มีการศึกษาพบว่า ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถมีชีวิตอยู่ได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 13 ปี จากการพัฒนาการรักษาที่ดีขึ้น
นักวิจัยกล่าวว่า จากการศึกษาดังกล่าวนั้นหมายความว่า ขณะนี้ เอชไอวีมีภาวะเรื้อรัง คล้ายโรคเบาหวาน มากกว่าจะเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เดอะแลนเซ็ต (the Lancet) วารสารทางการแพทย์ในอังกฤษ รายงาน
ทีมงานซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากมหาวิทยาลัยบริสตอล ได้สังเกตผู้ป่วยกว่า 43,000 ราย และพบว่าบุคคลซึ่งวินิจฉัยพบว่า ได้รับเชื้อเอชไอวี เมื่ออายุ 20 ปี จะมีชีวิตต่อไปได้อีก 49 ปี
ขณะที่กลุ่ม Antiretroviral Therapy Cohort Collaboration ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์จากยุโรปและอเมริกาเหนือ เตือนว่า ช่วงชีวิตดังกล่าวก็ยังสั้นเกินไปเมื่อเทียบกับประชาชนทั่วไปซึ่งมีอายุเฉลี่ย 80 ปี
การรักษาด้วยการยับยั้งเชื้อไวรัสเอชไอวีเป็นการใช้ยาต้านการติดเชื้อ ด้วยการชะลอการเพิ่มจำนวนของไวรัสในร่างกาย วิธีการรักษานี้ถูกค้นพบเมื่อทศวรรษ 1990 ซึ่งต่อมาก็มีประสิทธิภาพดีขึ้นและมีความต้านทานมากขึ้น
ทั้งนี้นักวิจัยเฝ้าดูช่วงชีวิตของผู้ติดเชื้อในประเทศที่มีรายได้สูง 3 ช่วง ตั้งแต่ได้รับยาต้านไวรัส นั่นคือ 1996-9, 2000-2 และ 2003-5 (2539-2542, 2543-2545 และ 2546-2548) พบว่ามีผู้ป่วยที่เสียชีวิตในช่วงที่ทำการศึกษาประมาณ 2,000 รายเท่านั้น
พวกเขาพบว่า ผู้ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่ามีเชื้อเอชไอวี ขณะที่อายุ 20 ปี ในทศวรรษ 1990 จะมีชีวิตอยู่ได้อีก 36 ปี แต่ผลการศึกษาในช่วงล่าสุด นับแต่ช่วงปี 2003-5 เป็นต้นมา พบว่าผู้ติดเชื้อมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานเพิ่มขึ้น 13 ปี ขณะที่ ระยะกลางของช่วงเวลาที่ศึกษา พบว่า ช่วงชีวิตได้เพิ่มขึ้นเป็นอีก 41 ปี
ศาสตราจารย์โจนาธาน สเตอร์น ผู้วิจัย กล่าวว่า "ความก้าวหน้าเหล่านี้เปลี่ยนเอชไอวีจากการเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ซึ่งเป็นความจริงสำหรับผู้ป่วยก่อนที่จะมีการรักษาโดยใช้ยาหลายชนิดรวมกัน มาเป็นภาวะเรื้อรังระยะยาว"
เขากล่าวเสริมว่า การพัฒนานี้เป็นเหมือนคัมภีร์ไปสู่ความสำเร็จของยาต้านเอชไอวี
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่า ผู้ที่มารู้ตัวทีหลังว่า มีเชื้อเอชไอวี จะมีช่วงชีวิตที่สั้นลง
มาร์ก ทอมป์สัน รองหัวหน้าหน่วยส่งเสริมสุขภาพ ของเทอเรินซ์ ฮิกกินส์ ทรัสต์ (Terrence Higgins Trust) องค์กรการกุศลชั้นนำด้านเอชไอวีและสุขภาพทางเพศในอังกฤษ กล่าวว่า "ยารักษาเอชไอวีมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ แต่การวิจัยยังจำเป็นต้องทำต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อผู้ที่ร่างกายเริ่มดื้อยาบางประเภท และกำลังจะหมดทางเลือก"
ทั้งนี้ เขาเสริมว่า จากการศึกษาเน้นไปที่ความจำเป็นในการรับการวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ โดยชี้ให้เห็นว่า ผู้ป่วย 1 ใน 3 ไม่รู้ว่า ตนเองมีเชื้อเอชไอวี
เดโบราห์ แจ็ค จากเนชั่นแนลเอดส์ทรัสต์ (National Aids Trust) องค์กรการกุศลด้านนโยบายและการรณรงค์เกี่ยวกับเอชไอวีและเอดส์ในอังกฤษ กล่าวว่า "ฉันหวังว่า การศึกษานี้จะกระตุ้นให้ผู้คนเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวีกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เราต้องให้การศึกษาแก่แพทย์เรื่องสัญญาณและอาการของโรคให้ดีขึ้นด้วย"
"สังคมจำเป็นต้องเข้าถึงความจริงที่ว่าการติดเชื้อเอชไอวีคือความเจ็บป่วยระยะยาว ที่ประชากรกว่าพันคนในอังกฤษกำลังมีชีวิตอยู่กับมัน ในทุกๆ วัน"
"เอชไอวีไม่ควรถูกกลัว หรือกลายเป็นตราบาปที่คงอยู่รอบๆ มัน"
แปลและเรียบเรียงจาก HIV drugs 'add 13 years of life', สำนักข่าวบีบีซี