Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

(ชื่อภาษาอังกฤษ: The Wisdom of Dr. in the Third World)


 


โดย ดร.หอกหัก


 







 




 


ในการเมืองไทยยุคใหม่ ไม่ใช่พันธมิตรเพียงฝ่ายเดียวที่โจมตีฝ่ายตรงข้ามในเรื่องวุฒิการศึกษา เช่น เป็นด็อกเตอร์เก๊บ้าง ลอกวิทยานิพนธ์บ้าง อ่านภาษาอังกฤษไม่ออกบ้าง จบเมืองนอกจากมหาวิทยาลัยภาคค่ำบ้าง แต่ฝ่ายต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านพันธมิตร ก็มักยกย่องตัวเองว่า ตนเป็นผู้มีการศึกษาสูง โดยมักเน้นคำนำหน้าชื่อว่า ด็อกเตอร์ 1 ในการแสดงความเห็นทางการเมือง ถ้าไม่เชื่อลองดูตัวอย่างล่าสุดของงานเสวนาเวทีหนึ่งhttp://www.prachatai.com/05web/th/calendar/view.php?cid=1409&myCalendarDate=2008-09-23&page=                                


 


จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม การจงใจขายคำนำหน้าชื่อไม่ว่าจะเป็นการใช้ด็อกเตอร์ได้โดยสะดวกใจเหมือนเป็นสามัญสำนึก 2 หรือคำเรียกสถานภาพว่านักวิชาการ ในการแถลงข่าว งานสัมมนา แถลงการณ์ จดหมายเปิดผนึก ล้วนทำไปเพื่อให้ความเห็นทางการเมืองที่ดาด ๆ ของตน มีน้ำหนักมากกว่าคนที่มีการศึกษาต่ำกว่า 


 


ขอยกตัวอย่างความเห็นของนักวิชาการที่มีน้ำหนักมากกว่าบุคคลทั่วไป ในช่วงที่ผ่านมา ดร. ท่านหนึ่งจากมหาวิทยาลัยทางตอนกลางของอเมริกา เสนอให้พันธมิตรมอบตัว ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเขาไม่มีทางมอบตัว แม้แต่ตำรวจจะเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลก็ยังแทบกระอักเลือด


 


เท่านั้นแหละ ดร. รุ่นเล็กอีกหลายท่านจากมหาวิทยาลัยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็ออกมารับลูกกันเกรียวกราว นัดนักข่าวแถลงข่าวเป็นการใหญ่ เดินตามรอยนักวิชาการรุ่นใหญ่ในรั้วเดียวกันผู้โด่งดังมาก่อนแล้ว ผิดแผกกันเพียงพวกเขาไม่ได้สวมเสื้อกั๊กในวันแถลงข่าวเท่านั้น ผู้เขียนจึงขออนุญาตเรียกพวกเขาสั้นๆ ว่า little T. ในวันนั้น พวกเขาเสนออะไรซ้ำๆ เหมือนกันกับ ดร. จากอเมริกา


 


ไม่กี่วันต่อมา ดร. อีกท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัยเดียวกัน แม้จะไม่ใช่แนวทางเดียวกันกับนักวิชาการกลุ่มนี้ และก็ไม่ใช่ขาประจำเก่าแก่ แต่ก็เป็นดาวรุ่งนักวิชาการโทรทัศน์ เขาครุ่นคิด (thinking) อยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง พร้อมกับเบะปาก ราวกับตัวเองค้นพบสุดยอดองค์ความรู้เพื่อผ่าทางตันการเมืองไทย ก่อนพูดเบาๆ สรุปได้ว่า ต้องรัฐบาลชั่วคราวครับ  


 


ในยุคที่ข่าวการเมืองขายได้กำไรมากกว่าในอดีต นักวิชาการจึงได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมากเกินกว่าคุณภาพของข้อเสนอและความลุ่มลึกของเนื้อหา เราจึงเห็นข้อเสนอทางการเมืองที่แสนจะเลื่อนลอยต่างๆ ถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า นักวิชาการหลายคนเริ่มติดลมบนในการแสดงความเห็น บางคนไม่จำเป็นต้องค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมอีกต่อไป บางคนจบชีวิตการค้นคว้าด้านวิชาการทันทีที่ออกโทรทัศน์ครั้งแรกหรือขึ้นเวทีปราศรัย หลายคนเพียงเตรียมตัวให้พร้อมด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์ให้ละเอียดหรือตัดข่าวเข้าแฟ้ม เขียนติดสันแฟ้มเอาไว้ว่า "องค์ความรู้สำหรับการแถลงข่าวยามบ้านเมืองเกิดวิกฤติ"  


 


ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเขาจะรอเวลาที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แน่นอนว่า ถ้าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของนักข่าว บรรณาธิการนิตยสาร หรือรายการโทรทัศน์ เขาจะรีบรับสาย พร้อมรับปากว่าจะไปออกรายการ หรือว่าพร้อมให้สัมภาษณ์ได้ในทันทีทันใด ไม่ว่าในตอนนั้นเขาจะอยู่ในอริยาบทใดหรือเชี่ยวชาญเรื่องนั้นหรือไม่...ครั้นเมื่อออกรายการโทรทัศน์ พวกเขาก็จะมีท่าทางที่โอ่อ่า แต่ก็ไม่มีใครตำหนิว่า "กร่าง" ผิดกับนักการเมือง


 


หากเปรียบเทียบกับนักการเมือง หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของไทยฉบับหนึ่งเคยถึงกับประชุมกองบรรณาธิการเพื่อให้ตัดคำนำหน้า ดร. ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เพราะเกิดอาการหมั่นไส้นักการเมือง ประกอบกับกลัวฝรั่งจะสับสนว่า เรามีนายกเป็นหมอ เหมือน ดร. มหาเธร์แห่งมาเลเซีย จากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีคำนำหน้าว่า ดร. หน้าชื่อ ทักษิณในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นอีกต่อไป


 


กล่าวย้อนอดีตเพื่อสรุปอย่างรวบรัด ในสมัยศักดินา คนที่จะพูดแล้วมีเสียงดังคือคนที่มีเลือดขัตติยะหรือ บลูบลัด ในสังคมกฎมพี คนที่มีเงินมีทุนมีธุรกิจใหญ่โต มักจะได้รับความเคารพในความคิดเห็น ในสังคมสารสนเทศในโลกที่สามอย่างเรา คนที่กำลังพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ คือคนที่มีไตเติ้ลที่แสดงบรรดาศักดิ์ทางวิชาการ และที่น่าเศร้าก็คือ ทั้งฝ่ายปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย และฝ่ายปกป้องประชาธิปไตย กำลังทำงานอยู่บนการตอกย้ำความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของฐานันดร ไม่ว่าจะในนามของประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ฯลฯ    


 


ผลคือ ทุกวันนี้ การเมืองของคนจน การเมืองของคนชั้นล่าง การเมืองของคนที่ไม่มีการศึกษา จึงเป็นแค่คำขวัญที่นักวิชาการใช้ เพื่อสร้างพื้นที่ทางการเมืองให้กับตัวเอง โดยแทบไม่เหลือพื้นที่สื่อให้ชาวบ้านที่ด้อยสิทธิไร้เสียงปรากฏตัวบ้าง


 


ก่อนจบ ผู้เขียนขอฝากข้อเสนอธรรมดาๆ ที่ตรงไปตรงมา ไปยังท่านเหล่านั้นว่า ก่อนจะแสดงความเห็นใดๆ ขอให้คิดให้จงหนัก ใช้หลักวิชาให้มาก อ่านหนังสือใหม่ๆ อย่าให้ขาด ใช้งานวิจัยที่ตนเคยทำให้เป็นประโยชน์ บางครั้งถึงจะไม่ตรงตามสาขาของท่าน แต่อย่างน้อยก็เป็นการแสดงเจตนาว่า ท่านยังเคารพและเกรงใจผู้ฟัง และยังมีความเชื่อว่า ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของคนทุกระดับชั้น ทุกระดับการศึกษา และทุกคำนำหน้าชื่อ เท่าๆ กัน


 


หรือถ้าจะให้ดีกว่านี้ ท่านน่าจะรู้จักปฏิเสธการให้ความเห็นในเรื่องที่ตนไม่รอบรู้หรือไม่แน่ใจบ้าง เผื่อบางทีพื้นที่สาธารณะอันมีค่าจะถูกแบ่งปันให้แก่ผู้คนที่เขาจำเป็นต้องใช้มันมากกว่าพวกท่าน


 


""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""


 


1 ในสหรัฐฯ การใช้คำนำหน้าชื่อว่า Dr. ในนามบัตร ส่วนใหญ่ คนจะเข้าใจว่าเป็นแพทย์ ถึงแม้จะมีการใช้คำนำหน้าชื่อผู้ที่จบปริญญาเอกว่า Dr. มากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ขนบธรรมเนียมที่ใช้กันดาดดื่นโดยไม่มีข้อสงสัยถึงความเหมาะสมเหมือนกับในสังคมไทย นับตั้งแต่ การใช้เรียกขานกันว่า "ดร." ต่างๆ แทนคำว่า"คุณ" ในที่ประชุม (ซึ่งคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นการสัมมนาสุขภาพหรือสาธารณสุข) การตั้งชื่ออีเมล์โดยใช้คำว่า Dr. นำหน้า เป็นต้น    


 


2 ในสหรัฐฯ มีกรณีการโต้แย้งการใช้คำนำหน้าผู้จบปริญญาเอกว่า Dr. ว่าเป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่ เช่น กรณีทนายความของน้ำอัดลมยี่ห้อ Dr Pepper (Dr Pepper/Seven Up Bottling Group) ส่งจดหมายเตือนนาย Alan Pepper ซึ่งจบการศึกษาปริญญาเอกสาขาจิตวิทยาแล้วที่พิมพ์นามบัตรว่า 'Dr Pepper - Professor of Psychology" โดยทนายของบริษัทนำอัดลมดังกล่าว กล่าวหาว่า เขาอาจสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ผู้บริโภคตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าของสหรัฐ (The Federal Trademark Dilution Act of 1995) ต่อชื่อเสียงเครื่องดื่ม Dr Pepper ซึ่งสั่งสมมายาวนานและเป็นหนึ่งเดียวที่รู้จักทั่วโลก


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net