พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
ลัทธิปฏิปักษ์ (ต่อ) ปัญญาชน (anti-intellectualism) เป็นปรากฏการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นภายใต้การเมืองในหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน กระแสคิดในแบบลัทธิปฏิปักษ์ต่อปัญญาชนนั้นดูจะทำงานอย่างเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในบ้านเมือง (ที่ไม่ค่อยใช่) ของเรา (โฆษณาแฝงหน่อย)
ราวกับเป็นด้านตรงข้ามกับกระแสการเคลื่อนไหวที่ปัญญาชนมักจะพยายามมีบทบาทชี้นำทางการเมือง ที่ก็มีมาอย่างเข้มข้นเช่นกัน โดยเฉพาะการเมืองเรื่องแถลงการณ์และการออกความเห็นต่างๆในสื่อ (คือก็ต้องเป็นธรรมกับทั้งฝ่ายเกลียดปัญญาชนกับฝ่ายปัญญาชนที่ไปทำให้เขาเกลียดด้วยครับ แต่จะด่าฝ่ายไหนมากกว่ากันก็แล้้วแต่จิตศรัทธา อุดมการณ์ และรสนิยมครับผม)
ลองพิจารณาคำว่า "พวกสองไม่เอา" ซึ่งกลายเป็น ตัวประหลาดพันธุ์ใหม่ทางการเมืองและทางภูมิปัญญา นับจากหลังการรัฐประหารซึ่งหมายถึงพวกนักวิชาการที่ไม่เอาทักษิณ และไม่เอาพันธมิตร (แถมไม่เอารัฐประหารอีก)
แหะๆ คนพวกนี้ความจริงก็ไม่ถูกเอาโดยฝ่ายทักษิณ และฝ่ายพันธมิตรด้วย ... เรียกว่าต่างฝ่ายต่างไม่เอากันนั่นแหละครับเพราะการเมืองแบบประชานิยม และ การเมืองแบบพันธมิตรนั้นก็มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อปัญญาชนทั้งคู่ (โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่ปัญญาชนที่ระบุตนว่าเลือกข้างเดียวกับพวกเขาเอง)
ลักษณะของลัทธิปฏิปักษ์ต่อปัญญาชนนั้นมีลักษณะสำคัญคือการประณามว่าปัญญาชนนั้นไม่ใช่ "พวกเดียวกันกับชุมชนนั้นๆ" (คือ "เป็นอื่น" - เป็นอื่นอาจไม่ใช่คนก็ได้ คือไม่เท่ากับฝ่ายที่ด่าเขา มักเป็นไปในทางที่ด้อยกว่า)
ปัญญาชนที่ถูกปฏิเสธนั้นจะถูกพิจารณาว่าเป็นพวกที่ "มีความคิดที่เป็นอันตรายต่อความเป็นปรกติ หรือสงบสุขของสังคม" ปัญญาชน (ในบางครั้ง) จึงเป็นเสมือน (คน/สัตว์/สิ่งของ) นอกสังคมที่ไม่มีความเข้าอกเข้าใจชาวบ้านร้านตลาด ดีแต่อยู่บนหอคอย บ้างก็เป็นพวกที่อยู่สูง-ไม่สุงสิงกับคนทั่วไป และไม่รู้จักความเป็นจริงในสังคม บ้างก็ถูกกล่าวหาว่าบ้า หรือมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศ (เพราะพฤติกรรมทางเพศนั้นเชื่อว่าเป็นมาตรวัดความเป็นปรกติของสังคมที่สำคัญตามที่เชื่อถือกันทั่วไป ความเบี่ยงเบนนั้นอาจแปลว่าไม่ปรกติ หรือมีมากเกินไปก็ได้) รวมไปถึงไม่มีศาสนา ไม่มีจริยธรรม หนักไปถึงขั้น มือถือสากปากถือศีล
ทำไมต้องมีลัทธิปฏิปักษ์ปัญญาชน? เหตุผลประการหนึ่งก็คือท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมนั้น ลัทธิปฏิปักษ์ปัญญาชนเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้คนต้องเลือกที่จะอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง (ซึ่งความจริงแล้วก็คือเลือกข้างของตน เพราะถ้าอยู่อีกข้างก็จะกลายเป็นปฏิปักษ์ทันที) โดยเฉพาะเมื่อมิติของการบังคับและจูงใจให้เชื่อนั้นจำเป็นต้องทำงานเพื่อผนึกผู้คนเข้าด้วยกัน
การมีปัญญาชนที่คอยตั้งคำถามโน่นนี่ก็ทำให้เกิดปัญหาต่อ "การนำ" หรือ "ขบวนการ" ได้ พวกคิดมากไป กลัวไปซะทุกเรื่อง กังวลเรื่องท่าร่าง-ความถูกต้องทางทฤษฎีมากกว่าความเป็นจริงทางสังคม
เหตุผลประการต่อมาอาจจะชัดขึ้นในกรณีของการเมืองแบบประชานิยม เพราะปัญญาชนอาจมีอำนาจจูงใจชาวบ้านทั่วไป ดังนั้นปัญญาชนจะต้องถูกประนามว่าเข้าไม่ถึงและไม่ใช่พวกเดียวกับชาวบ้าน (เช่น หล่อเชียวนะ - ฮา หรือ อยู่แต่ในห้องสมุด)
ทั้งสองฟากที่ไม่ชอบปัญญาชนที่ไม่เอาด้วยกับพวกเขานั้นย่อมมีความคิดและความฝันว่า ปัญญาชนจะต้องผลิตความรู้ตามความต้องการของประชาชน ตามความจริงที่ฝ่ายตนคิดว่าสำคัญต่อประชาชน เช่น การควบคุมหรือตัดงบวิจัย หรือข้อความวิจารณ์ประมาณว่า "คนแบบนี้ปล่อยให้สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยได้ยังไง" หรือผู้ปกครองของเด็กควรเข้ามามีบทบาทในการจัดการควบคุมคนเหล่านี้ ด้วยว่านักวิชาการเหล่านี้ในด้านหนึ่งอาจไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้ หรือผลิตความรู้ทุกอย่างผ่านอุดมการณ์ที่เฉพาะเจาะจงเพื่อมุ่งหวังเอาความรู้ไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
เรื่องที่เขียนมานี่คงเหมือนปัญหาโลกแตกในบ้านเรานั่นแหละครับ ว่าตกลงปัญญาชนเป็น "ทางออก" หรือเป็นคนที่ควรจะถูก "โหวตออก"
เอาเป็นว่าเลี้ยงปัญญาชนไว้ดูเล่น แบบรักน้อยๆ แต่รักนานๆ บ้างก็ดีนะครับ ... :)
..................................
หมายเหตุ
ปรับปรุงขึ้นจากบทความที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ "ประชาธิปไตยที่รัก" หนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน 2551 หน้า 4
เอกสารประกอบการเขียน: "Anti-intellectualism" in Wikipedia.com