Skip to main content
sharethis

 






การเมือง


 


 


"อนุพงษ์" ประกาศกลางที่ประชุม ผบ.พัน ยอมไม่ได้สองฝ่ายดึงฟ้าลงต่ำ


เว็บไซต์แนวหน้า : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองบัญชาการกองทัพบก เมื่อเวลา 08.00 น. พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นัดพบปะรับประทานอาหาร รวมถึงการประเมินสถานการณ์บ้านเมือง โดยเฉพาะประเด็นการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะขอพึ่งพระบารมีของพระองค์ท่านในการเดินทางกลับเข้าประเทศไทย โดยใช้เวลาพบปะพูดคุยกันประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที


 



แหล่งข่าวนายทหารระดับสูง เปิดเผยว่า ในที่ประชุม ผบ.เหล่าทัพ ได้แสดงความเป็นห่วงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าจะขอพึ่งพระบารมี และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยเฉพาะประชาชนที่สวมเสื้อแดง ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้อนขอกลับเข้าประเทศไทย เพราะการพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เกรงว่าจะเป็นการปลุกระดมมวลชนให้ต่อต้านการพิจารณาคำตัดสินของฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิจารณาคำตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จำคุก 2 ปี เกี่ยวกับที่ดินรัชดา ทั้งนี้ผบ.เหล่าทัพ ได้นัดพูดคุยกับสถานการณ์บ้านเมือง โดยเฉพาะเป็นห่วงเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเข้ามาในรายการ โดยเฉพาะการนำพระองค์ท่านลงมาเกี่ยวข้องทางด้านการเมืองคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าหนักเกินไปการจะมาพูดว่าพึ่งพระบารมี ทั้งที่ศาลพิจารณากระทำความผิดอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม


 



 "ตอนนี้ ผบ.เหล่าทัพ พยายามหาทางออก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทำให้เกิดผลกระทบกับสถาบัน และประเทศชาติ เพราะการกระทำดังกล่าวเหมือนเป็นการไปกดดันพระองค์ท่าน การออกมาบอกว่าการกลับเข้าประเทศไทยได้จะต้องพึ่งพระบารมี คนลักษณะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่น่าที่จะพูดแบบนี้ออกมา ทั้งนี้ ผบ.ทหารสูงสุด ได้ดูเทปการบันทึกภาพจากเจ้าหน้าที่แล้ว เห็นว่าไม่ค่อยเหมาะสมที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดในลักษณะดังกล่าว"แหล่งข่าวนายทหารระดับสูง กล่าว


 



แหล่งข่าวนายทหารระดับสูง กล่าวว่า ขณะนี้กองทัพเตรียมประสานงานกับฝ่ายกฎหมาย และ สภาทนายความ เพื่อถอดข้อความการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แต่ในที่ประชุมยังวิเคราะห์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินในครั้งต่อไปอีก เพื่อเป็นการกดดันสถาบันเบื้องสูง ซึ่งขณะนี้กองทัพทำอะไรไม่ได้ เพราะมันเลยจุดเงื่อนไขที่จะทำการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะทำไปก็ไม่ได้ประโยชน์หรือได้เปรียบอะไร


 



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการหารือของ ผบ.เหล่าทัพ พล.อ.อนุพงษ์ ได้เป็นประธานการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกประจำเดือน พ.ย. โดย พล.อ.อนุพงษ์ ได้ระบายความรู้สึกกับผู้บังคับหน่วยขึ้นตงกองทัพบกตอนหนึ่งว่า "ตอนนี้ผมเอง โดยเฉพาะกองทัพบก ได้รับแรงกดดันจากหลายฝ่ายมาก เกี่ยวกับการแสดงบทบาทในท่าทีของการเมือง ข่าวการปฏิวัติ เรียกร้องให้ทหารอยู่ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ หรือ การนำกำลังทหารออกมาปฏิบัติภายนอกกรม กอง ซึ่งเราไม่สามารถอยู่ฝ่ายไหนได้ เพราะกองทัพจะต้องเป็นหลัก และจะต้องไม่ทำให้กองทัพเสื่อมศรัทธา  ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายพยายามดึงสถาบันเข้าเกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เรายอมไม่ได้ ในฐานะที่ ทบ. มีกำลังพลมาก ก็ขอให้กำลังพลไปชี้แจงกับครอบครัวว่าสถาบันได้ทำอะไรมาบ้างและทรงคุณค่าอย่างไร"


 



จากนั้นเวลา 17.00 น.ที่สำนักเลขานุการกองทัพบก พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงภายหลังการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) ว่า ที่ประชุมได้พูดถึงเอกภาพของกองทัพจะช่วยแก้ไขสถานการณ์บ้านเมือง และสร้างความมั่นใจกับประชาชนจากการที่สังคมมีความคิดเห็นที่แตกแยกในขณะนี้ ผบ.ทบ.ได้แสดงทัศนะว่าความแตกต่างทางความคิดทำได้ แต่ต้องเคารพความเห็นของแต่ละบุคคล ไม่นำไปสู่ความบาดหมางและใช้กำลัง และกำชับกำลังพลทุกคนกระทำตนเป็นตัวอย่างเรื่องความสามัคคี ตระหนักความเป็นเอกภาพของกองทัพ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจว่ากองทัพยังเป็นสถาบันหลักประคับประคองประเทศพัฒนาไปข้างหน้า และผ่านพ้นวิกฤติต่างๆไปอย่างเรียบร้อย ซึ่ง ผบ.ทบ. เน้นย้ำให้กำลังพลทุกคนตั้งใจและยึดมั่นเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม


 



พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า เรื่องเกี่ยวข้องกับการเมืองยังมีจุดยืนเดิม คือ การวางตัวในลักษณะที่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ ซึ่งเรื่องนี้ทหารทุกคนต้องปฎิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ บ.ทบ.ได้กำชับผู้บังคับกองพันให้ความสำคัญการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันในทุกโอกาส ซึ่งในส่วนราชการมีการติดตามข่าวสาร ส่วนกรณีที่มีบุคคลหมิ่นสถาบันฯ หากทหารมีข้อมูล กำลังพลก็มีความสามารถที่จะปกป้องสถาบันได้อยู่แล้ว


 



 


เจียด4.6หมื่นล.ลงเพิ่มเมกะโปรเจ็กต์เน้นโครงการการศึกษา-สาธารณสุข


เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจ : ครม.เศรษฐกิจไฟเขียวดึงเม็ดเงิน 4.6 หมื่นล้านจากงบกลางปี 52 ที่เพิ่มขึ้นอีก 100,000 ล้านบาทลงทุนในโครงการด้านสาธารณสุขและการศึกษา ส่งสศช.ศึกษารายละเอียดก่อนเสนอกลับที่ประชุม คกก.ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ 5 พ.ย.นี้ นายกฯสั่งเร่งโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย สายสีแดง ม่วงและน้ำเงิน ปลัดคลังเผยความต้องการใช้เม็ดเงินในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ปี 52 อยู่ที่ 347,000 ล้านบาท


 



นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2551 ว่า ที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบแผนการลงทุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)เสนอ โดย ครม. มอบหมายให้ไปดำเนินการจัดสรรเม็ดเงินลงทุนในโครงการด้านสาธารณสุขและด้านการศึกษาเพิ่มอีก พร้อมทั้งให้ไปประชุมสรุปแผนการจัดหาทุนเพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างตามโครงการ และนำกลับเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2551 นี้


 



"ที่ประชุมได้มอบหมายให้ สศช. กลับไปศึกษาเพิ่มวงเงินในโครงการด้านการศึกษาและสาธารณสุขใหม่ เพราะยังน้อยเกินไป เพราะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว เช่น การจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ทางการเรียนหรือทางการแพทย์ ให้ครบถ้วนและทันสมัยขึ้น โดยในส่วนของโครงการลงทุนด้านระบบขนส่งมวลชนนั้น มี 3 สาย ที่ชัดเจนแล้ว คือ สีแดง สีม่วง และสีน้ำเงิน ที่มีการประมูลแล้ว ให้เร่งหาผู้ชนะการประมูลเพื่อจะได้เซ็นสัญญาต่อไป" นายประดิษฐ์ กล่าว


 



นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เร่งโครงการเมกะโปรเจ็กต์ให้มีความคืบหน้า ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจประเทศชะลอตัว โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย คือ สายสีแดง สีม่วง และสีน้ำเงิน ซึ่งจะมีการเซ็นสัญญาการก่อสร้างได้ในช่วงเดือนธันวาคม 2551 นี้ นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบให้มีการจัดสรรเม็ดเงิน จำนวน 46,000 ล้านบาท จากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในปี 2552 อีกจำนวน 100,000 ล้านบาท เข้ามาใช้ในการลงทุนโครงการด้านสาธารณสุขและด้านการศึกษาด้วย


 



ทั้งนี้ โครงการลงทุนด้านการศึกษา มีวงเงิน 22,182.13 ล้านบาท และด้านสาธารณสุข มีวงเงิน 78,611.56 ล้านบาท ขณะที่โครงการลงทุนด้านบริหารจัดการน้ำ มีวงเงิน 208,344.35 ล้านบาท ด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ วงเงิน 875,773.33 ล้านบาท ด้านพลังงาน 367,153.99 ล้านบาท ด้านการสื่อสารโทรคมนาคม 52,194.14 ล้านบาท และการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ 5,166.93 ล้านบาท


 



นอกจากนี้ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ความต้องการใช้เม็ดเงินในการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ระหว่างปี 2552-2555 จะมีวงเงินกว่า 1.8 ล้านล้านบาท ในขณะที่ในปี 2552 จะมีความต้องการใช้เม็ดเงินในการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ จำนวน 347,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถจัดหาได้แล้ว จำนวน 284,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องหาแหล่งเงินเพื่อนำมาใช้จ่ายในโครงการเพิ่มอีก จำนวน 63,000 ล้านบาท


 



โดยรัฐบาลได้มีการจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายให้เพิ่มอีก จำนวน 46,000 ล้านบาทแล้ว จากการใช้เงินจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2552 ที่ตั้งไว้จำนวน 100,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงยังคงเหลือเม็ดเงินที่ต้องจัดหาเพิ่มเติมอีก จำนวน 17,000 ล้านบาท เท่านั้น


 



สำหรับเงินกู้ที่ยังขาดอยู่ที่จะนำมาใช้ในโครงการเมกะโปรเจ็กต์นั้น จะมีการพิจารณาจัดหาจากแหล่งเงินกู้ทั้งในและต่างประเทศ โดยส่วนหนึ่งจะเป็นเงินกู้จากประเทศจีน จำนวน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะมีความชัดเจนในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเดือนธันวาคม 2551 นี้


 



ความคืบหน้าของโครงการลงทุนด้านขนส่งมวลชน 3 สาย ได้แก่ 1.โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-ตลิ่งชัน) วงเงิน 13,133 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้างปี 2551-2556 ขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศประกวดราคาครั้งที่ 2 เนื่องจากมีการยื่นเรื่องให้สอบสวนและประกวดราคาใหม่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต) วงเงิน 59,888 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้างปี 2551-2555 กำลังจะมีการประกวดราคา และกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาให้ก่อสร้างเพิ่มเติมในช่วง รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต ระยะทาง 10 กิโลเมตร


 



2.โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางใหญ่-บางซื่อ) วงเงิน 59,935 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้างปี 2551-2556 อยู่ระหว่างการเลือกลงทุนที่เหมาะสมและเชื่อมโยงกับสถานี บางซื่อ-เตาปูน ภายหลังจากได้รับอนุมัติเงินกู้จากเจบิคแล้ว เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2551 และ ครม. ได้อนุมัติให้ดำเนินการด้านงานโยธาแล้ว วงเงิน 31,217 ล้านบาท และการจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน วงเงิน 1,248 ล้านบาท


 



และ 3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน(บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-ท่าพระ-บางแค) วงเงิน 79,036 ล้านบาท แยกเป็น ภาครัฐลงทุน 56,895 ล้านบาท และเอกชนลงทุน 22,141 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 2551-2556 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสม และรอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเรื่องอีไอเอก่อน จึงจะสามารถเริ่มดำเนินการงานด้านโยธาในช่วง บางซื่อ-ท่าพระ ได้


 



นอกจากนี้ กรณีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย(หมอชิต-สะพานใหม่ และแบริ่ง-สมุทรปราการ) อยู่ระหว่างการนำเสนอให้ ครม. พิจารณาอนุมัติโครงการ เนื่องจากยังมีความเห็นแย้งจาก กทม. อยู่


 



 


นักวิชาการ ระบุ ขออภัยโทษ "ทักษิณ"ต้องนอนคุกก่อน


เว็บไซต์แนวหน้า : นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล  รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การขอพระราชทานอภัยโทษสามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 191 แต่คนที่จะขอพระราชทานอภัยโทษจะต้องมีโทษถึงที่สุดก่อน  ซึ่งในกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลฎีกาพิจารณาจำคุก 2 ปีในคดีที่ดินรัชดา กฎหมายยังเปิดช่องให้ยื่นอุธรณ์ภายใน 30 วัน ถ้ามีหลักฐานใหม่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงผลของคดีได้ แต่หากภายใน 30 วันพ.ต.ท.ทักษิณไม่ยื่นอุธรณ์หรือเมื่อยื่นอุธรณ์แล้วศาลไม่รับ ก็จะถือว่าคดีถึงที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณสามารถยื่นขอพระราชทานอภัยโทษได้ แต่อย่าลืมว่าพ.ต.ท.ทักษิณยังมีคดีค้างอยู่อีกหลายคดี  ดังนั้น หากพ.ต.ท.ทักษิณจะขอพระราชทานอภัยโทษต้องกลับมาต่อสู้คดีที่เหลือด้วย  เนื่องจากคดีที่ค้างอยู่ยังไม่ได้พิจารณาตัดสิน ไม่ทราบว่ามีความผิดจริงหรือไม่ จึงไม่สามารถขอพระราชทานอภัยโทษล่วงหน้าได้


 



"พ.ต.ท.ทักษิณพูดไม่ชัดเจนว่าจะขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ เนื่องจากยังมีอีกหลายคดีที่อยู่ในชั้นศาล  จึงมีความขัดแย้งกัน ไม่สามารถจะขอพระราชทานอภัยโทษได้  ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณจะขอพระราชทานอภัยโทษจะต้องกลับมาสู้คดีก่อน จึงน่าจะเป็นการขอนิรโทษกรรมในคดีที่เหลือมากกว่า  อย่างไรก็ตาม  การขอพระราชทานอภัยโทษจะมีขึ้นตามวาระสำคัญ เช่น ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา" นายปริญญา กล่าว


 



นายบรรเจิด  สิงคเนติ  อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณจะขอนิรโทษกรรมไม่ได้  เพราะกฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้นิรโทษกรรมบุคคลใดบุคคลหนึ่ง  แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณจะขอพระราชทานอภัยโทษก็ต้องกลับมารับโทษก่อน เนื่องจากการขอพระราชทานอภัยโทษมีเงื่อนไขหลายข้อ เช่น เป็นนักโทษประเภทไหน ต้องเป็นนักโทษชั้นดีหรือไม่  และการพิจารณาขอพระราชทานอภัยโทษจะต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป


 


 


พปช.ถกหนุนดันแก้ รธน.ตั้ง สสร.3 ยึดกรอบปี 40


เว็บไซต์แนวหน้า : น.ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง รักษาการโฆษกพรรคพลังประชาชน ได้แถลงภายหลังการประชุมพรรคนัดพิเศษถึงความคืบหน้าประเด็นการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ในที่ประชุมนายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ได้ชี้แจงว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา291 เพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.3 เป็นแนวทางที่รัฐบาลอยากให้เกิดความสมานฉันท์ให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมทั้งฝ่ายค้านหรือวุฒิสภาและประชาชนทั่วไปเพราะต้องการให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงและให้ ส.ส.ร.ที่จะตั้งขึ้นจำนวน120คน แบ่งเป็นมาจากแต่ละจังหวัดเลือกทางอ้อมกันเอง 76 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการ24 คนและจากตัวแทนสาขาอาชีพเลือกันเอง 20 คน โดยตั้งภายในเวลา60วัน ได้ทำงานอย่างอิสระ ปราศจากการครอบงำ โดยขั้นตอนในการดำเนินการจะใช้เวลา180วัน หรือ ประมาณ 8เดือน ก่อนที่จะเสนอเข้าสู่รัฐสภาเพื่อลงมติเห็นชอบ


 



ร.ท.กุเทพ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้  ขณะนี้พรรคได้รวมรายชื่อ ส.ส.และ ส.ว.ให้ได้ครบตามจำนวน คาดว่าจะยื่นญัตติเสนอต่อประธานรัฐสภาได้ในสัปดาห์หน้า และอาจนำเข้าบรรจุสู่วาระการประชุมวาระแรกในวันที่ 12-13พ.ย. นี้จากนั้นตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญร่วมสองสภา ไปพิจารณาใช้เวลา 1เดือนอย่างเร็ว


 



เมื่อถามว่าหลายฝ่ายมองว่าการตั้ง ส.ส.ร.3 อาจเป็นเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง ร.ท.กุเทพ กล่าวว่าเป็นการตีตนไปก่อนไข้ เพราะจะไม่สามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาได้ นักวิชาหาร หรือใคร จะบอกเป็นเงื่อนไข แต่รัฐบาลและพรรค เชื่อว่าเป็นแนวทางแก้วิกฤตการเมืองที่ดีที่สุด ส่วนนักวิชาการที่ยังไม่เห็นด้วย เราก็ให้สิทธิถึง 24 ที่นั่ง ในการเข้ามาร่วมร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ


 



เมื่อถามว่าขณะนี้มีความกังวลว่าการร่างรัฐธรรมนูญ ไม่มีการวางกรอบว่าจะแก้ประเด็นใดซึ่งอาจนำไปสู่การคัดค้านอย่างรุนแรงในนอนาคตได้ ร.ท.กุเทพ กล่าวว่าพรรคพลังประชาชนและรัฐบาลที่จะคลอด ส.ส.ร.3 เรามีหน้าที่เปิดประตูเท่านั้น เราไม่ได้ตั้งตุ๊กตา ตั้งธงล่วงหน้าไม่ได้เพราะเราไม่รู้ว่า ส.ส.ร.ที่เข้ามาแล้ว จะแก้ประเด็นใด อีกทั้งเราก็ไม่ได้ร่างเอง เพราะหากทำเอง จะถูกมองว่าร่างเพื่อตัวเอง ดังนั้น จึงยึด ส.ส.ร.ตามกรอบและแนวทาง ส.ส.ร.ในยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 โดยเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายได้เข้ามาเป็นไม่ว่าอดีต ส.ส.ร. อดีต สนช.รวมถึง อดีต ส.ส.และส.ว.ในการลงสมัครเป็น ส.ส.ร.แต่ห้ามเฉพาะ ส.ส.และ ส.ว.ปัจจุบัน และข้าราชการการเมืองท้องถิ่นเท่านั้น


 



เมื่อถามว่ากรณีฝ่ายค้านและ ส.ว.บางกลุ่มประกาศไม่สนับสนุน ร.ท.กุเทพ ตอบว่า วันนี้ฝ่ายค้านมาทำงานในสภาแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็หายน้อยใจกับมาทำงานแล้ว เมื่อมีญัตติเข้าสภา ก็ต้องพิจารณา แต่เสียงข้างมากทั้ง ส.ว.ที่เห็นด้วย พรรคร่วมรัฐบาล รวมกันก็เป็นเสียงข้างมากในสภาแล้ว ก็น่าจะผ่านไปได้



นอกจากนี้ ร.ท.กุเทพ กล่าวว่า ในที่ประชุมยังได้หารือถึงกรณีประชาชนให้ความสนใจร่วมงานความจริงวันนี้เมื่อวันที่1พ.ย. ว่าเป็นการแสดงพลังของประชาชนที่ต้องการต่อต้านการรัฐประหารดังนั้นพรรคขอขอบคุณคนเสื้อแดงเรือนแสนที่มาร่วมงานและชุมนุมอย่างสงบสันติและเมื่องานเลิกก็ได้แยกย้ายสลายตัว จึงตั้งคำถามไปยังนายสนธิ และ พล.ต.จำลอง ว่าหากเทียบผู้ชุมนุมที่มาตามคำเชิญชวนอยู่ทุกวันเปรียบเทียบกันแล้วก็จะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร และจะได้รู้ว่ามีประชาชนยังรัก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ขอขอบคุณผู้นำเหล่าทัพยุคใหม่ที่ให้โอกาสประชาธิปไตย ไม่นำทหารออกมาปฏิวัติรัฐประหาร แสดงให้หลายฝ่ายเห็นว่าจะไม่ทำให้เกิดการนองเลือดหรือรัฐประหารเกิดขึ้น ดังนั้นอดีต คมช.ที่ยังไม่ตายควรย้อนกลับไปดู


 



ร.ท.กุเทพ กล่าวว่าพรรคเห็นด้วยที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อขาวที่สนับสนุนให้มีการสานเสวนาเพื่อสันติภาพ เพราะเป็นทางออกที่ดีและจะนำไปสู่ความสำเร็จได้ด้วยโครงข่ายของ ส.ส.ร.ดังนั้น อยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรงที่มีต้นตอมาจากสะพานมัฆวานและภาคใต้ออกมาขับไล่ฝ่ายตรงกันข้าม


 


 



ส.ว.สมชายเบรกพปช.ถวายฎีกา-เตือนอย่าแก้รธน.ม.291


เว็บไซต์สยามรัฐ : นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โทรศัพท์สายตรงข้ามประเทศเข้ารายการความจริงวันนี้สัญจร ต้านรัฐประหาร ว่า ข้อความที่อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวพาดพิงกระบวนการยุติธรรม ถือว่าเป็นการหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดอำนาจศาล และก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ การกล่าวถ้อยคำกำกวมถึงสถาบัน เป็นเรื่องไม่บังควรดังนั้น อยากเรียกร้องอดีตนายกรัฐมนตรี อย่ากล่าวพาดพิงถึงสถาบัน หรือดึงเอาสถาบันมาเกี่ยวข้อง


 



ส่วนกรณีที่พรรคพลังประชาชนจะถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น  นายสมชาย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นสิทธิของประชาชนชาวไทยทุกคนที่จะทำได้ ซึ่งการขอพระราชทานอภัยโทษมักทำในเทศกาลที่เป็นมงคล การจะขอพระราชทานอภัยโทษของอดีตนายกรัฐมนตรีควรทำเหมือนประชาชนทั่วไป อย่าใช้มวลชนมากดดัน


 



นายสมชาย ยังกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะเปิดประชุมร่วมสองสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในสัปดาห์หน้า ว่า รัฐบาลไม่ควรใช้เสียงข้างมากเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์วิกฤติโดยหลักแล้วเมื่อเห็นว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหา  ควรจะทำในช่วงเวลาที่มีความสมานฉันท์ ไม่ควรแก้รัฐธรรมนูญในช่วงที่มีปัญหา



 


 


"มาร์ค"อัดรัฐบาลเป็นกระบอกเสียงทักษิณโฟนอินNBT


เว็บไซต์สยามรัฐ : นายอภิสิทธิ์ เชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รายการความจริงวันนี้ จะนำเทปบันทึกการสัมภาษณ์พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาออกอากาศทาง เอ็นบีที ว่า อยากเห็นการใช้สถานีวิทยุโทรทัศน์ของรัฐในการที่จะทำให้บ้านเมืองมีความสงบ เพราะฉะนั้นอะไรที่ทราบอยู่แล้วว่าจะนำไปสู่เรื่องของความแตกแยกก็ควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้ายังยืนยันอยู่ก็มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า รัฐบาลก็มีความจงใจที่จะเป็นกระบอกเสียงให้อดีตนายกฯ และจงใจให้มีความแตกแยกมากขึ้น


 



ส่วนที่นายกรัฐมนตรีอ้างว่าไม่สามารถห้ามการออกอากาศได้นั้น ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า ในวันที่เอารายการมาทำไมเอามาได้ นี่เป็นนโยบายของรัฐบาลและพรรคพลังประชาชน เพราะเดิมไม่มีรายการนี้ ซึ่งนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีบอกว่าเอามา เพื่อช่วยชี้แจงให้รัฐบาล ซึ่งตนติงหลายครั้งแล้วว่า ไม่ได้เป็นไปตามที่นายสมัครพูด ไม่ได้เป็นการชี้แจงงานของรัฐ แต่เป็นการนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งวันนี้นายสมชาย วงศ์สวัสด์ นายกรัฐมนตรี ทราบอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะทำอะไรหรือเปล่า


 



 "ข้อความจะหมิ่นเหม่หรือไม่ก็ไม่แน่ เพราะมีคนมองว่าหมิ่นทั้งเรื่องของศาลและสถาบันเอง เป็นการสมควรหรือไม่ ดูจากข่าวก็ทราบอยู่แล้วว่าเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งอยู่ ทำไมรัฐบาลไม่คิดว่าขณะนี้สิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดคือ ให้รัฐบาลมาช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง แต่เมื่อรัฐบาลไปสนับสนุนกิจกรรมที่ทำให้เกิดการเผชิญหน้ามากขึ้นเพื่ออะไร ผมคิดว่าถ้ามีการเผยแพร่อย่างนี้ต่อไป ก็คงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นความจงใจของรัฐบาล ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็อยากบอกนายกฯสมชายว่า บอกมาตรง ๆ ดีกว่านะครับ อย่าบอกกับประชาชนอย่างแล้วทำอีกอย่าง บอกมาตรง ๆ เลย ว่าท่านอยู่ขณะนี้เพื่อสนับสนุนอดีตนายกฯจะเป็นกระบอกเสียงให้ ก็บอกมาเลยนะครับ ดีกว่าบอกว่าต้องการให้บ้านเมืองสงบแล้วมาทำแบบนี้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว


 



หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน เตรียมรวบรวมรายชื่อเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมก็บอกเองว่า การขอพระราชทานอภัยโทษเจ้าตัวต้องทำเอง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ควรนำมาเป็นเรื่องการเมือง ตนขอยืนยันว่าความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ความผิดทางการเมือง เป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญาโดยนักการเมือง จึงไม่ควรดึงการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องที่ต้องรับโทษและเข้าสู่กระบวนการตามปกติเหมือนคดีอาญาทั่วไป


 



ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการกรณีดังกล่าวมาเทียบเคียงกับคดีของ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยได้รับพระราชทานอภัยโทษในคดีกบฏมองอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แต่ละกรณีต้องดูเป็นรายกรณีไป


 


 






คุณภาพชีวิต-เศรษฐกิจ


 


 


กทม.เตือนผู้อยู่นอกเขตคันกั้นน้ำ เก็บของเตรียมหนีน้ำช่วง1-2วันนี้


ผู้จัดการรายวัน : นายสมศักดิ์ กลั่นพจน์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณีที่กรมชลประทานออกมาแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยริม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ให้ระวังน้ำเหนือที่จะไหลลงมาในช่วงวันที่ 4-5 พ.ย.นี้ ว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีน้ำจากทางเหนือไหลลงมาประมาณ 2,449 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะที่มีน้ำทะเลหนุนสูงประมาณ 1.3 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับน้ำสูงประมาณ 1.77 เมตร เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะคันกั้นน้ำของ กทม.สามารถรับระดับน้ำได้สูงถึง 2.5 เมตร โดยน้ำจะไม่ท่วมเข้ามาในพื้นที่ชั้นในอย่างแน่นอน


 


นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันดังกล่าว ระดับน้ำเหนือที่ไหลลงมา อาจจะส่งผลกระทบกับประชาชนที่อาศัยอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น บริเวณ พระราม 6 คลองบางเขนเก่า ในเขตบางซื่อ ชุมชนเทวราชกุญชร ชุมชนเขียวไข่กา ชุมชนซอยสีคราม และบ้านมิตรคราม ในเขตดุสิต บริเวณ ท่าช้าง ท่าเตียน ในเขตพระนคร บริเวณวัดภคินีนาถ เขตบางพลัด เป็นต้น แต่สถานการณ์ก็อาจจะไม่รุนแรงมาก เมื่อเทียบกับช่วงวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่น้ำทะเลหนุนสูงสุด


 


อย่างไรก็ตาม อยากฝากเตือนประชาชนในบริเวณดังกล่าวให้เตรียมพร้อมเก็บข้าวของขึ้นที่สูงเพื่อหนีน้ำด้วย ซึ่งทางสำนักการระบายน้ำ (สนน.) จะได้ติดตามสภาพกาศรวมทั้งสถานการณ์น้ำโดยเฉพาะน้ำฝนอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งแจ้งเตือนภัยประชาชนทันทีที่สถานการณ์มีความรุนแรง


 


 


จำนำข้าวอีสานยังกร่อยเกษตรกรยังไม่เก็บเกี่ยว


เว็บไซต์คมชัดลึก : อีสานยังไม่เปิดรับจำนำข้าว เหตุอยู่ระหว่างเปิดโอกาสให้โรงสีสมัครเข้าร่วมโคงรการ ประกอบกับฝนยังกระหน่ำทำให้ข้าวเสียหาย เกษตรกรยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้



หลายจังหวัดในภาคอีสาน ยังไม่สามารถเปิดรับจำนำข้าวได้ตามที่รัฐบาลกำหนด ในวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากประสบปัญหาหลายอย่าง ทั้งเรื่องของความพร้อมของภาครัฐ และ เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่เก็บเกี่ยวผลผลิต


 



นายเดชา ตันติยวรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในการดำเนินงานตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ประจำปีการผลิต 2551/2552 ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดราคาให้ข้าวเปลือกหอมมะลิราคาตันละ 15,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้านาปี 100% ราคาตันละ 12,000 บาทและราคาข้าวเปลือกเหนียว 10%ราคาตันละ 9,000 บาท


 



ในการดำเนินโครงการฯ จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้หารือร่วมกับ พาณิชย์จังหวัด การค้าภายใน ผู้ประสานงานกลุ่มเกษตรกรและเกษตรจังหวัด ในการกำหนดจุดรับซื้อเป็นที่เรียบร้อย แต่เนื่องจากพื้นที่กาฬสินธุ์ เคยมีปัญหาการสวมสิทธิ์เกษตรกร จึงได้กำชับไปยัง เกษตรกรที่จะดำเนินมาตรการทางกฎหมายทันทีหากพบว่ามีปัญหาการสวมสิทธิ์กับปัญหาการกดราคาข้าวของโรงสีที่เข้าร่วมโครงการฯ ที่จะดำเนินการคาดโทษและอาจจะต้องถูกตัดสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการทันทีหากพบว่ามีปัญหาการทุจริต ขณะเดียวกันก็จะมีการขึ้นทะเบียนพ่อค้าคนกลาง เพื่อป้องกันการเอาเปรียบชาวนาด้วย


 



นายพิชัย คิวานนท์ พาณิชย์จังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า โดยจังหวัดกาฬสินธุ์ในปี 2551 จะมีผลผลิตข้าวนาปีกว่า 6 แสนตัน คาดว่าเกษตรกรจะนำข้าวเปลือกเข้ารับจำนำไม่น้อยกว่า 3 แสนตัน เนื่องจากราคารับจำนำข้าวของรัฐบาลปีในดีกว่าราคาจำหน่ายในท้องตลาด อย่างไรก็ตามหลังจากเปิดรับจำนำจนถึงปัจจุบันขณะนี้ยังไม่มีเกษตรกรนำข้าวเข้ามาจำนำแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ทั้งนี้คาดว่าภายภายในเดือนพฤศจิกายนเกษตรจะนำข้าวเข้ามาจำนำ 10 % ในช่วงเดือน ธันวาคม มกราคม และกุมภาพันธ์ เกษตรจะนำข้าวเข้าจำนำเดือนละ 30 % เบื้องต้นมีโรงสีนพื้นที่เข้าร่วมโครงการแล้ว 3 แห่ง



 


 


อัตราเงินเฟ้อเดือนตุลาคมอยู่ที่ร้อยละ 3.9 ต่ำสุดในรอบ 10 เดือน...


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, บจ.  : จากการประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อโดยกระทรวงพาณิชย์ในวันนี้ (วันที่ 3 พฤศจิกายน 2551) อัตราเงินเฟ้อในเดือนตุลาคม 2551 ปรับลดลงอย่างมาก ซึ่งเป็นสัญญาณดีที่เกิดขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจไทยค่อนข้างไร้ปัจจัยบวกอยู่ในขณะนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ภาวะเงินเฟ้อและแนวโน้มในระยะเดือนถัดๆ ไป โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้


 


อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนตุลาคม 2551 อยู่ที่ร้อยละ 3.9 (Year-on-Year) ชะลอลงอย่างมากจากร้อยละ 6.0 ในเดือนก่อนหน้า ต่ำที่สุดในรอบ 10 เดือน และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่ร้อยละ 4.9 ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 2.4 ชะลอลงจากร้อยละ 2.6 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าเพดานกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ที่ร้อยละ 0.0-3.5) ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3


 


ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของเดือนตุลาคมเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน (Month-on-Month) ลดลงถึงร้อยละ 1.2 การปรับตัวลดลงของอัตราเงินเฟ้อในเดือนนี้ สาเหตุสำคัญเป็นผลมาจากราคาอาหารสดประเภทข้าว ผักและผลไม้ปรับลดลง เนื่องจากมีผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ขณะที่ราคาในหมวดยานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิงปรับลดลงอย่างมากตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงประมาณร้อยละ 30 จากระดับเมื่อสิ้นเดือนกันยายน ส่วนราคาน้ำมันในประเทศปรับลดลงเฉลี่ยประมาณร้อยละ 20 สำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2551 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6.3 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.4


 


ทั้งนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะเดือนที่เหลือของปี คาดว่าจะปรับลดลงไปอีกตามทิศทางราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยความวิตกกังวลต่อโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกคงจะเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้น ด้วยเหตุผลในด้านอุปสงค์ที่อ่อนตัวลง นอกจากนี้ เงินเฟ้อในเดือนพฤศจิกายนยังจะได้รับผลดีจากราคาอาหารสำเร็จรูปและค่าโดยสารที่ปรับลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันและสินค้าวัตถุดิบที่ปรับลดลง ทางกระทรวงพาณิชย์จึงได้ขอความร่วมมือจากร้านอาหารและผู้ขายอาหารสำเร็จรูปที่จำหน่ายในราคาสูงกว่า 25 บาทขึ้นไป ให้ปรับราคาลดลงเฉลี่ยจานละ 5 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน  ขณะที่คณะกรรมการขนส่งทางบกกลางได้มีมติให้ปรับลดค่าโดยสารสำหรับรถร้อนลง 1.50 บาท และรถปรับอากาศลดลงระยะละ 1 บาท ส่วนรถร่วมบริการ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ลดลงกิโลเมตรละ 3 สตางค์ มีผลตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม ขณะเดียวกันแรงกดดันต้นทุนของผู้ประกอบการที่มีแนวโน้มลดลงน่าจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคลงมาได้ในระยะข้างหน้า สังเกตได้จากราคาพลังงาน วัตถุดิบโลหะ และผลผลิตการเกษตรที่ปรับลดลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้ดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากร้อยละ 19.0 ในเดือนก่อนหน้า และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน (จากที่เคยพุ่งขึ้นไปสูงสุดถึงร้อยละ 21.6 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา) ขณะที่คาดว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้ผลิตจะยังชะลอลงอีกในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปี 


 


จากทิศทางดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 น่าจะปรับลดลงไปที่ประมาณร้อยละ 3.0 จากร้อยละ 7.3 ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของทั้งปี 2551 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 5.7 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ต่ำลงกว่าระดับที่คาดการณ์ไว้ในเดือนก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับลดลงเร็วกว่าที่คาด แต่ก็ยังคงเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับร้อยละ 2.3 และร้อยละ 1.1 ตามลำดับ


 


สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในปี 2552 ตัวเลขรายเดือนอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงค่อนข้างผันผวน เนื่องจากผลของฐานในปีนี้ที่ในไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 เงินเฟ้อจะสูงกว่าไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 4 อยู่มาก อย่างไรก็ตาม โดยเฉลี่ยทั้งปี คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2552 จะต่ำลงมาอยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 1.5-3.0 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.5-2.5


 


อัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยบรรเทาปัญหาของภาคครัวเรือน ซึ่งรายได้อาจจะถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ขณะที่ทางการจะสามารถดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางปัญหานานัปการที่จะตามมากับวิกฤติการเงินและปัญหาเศรษฐกิจจากภายนอกประเทศที่เศรษฐกิจไทยยากที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบดังกล่าว อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกยังมีโอกาสที่จะผันผวน โดยประเด็นที่ยังต้องจับตามองในระยะสั้นนี้คือทิศทางค่าเงินดอลลาร์ฯ โดยในช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง อาจทำให้มีการกลับเข้ามาเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เป็นบางช่วง ขณะที่ในระยะ 12 เดือนข้างหน้าคงต้องติดตามการคลี่คลายปัญหาวิกฤติในระบบการเงินโลก และมุมมองของตลาดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาลงและคงจะยืนในระดับต่ำต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่งนั้น เมื่อการลงทุนในตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงมีความเสี่ยงลดน้อยลง และมีสัญญาณบ่งชี้ที่เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคสำคัญเริ่มที่จะผงกหัวขึ้นจากจุดต่ำสุดได้ เมื่อนั้นนักลงทุนอาจถอยออกจากสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ฯ ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ และหันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อแนวโน้มราคาในช่วงปีข้างหน้า   


 


 


กฟผ.ล้มเจรจาซื้อไฟฟ้าลาว ปรับ 'พีดีพี' ใหม่การใช้ลดลง


ฐานเศรษฐกิจ : แผนพีดีพีฉบับทบทวนใหม่ กฟผ.ล้มเจรจาค่าไฟ 5 โครงการในสปป.ลาว ระบุต้องเลื่อนซื้อไฟออกไปไม่มีกำหนด และยังส่งผลให้ต้องเลื่อนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าวังน้อยที่จะเปิดประมูลปลายปีนี้ออกไปด้วย เหตุมาจากเศรษฐกิจชะลอตัวความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำ แถมยังต้องปลดโรงไฟฟ้าเก่าอีก 2,200 เมกะวัตต์ เพื่อลดปริมาณสำรองลงมาเหลือ 15%


 


นายสหัส ประทักษ์นุกูล รองผู้ว่าการนโยบายและแผน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงความคืบหน้าในการจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าหรือพีดีพี ภายหลังที่มีการตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นมาเพื่อพิจารณาทบทวนแผนพีดีพีใหม่ว่า จากที่ได้มีการประชุมคณะทำงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการสรุปเบื้องต้นว่า จะมีการปรับลดระดับสำรองการผลิตไฟฟ้าจากแผนพีดีพีเดิม 2007 ที่ทำให้ประเทศไทยมีปริมาณสำรองไฟฟ้าสูงถึง 28% ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสากล เนื่องจากปัญหาสภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงจากการพยากรณ์ไว้ จากเดิมที่คาดว่าในปีนี้จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 22,568 เมกะวัตต์


 


ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการปรับฐานความต้องการใช้ไฟฟ้าให้ลดลงจากปีนี้ใหม่ เพื่อเป็นกรอบนำไปพิจารณาในการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดปริมาณสำรองไฟฟ้าให้ลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงที่ 15%


 


โดยเบื้องต้นมีการพิจารณาว่า อาจจำเป็นต้องเลื่อนการปรับซื้อไฟฟ้าจากสปป.ลาว ใน 5 โครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาค่าไฟฟ้ากับกฟผ.ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 1 กำลังการผลิต 523 เมกะวัตต์ โครงการน้ำงึม 3 กำลังการผลิต 440 เมกะวัตต์ โครงการน้ำเงี๊ยบ กำลังการผลิต 261 เมกะวัตต์ โครงการน้ำอู กำลังการผลิต 1,043 เมกะวัตต์ และโครงการหงสาลิกไนต์ กำลังการผลิต 1,470 เมกะวัตต์


 


นายสหัส กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ทางกฟผ.อาจจะต้องเลื่อนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าวังน้อยส่วนขยายขนาด 700 เมกะวัตต์ ออกไปอีก จากเดิมที่จะเปิดประมูลการก่อสร้างในราวสิ้นปีนี้ และนำไฟฟ้าเข้าระบบได้ในปี 2555 อาจจะต้องเลื่อนออกไป 1-2 ปีแทน


 


ขณะที่โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กฟผ.ต้องดำเนินการอีก 4 โรง ขนาด 2,800 เมกะวัตต์ เป็นเรื่องระยะยาวที่อาจนำมาพิจารณาภายหลัง หากไม่สามารถซื้อไฟฟ้าจากสปป.ลาวใน 5 โครงการได้ก็จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขึ้นมา รวมถึง กฟผ.จะทยอยปลดโรงไฟฟ้าเก่าจำนวน 2,200 เมกะวัตต์  ออกจากระบบ


 


ทั้งนี้ จากการดำเนินงานทั้งหมด จะช่วยให้ปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศลดลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงที่ 15% ได้ เพื่อที่จะลดปริมาณสำรองที่มีมากเกินความจำเป็น ช่วยลดงบประมาณราคาการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้อีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งแผนพีดีพีที่จัดทำขึ้นครั้งถือเป็นฉบับปรับปรุงชั่วคราว ซึ่งจะมีการนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ในเร็วๆ นี้


 


 






ต่างประเทศ


 


 


"ชาเวซ"ยอมคุยมะกัน ถ้า "โอบามา" เป็นปธน.


ผู้จัดการรายวัน : รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา ผู้เป็นปรปักษ์กับสหรัฐฯ ทำนายเมื่อวันอาทิตย์ (2) ว่า "บุรุษชาวผิวดำ" จะเป็นผู้ชนะในศึกชิงทำเนียบขาว ซึ่งจะจัดขึ้นในวันอังคารนี้ (4) พร้อมระบุว่า หากคำพยากรณ์ดังกล่าวเป็นจริง เขาก็พร้อมจะเจรจากับบารัค โอบามา ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาเอ่ยถึง เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์อันขื่นขมระหว่างมหาอำนาจสหรัฐฯ กับประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่แห่งนี้


 


โอบามากล่าวในปีนี้ว่า หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เขาจะเปิดการเจรจากับบรรดาผู้นำตัวฉกาจทั้งหลาย รวมทั้งชาเวซด้วย ขณะที่ค่ายรีพับลิกันโจมตีแนวทางการทูตดังกล่าวของวุฒิสมาชิกหนุ่มผิวสีว่า ไร้เดียงสาและด้อยประสบการณ์


 


ชาเวซ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช กล่าวถึงข้อพิพาทระหว่างทั้งสองประเทศว่า เกิดจากความขัดแย้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เรื่องผลประโยชน์ระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลา แม้บางครั้งประธานาธิบดี ซึ่งเป็นสังคมนิยมผู้นี้ จะพยายามลดความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศก็ตาม


 


"เราไม่ได้เรียกร้องให้เขาเป็นนักปฏิวัติ หรือเป็นนักสังคมนิยม - - เปล่าเลย" ชาเวซกล่าว ระหว่างการชุมนุมทางการเมือง "เราเพียงแค่ต้องการให้บุรุษผิวสีผู้นั้น ซึ่งกำลังจะได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ มีหลักการอันสูงส่ง เพียงพอ ในเวลาที่โลกกำลังต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด"


 


"ผมพร้อมแล้วที่จะนั่งลงและพูดคุย... ผมหวังว่าเราจะทำได้ และผมหวังว่าเราจะสามารถเดินหน้าสู่ขั้นตอนใหม่ ๆ" ชาเวซกล่าวระหว่างการชุมนุมอีกแห่งหนึ่ง


 


 


คณะทูตจีนเดินทางถึงไต้หวัน พลิกประวัติศาสตร์สานสัมพันธ์


เว็บไซต์สยามรัฐ  : ผู้แทนจีนเดินทางถึงไต้หวันแล้ว พร้อมเจรจาและเตรียมลงนามในข้อตกลงเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์ ด้านฝ่ายค้านไต้หวันจัดชุมนุมประท้วงเป็นการต้อนรับ


 


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเฉิน หยุนหลิน หัวหน้าสมาคมความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบไต้หวันแห่งชาติจีน   หรือเออาร์เอทีเอส   ในฐานะทูตพิเศษหรือทูตวิสามัญของจีน  เดินทางมาถึงกรุงไทเป  เมืองหลวงของไต้หวันแล้ว  เมื่อช่วงก่อนเที่ยงของวันจันทร์ที่ผ่านมา  โดยมีกำหนดจะอยู่ในไต้หวันเป็นเวลา 5 วัน เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนชาวไต้หวัน และประธานาธิบดี หม่า อิงจิ๋ว



หลังจากที่นายเฉินมาถึง    ก็ได้เข้าหารือกับนายเจียง   ปิงคุง   ตัวแทนไต้หวันเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยจะลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับการขนส่งทางอากาศ เส้นทางการเดินเรือ บริการด้านไปรษณีย์ และประเด็นด้านความปลอดภัยในอาหาร



การมาเยือนของนายเฉินในครั้งนี้ถือเป็นผลจากความพยายามของประธานาธิบดีหม่า ที่ต้องการฟื้นฟูความแตกแยกทางการเมืองระหว่างจีนกับไต้หวัน หลังจากที่เขาก้าวขึ้นมารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา



นอกจากนี้   นายเชียง  ยังกล่าวถึงการมาของนายเฉินในครั้งนี้ว่าเป็น  การแลกเปลี่ยนครั้งสำคัญที่รอคอยมาเป็นเวลากว่า 60 ปีหลังสิ้นสุดสงครามกลางเมืองเมื่อปี 2492



ด้านพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าหรือดีพีพี     ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านได้วางแผนที่จะชุมนุมประท้วงการมาเยือนของนายเฉิน  โดยนางไซ อิงเหวิน ผู้นำหญิงของพรรคกล่าวว่า การชุมนุมในครั้งนี้เป็นผลโดยตรงจากการจัดการของประธานาธิบดีหม่าที่มีแนวโน้มไปเข้ากับจีน


 


 


จีนสั่งปิด บ.ผลิตอาหารสัตว์ 238 แห่งหลังพบเปื้อนเมลามีนกว่า3,500ตัน


เว็บไซต์แนวหน้า : กระทรวงเกษตรจีนส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเกือบ 370,000 คน เข้าไปตรวจสอบบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์และฟาร์มเลี้ยงสัตว์ครั้งใหญ่ โดยจากการตรวจสอบพบบริษัทจำนวน 250,400 แห่ง มีอาหารสัตว์ปนเปื้อนสารเมลามีนกว่า 3,500 ตัน เจ้าหน้าที่จึงได้ยึดไว้และนำไปทำลายทิ้ง และสั่งปิดบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์ไป 238 แห่งด้วย


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net