้โดยไม่ต้องรัฐประหารก็คือ พวกยามเฝ้าศาลเจ้าเลิกคุกคาม ยั่วยุ เลิกจุดชนวนสร้างเงื่อนไขการปะทะ เลิกผลักดันความขัดแย้งเข้าสู่ทางตัน


 


            แต่สันติวิธีของยามฯคือ การตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องยั่วยุจุดชนวนครั้นแล้วครั้นเล่า คุกคามได้ไม่จำกัด แต่ห้ามคู่ต่อสู้ตอบโต้


 


            8.4 อหิงสาของพันธมิตรฯ จึงเป็นสันติวิธีแบบมาเฟียที่ตนมีสิทธิตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องยั่วยุจุดชนวนครั้นแล้วครั้นเล่า คุกคามได้ไม่จำกัด ตราบใดที่ไม่มีการหือ ไม่มีการตอบโต้ ก็ย่อมไม่มีการปะทะกัน


            อหิงสาของมาเฟีย เป็นอหิงสาที่ภาคประชาชนแซ่ซ้องสรรเสริญ


 


            9.1 เกินกว่าครึ่งของยามเฝ้าศาลเจ้าผู้ป่าวประกาศความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อย่างสุดๆบนเวทีพันธมิตรฯ คือ พวกไม่เอาเจ้าอย่างสุดๆ มาก่อน กล่าวหาว่าร้ายมาตลอดหลายปี พวกเขา "ตาสว่าง" พากันกลับใจเป็นรอยัลลิสต์อย่างฉับพลันจากการต่อต้านทักษิณ? หรือพวกเขาแค่ปลิ้นปล้อนตามเกมการเมือง?


 


            9.2 ยามเฝ้าศาลเจ้าจึงเป็นขบวนการของพวกไม่เคยเชื่อหรือศรัทธาศาลเจ้า และเข้าใจว่ายังคงไม่เชื่ออยู่ดี เพียงแต่ปลิ้นปล้อนอย่างจริงใจเพื่อรับใช้สิ่งที่พวกเขาไม่เคยเชื่อ เพื่อบรรลุชัยชนะในเกมการเมืองนี้พวกเขาต้องยอมปลิ้นปล้อนเพื่อชาติ!


 


            9.3 พันธมิตรฯ เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการพวกแอนตี้สถาบันกษัตริย์ จึงหมายถึงคนบนเวทีพันธมิตรนั่นเองตั้งหลายคน


 


            9.4 พวกเขาหากินกับศาลเจ้า เรียกร้องให้คนเคารพศาลเจ้า ทั้งๆ ที่พวกเขาคือผู้ที่เคารพศาลเจ้าน้อยที่สุด แต่มีความสามารถแห่ร้องเชิดชูบูชาศาลเจ้าได้ไพเราะกว่าใครอื่นแค่นั้นเอง พวกเขาปลิ้นปล้อนเพื่อชาติได้แนบเนียนสนิทที่สุดกว่าใครอื่นแค่นั้นเอง


 


            น่าสมเพชที่บรรดาผู้จงรักภักดีตัวจริงมองไม่เห็น หลายคนหลงใหลได้ปลื้มไปกับพวกปลิ้นปล้อนเหล่านี้เสียเต็มประดา ประชาชนโง่ก็แย่พอแล้ว ผู้ดีดันโง่เสียยิ่งกว่า น่าสงสารประเทศไทย จะขอมีผู้ดีที่ฉลาดรู้ทันคนปลิ้นปล้อนสักหน่อยก็ยังไม่ได้


 


            9.5 มีผู้จงรักภักดีตัวจริงในหมู่ผู้นำพันธมิตรฯ มองเห็นข้อนี้แน่ๆ แต่เขาแกล้งมองไปที่อื่นผู้ดีบางคนก็คงดูออกว่าผู้นำยามเฝ้าศาลเจ้าหลายคนไม่ได้จงรักภักดีจริงๆ จังๆ หรอก แต่ก็ยอมร่วมมือกันไปก่อนเพื่อต่อสู้ทักษิณ เฮ้อ! ปลิ้นปล้อนเพื่อชาติพอกัน


 


            10.1 สื่อมวลชนโกรธเกลียดสภาวะที่มีเสรีภาพจนฝ่ายต่างๆ พยายามเข้ามาช่วงชิงมีอิทธิพลเหนือสื่อมวลชน พวกเขาเกลียดอำนาจเงิน+อำนาจรัฐ จึงต้องโวยวายเกลียดกลัวสร้างภาพปีศาจขึ้นมาหลอนตัวเอง


 


            สื่อมวลชนปกป้องสภาวะที่ไม่มีเสรีภาพและการแทรกแซงบงการโดยอำนาจเผด็จการ ในเมื่อไม่มีเสรีภาพ ก็ย่อมไม่ต้องกลัวไม่ต้องโวยวายต่อการการสูญเสียเสรีภาพ การไม่มีเสรีภาพ หรือรู้ๆ อยู่แล้วว่าอะไรพูดไม่ได้ ย่อมไม่ถือว่าถูกแทรกแซงเพราะยังไงๆ ก็ไม่มีเสรีภาพให้แทรกแซงอยู่แล้ว (งงวุ้ย!)


 


            10.2 สภาวะโวยวายได้คือความทุกข์อย่างยิ่ง เพราะต้องต่อสู้อย่างหนักว่าตนถูกแทรกแซงขาดเสรีภาพ แต่สภาวะโวยวายไม่ได้ เพราะอำนาจรัฐ+อาวุธ คุมด้วยความกลัว กลับเป็นความสงบที่สื่อมวลชนพึงพอใจ เขาว่านกก็ว่านก เขาว่าไม้ก็ว่าไม้ตามเขาไป


 


            สภาวะไม่มีเสรีภาพไม่น่าเกลียดกลัว แถมยังช่วยให้งานไม่หนัก เพราะไม่ต้องต่อสู้ให้เหนื่อยแรง ใครตำหนิก็อ้างว่าจะไปทำอะไรได้ ด้วยเหตุนี้ สื่อมวลชนจึงเข้าข้างระบอบที่ไร้เสรีภาพ และต่อสู้สุดตัวไม่อยากให้เสรีภาพกลับคืนมาอยู่แล้ว (งงวุ้ย!)


 


            11. สาธารณชนเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อเป็นตุเป็นตะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องค้นคว้า เพราะคนที่ตนเชื่อเขาค้นมาให้แล้ว คิดมาให้แล้ว (สอนผ่านทีวีดาวเทียมทุกวันด้วย)


 


            นักวิชาการไร้สาระที่ไม่เคยทำงานวิชาการสักเท่าไหร่ กลายเป็นผู้ที่คนรับฟังเชื่อถือนักวิชาการที่ทำงานขบคิดกับสังคมไทยมาแทบเป็นแทบตายค่อนชีวิต ถูกด่าเป็นหมูเป็นหมา เพียงเพราะความรู้ ความคิดของเขาแสลงหูสาธารณชน


 


            ความรู้คือขยะ ถ้าไม่ตรงกับที่ตัวกูของกูรู้ล่วงหน้าไว้แล้ว


 


            12. ประชาชนทั้งประเทศตกเป็นตัวประกันของยามเฝ้าศาลเจ้า จะบีบก็ยอม จะคลายก็แซ่ซ้องสรรเสริญ ยามศาลเจ้า เฝ้าผูกขาดการพูดถึงเจ้าในศาลกับศาลของเจ้าไปเสียแล้ว ยามเฝ้าศาลเจ้าจึงสามารถทำตัวอวดเบ่งตามสบาย เป็นมาเฟียในนามของศาลเจ้า


 


            ทั้งหมดนี้แสดงว่าประเทศไทยไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน หักปากกาเซียนรัฐศาสตร์ได้หมดทั้งโลก


 


            หรือไม่ก็แสดงว่าการเมืองไทยไร้หลักการ ไร้เหตุผลสิ้นดี ปัญญาไม่มี หรือไม่ก็ลืมใช้ นักวิชาการคิดไม่เป็น หรือไม่ก็ลืมคิด สื่อมวลชนเป็นแค่ลูกคู่หางเครื่อง กับเป็นเครื่องบันทึกเทป แถมยังไม่รู้จักจรรยาบรรณของตนเสียอีก


 


            คนไทยเลอะเลือนกันไปใหญ่แล้ว!

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net