Skip to main content
sharethis

สำนักข่าวประชาธรรม


 



 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านวังใหม่ (ผาช่อ) หมู่ 12 ต.ร่องเคาะ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง แจ้งว่าเมื่อเร็วๆ นี้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยหลวง เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จ.พะเยา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด. ทหาร ได้สนธิกำลังกว่า 500 นาย เข้าทำการตัดโค่น รื้อถอนต้นกาแฟ บ๊วย พลับ และไม้ผลต่างๆ อีกหลายชนิดบริเวณบ้านแม่ต๋อม อ.วังเหนือ จ.ลำปาง ซึ่งพืชผลดังกล่าวเป็นของชาวบ้านวังใหม่ที่ปลูกไว้ตั้งแต่ก่อนถูกทางราชการสั่งอพยพมาอยู่พื้นราบ โดยต้นกาแฟ และไม้ผลดังกล่าวมีชาวบ้านวังใหม่ 12 ครอบครัวเป็นเจ้าของ รวมความเสียหายหลายสิบไร่ ขณะเดียวกันผลผลิตเหล่านั้นถือเป็นแหล่งรายได้หลักของชาวบ้านทั้ง 12 ครอบครัวด้วย


ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า เดิมทีชาวบ้านวังใหม่อยู่บนดอยคือบริเวณบ้านแม่ต๋อม อ.วังเหนือ มีการตั้งถิ่นฐานมานานประมาณ 70 ปี ต่อมาในปี 2532 ทางราชการประกาศให้พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นเขตอุทยานแห่งชาติดอยหลวง ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จ.เชียงราย พะเยา และลำปาง ต่อมามติ ครม.วันที่ 10 ก.ย.2535 มีคำสั่งให้ชาวบ้านในบริเวณนั้นทั้งหมดอพยพออกจากพื้นที่ดังกล่าว และวันที่ 14 ก.พ.2537 ชาวบ้านจำนวน 5 หย่อมบ้าน คือบ้านแม่ต๋อม บ้านแม่ส้าน บ้านป่าคา บ้านห้วยห้อม(ลีซู) และบ้านห้วยห้อม(ลั๊วะ) จำนวน 880 คน 160 หลังคาเรือน จึงถูกอพยพออกจากพื้นที่ โดยให้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่รองรับบ้านวังใหม่ ต.ร่องเคาะ อ.วังเหนือ จนถึงปัจจุบัน


นายธนวัฒน์ แซ๋โค้ว ชาวบ้านวังใหม่ ต.ร่องเคาะ อ.วังเหนือ และเป็นเจ้าของสวนกาแฟที่บ้านแม่ต๋อม และถูกเจ้าหน้าที่ตัดโค่น กล่าวว่า การอพยพมาอยู่ที่บ้านวังใหม่นั้น ราชการจัดสรรที่ดินทำกินให้ชาวบ้าน แต่จากสภาพที่ดินเป็นดินลูกรังจึงไม่สามารถใช้เพาะปลูกได้ ดังนั้นในปี 2537 หลังจากถูกอพยพลงมาไม่นานชาวบ้านจึงเข้าร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหา ซึ่งขณะนั้นนายประจวบ ไชยสาส์น เป็น รมว.เกษตรกรฯ จนในที่สุดผลจากการเรียกร้องครั้งนั้นได้ข้อสรุปว่า ชาวบ้านที่ถูกอพยพลงมาสามารถไปเก็บเกี่ยวผลผลิตที่หมู่บ้านเดิมได้ แต่มีเงื่อนไขห้ามปลูกใหม่ และห้ามขยายพื้นที่ปลูกเพิ่ม ซึ่งชาวบ้านเองก็สามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวผลผลิต ทั้งกาแฟ พลับ บ๊วย มะม่วง ส้มโอ ได้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อย่างปีที่แล้วเจ้าของสวนทั้ง 12 รายขายกาแฟรวมกันได้เงินกว่า 1 ล้านบาท


นายธนวัฒน์ กล่าวต่อว่า แต่อยู่ๆ เจ้าหน้าที่กลับมาบอกชาวบ้านว่ามีการบุกรุกป่าอุทยานฯ มีการปลูกกาแฟเพิ่ม ดังนั้นต่อไปนี้ห้ามชาวบ้านเข้าไปเก็บเกี่ยวผลผลิตใดๆ อีกต่อไป และทางอุทยานฯ จะทำการตัดโค่นพืชผลทั้งหมดทิ้ง เพื่อปรับพื้นที่ทั้งหมดเตรียมปลูกป่าต่อไป กรณีดังกล่าวสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านวังใหม่เป็นอย่างมาก เพราะที่ดินที่ได้รับการจัดสรรใช้เพาะปลูกไม่ได้ และรายได้หลักก็มาจากพืชผลที่ปลูกไว้ที่ไร่เก่าเท่านั้น


"ชาวบ้านปลูกกาแฟในที่ดินเหล่านั้นมาตั้งแต่ปี 2528 ซึ่งช่วงนั้นโครงการพัฒนาที่สูงไทย-นอร์เวย์และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดร่วมกับกรมประชาสงเคราะห์เข้าไปส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ บ๊วย สาลี่ เราทำมาหากินตามปกติ หลังถูกอพยพลงมาเราก็ไม่เคยขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มเพราะไม่อยากมีปัญหากับอุทยานฯ เจ้าของสวนทั้ง 12 รายมีเนื้อที่สวนรวมกันประมาณ 30 ไร่เท่านั้น" นายธนวัฒน์ กล่าว


นายธนวัฒน์ กล่าวต่อว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่นั้นถือเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ต้นไม้ต่างๆที่ชาวบ้านปลูกนั้นล้วนต้นใหญ่ หากดูจากภาพถ่ายทางอากาศจะไม่รู้เลยว่าพื้นที่เหล่านั้นเป็นสวนชาวบ้าน มีพืชพันธุ์หลากหลายชนิด ไม่มีร่อยรอยการขยายพื้นที่หรือการปลูกใหม่แน่นอน ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นตนอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง


นางอิสรนันท์ วงศ์ประภัสสร ชาวบ้านวังใหม่ ต.ร่องเคาะ อ.วังเหนือ และเป็นเจ้าของสวนกาแฟที่บ้านแม่ต๋อมและถูกเจ้าหน้าที่ตัดโค่นอีกราย กล่าวว่า เนื้อที่สวนของตนที่บ้านแม่ต๋อมมีประมาณ 10 ไร่ ปลูกทั้งกาแฟ บ๊วย พลับ มะม่วง ส้มโอ มีการเก็บผลผลิตทุกปี ซึ่งปีที่ผ่านมาเก็บเฉพาะกาแฟขายได้ 2 แสนกว่าบาท รายได้เหล่านี้นับเป็นรายได้หลักของครอบครัว


ขณะที่การกล่าวอ้างว่าชาวบ้านวังใหม่ไปขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มนั้น นางอิสรนันท์ แจงว่า ไม่เป็นความจริงแน่นอน ชาวบ้านไม่มีใครกล้าอยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ข่มขู่มาโดยตลอด ชาวบ้านเองก็กลัวจนไม่มีใครกล้าขยายพื้นที่ แม้แต่การไปดูแล ตัดหญ้าก็ยังไม่มีใครกล้าทำ ดังนั้นการอ้างว่าชาวบ้านวังใหม่ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่ม จนทางการต้องตัดโค่นพืชผลทั้งหมดออกนั้นเป็นเรื่องไม่จริงและเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ


นางอิสรนันท์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันเขตอุทยานแห่งชาติในพื้นที่ จ.พะเยา ซึ่งติดต่อกับบ้านแม่ต๋อมนั้นยังมีหย่อมบ้านอีกประมาณ 3 หย่อมบ้านที่ยังไม่ถูกอพยพลงมา และหย่อมบ้านเหล่านั้นก็ปลูกกาแฟ บ๊วย พลับ ลิ้นจี่ ด้วย และเป็นไปได้ว่าการขยายพื้นที่ปลูกนั้นอาจมีสาเหตุมาจากบุคคลในหย่อมบ้านที่ยังไม่ถูกอพยพ


"การตัดโค่นพืชผลของชาวบ้านเหี้ยนเตียนทั้งหมดสร้างปัญหาแก่ชาววังใหม่แน่นอน เราไม่มีที่ทำมาหากินที่อื่น ที่ดินที่ราชการหามาให้ก็ใช้ปลูกอะไรไม่ได้ ที่ผ่านมาเราเคยเรียกร้องไปที่อำเภอให้เข้ามาแก้ปัญหาให้แต่นายอำเภอก็ไม่สนใจ ดังนั้นการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่เกิดขึ้นชาวบ้านขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย" นางอิสรนันท์ กล่าวทิ้งท้าย


นายวิทูร เริ่มวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 เชียงราย กล่าวว่า การเข้ารื้อถอนต้นกาแฟในครั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2535 ในการอนุรักษ์พื้นที่ป่าในเขตอุทยานฯ อีกทั้งก่อนเจ้าหน้าที่จะเข้าทำการรื้อถอนได้ประกาศให้ผู้เป็นเจ้าของเข้าทำการรื้อถอนภายใน 30 วันแล้ว แต่ไม่ดำเนินการ เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องเข้ารื้อถอน และทำลาย เพื่อเป็นการตัดเงื่อนไขในการบุกรุกต่อ.


หมายเหตุ : ภาพประกอบจากแฟ้มภาพประชาธรรม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net