ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 10 พ.ย. 2551

 






การเมือง

 

 

สื่ออังกฤษบอก "แม้ว" วิ่งวุ่นหาประเทศใหม่ลี้ภัย

ผู้จัดการรายวัน : หนังสือพิมพ์อินดิเพนเดนต์ ของอังกฤษฉบับวานนี้(9)รายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และอดีตเจ้าของสโมสารแมนเชสเตอร์ซิตี ต้องตกอยู่ในสภาพวิ่งวุ่นเพื่อหาดินแดนแห่งใหม่ในโลกนี้ ที่จะสามารถใช้เป็นสถานที่พำนักหลบภัยได้ หลังจากถูกทางการอังกฤษยกเลิกวีซ่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

อินดิเพนเดนต์บอกว่า กระทรวงมหาดไทยอังกฤษได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ในกรุงเทพฯว่า ได้ตัดสินใจยกเลิกวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ผู้เป็นภริยา เรื่องนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นหลังจากเขาถูกศาลไทยพิพากษาว่ามีความผิดฐานใช้อำนาจในทางมิชอบระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คำตัดสินความผิดของเขาคราวนี้ เป็นเพียงแค่การพลิกผันครั้งล่าสุดในช่วงเวลาแห่งอาชีพอันเต็มไปด้วยความปั่นป่วนของนักการเมืองผู้เต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาดผู้นี้ ซึ่งได้ถูกโค่นลงจากตำแหน่งด้วยการรัฐประหารอย่างปราศจากการเสียเลือดเนื้อในปี 2549

 

สื่อชื่อดังแดนผู้ดีฉบับนี้ระบุต่อไปว่า ในช่วงของการพลัดถิ่น พ.ต.ท.ทักษิณใช้เวลาส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักร โดยเขาทั้งยื่นขอลี้ภัยทางการเมือง, ซื้อบ้านในย่านเซอร์เรย์, และซื้อทีมฟุตบอลให้กับตัวเอง แต่ตอนนี้เขาต้องเผชิญการติดคุกหากเดินทางกลับประเทศไทย และก็ไม่สามารถเดินทางเข้าอังกฤษได้อีก ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงกำลังจำเป็นจะต้องหาที่อยู่ใหม่ รายงานหลายกระแสในคืนวันเสาร์(8)ชี้ว่า เขากำลังเดินทางระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์

 

เองที่เขาโทรศัพท์เข้ามาปราศรัยกับผู้สนับสนุนทางการเมืองของเขาในประเทศ และบอกว่า "ไม่มีใครเอาผมกลับบ้านได้เว้นแต่พระบารมีที่จะทรงเมตตา หรือพี่น้องประชาชน"

 

ข่าวอังกฤษตัดสินใจห้าม พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศ ปรากฏออกมาภายหลังสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรในกรุงเทพฯส่งอีเมล์ฉบับหนึ่งถึงสายการบินทุกแห่งในประเทศไทย แนะนำพวกเขาว่าอย่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณหรือภริยา โดยสารเครื่องบินเดินทางมายังสหราชอาณาจักร ทางกระทรวงมหาดไทยอังกฤษเองยังไม่ให้ความเห็นอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจในเรื่องนี้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศไทยบอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ ยืนยันว่าทางการอังกฤษได้ยกเลิกวีซ่าของคนทั้งสองแล้วจริงๆ

 

 

ฟิลิปปินส์ไม่เชื่อทักษิณไปมะนิลา

ทางด้าน Inquirer.net ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ฟิลิปปินส์เอนไควเรอร์ ได้นำเสนอรายงานข่าวฉบับวานนี้(9)ของหนังสือพ์ฉบับนี้ ซึ่งบอกว่า ทางเจ้าหน้าที่ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ต่างแสดงความสงสัยไม่เชื่อถือ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับรายงานข่าวที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งต้องดิ้นรนหาที่หลบภัยใหม่ภายหลังถูกอังกฤษเพิกถอนวีซ่า กำลังเดินทางไปยังฟิลิปปินส์ในวันเสาร์(8) เพื่อขอลี้ภัยที่ประเทศนี้

 

พวกเจ้าหน้าที่เหล่านี้บอกว่า ไม่เคยได้รับการติดต่อไม่ว่าอย่างเป็นทางการหรือในเชิงทาบทาม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังจะบินมายังกรุงมะนิลาในช่วงสุดสัปดาห์ 8-9 พฤศจิกายน

 

ฟิลิปปินส์เอนไควเรอร์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ไหนเมื่อวันเสาร์(8) ยังไม่เป็นที่ทราบกัน แต่หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นของไทย ได้อ้าง ส.ส.ผู้หนึ่งกล่าวว่า มี ส.ส.จากภาคอิสานจำนวนหนึ่งจะเดินทางไปพักผ่อนในฟิลิปปินส์สุดสัปดาห์นี้(8-9) และอาจจะได้พบกับอดีตนายกรัฐมนตรีที่นั่น ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณถูกระบุว่าได้จัดการเรื่องให้มีการพบปะกันนี้โดยทางโทรศัพท์

 

ทว่า คลาโร คริสโตบัล โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ หัวเราะเยาะรายงานข่าวนี้และบอกว่าเป็นเพียง "ข่าวลือ" พร้อมกับบอกว่าเจ้าหน้าที่ไทยเพียงคนเดียวที่กำลังจะเดินทางไปที่กรุงมะนิลา คือ นายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่กำหนดจะเยือนฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการในวันจันทร์(10)

 

เขากล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีสมชายเยือนฟิลิปปินส์ในสัปดาห์นี้ จึงทำให้ "ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้" ที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะมาที่กรุงมะนิลา นอกจากนั้น ฟิลิปปินส์ก็จะไม่ใช่เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้เป็นที่ลี้ภัย เนื่องจากฟิลิปปินส์เป็นเพื่อนบ้านและก็เป็นพันธมิตรของประเทศไทย คริสโตบัลกล่าวย้ำ

 

ด้าน เออูอาร์โด เออร์มิตา เลขาธิการฝ่ายบริหารทำเนียบประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ บอกว่า เขาไม่ทราบเลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณหรือเจ้าหน้าที่ไทยคนใดมีแผนการเดินทางมาที่กรุงมะนิลา และไม่ได้มีกำหนดการใดๆ ที่จะเข้าพบประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย พร้อมกับย้ำว่า ประธานาธิบดีอาร์โรโยจะเดินทางไปสหรัฐฯในวันจันทร์(10)อยู่แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เออร์มิตาได้แถลงแก้ว่า ได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์แล้วว่า นายกรัฐมนตรีสมชายกำลังจะเดินทางมาที่กรุงมะนิลา

 

 

โพลล์ชี้ความนิยมรัฐบาลลดลงหลัง"ทักษิณ"โฟนอิน

เว็บไซต์คมชัดลึก : เอแบคโพลล์ชี้ความนิยมของรัฐบาลต่อประชาชนลดลงหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเข้ารายการความจริงวันนี้สัญจร พบหากมีการเลือกตั้งใหม่จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคพลังประชาชน และไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญในช่วงนี้

 

สำนักวิจัยเอแบคโพลล์มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนใน 18 จังหวัดครอบคลุมทั่วประเทศ จำนวน 5,416 คนเกี่ยวกับผลกระทบทางการเมืองต่ออารมณ์ความรู้สึกของสาธารณชน ภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินเข้ารายการความจริงวันนี้สัญจร เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

ผลปรากฏว่า แนวโน้มค่าเฉลี่ยคะแนนความสง่างามและความชอบธรรมของรัฐบาลชุดปัจจุบันลดลง เมื่อคะแนนเต็ม 10 คะแนนจาก 4.31 ในผลสำรวจวันที่ 18 ตุลาคมลดลงเหลือ 3.97 ในการสำรวจล่าสุด

ผลการสำรวจยังพบว่าความเครียดของประชาชนต่อเรื่องการเมืองยังคงสูงเหมือนเดิม คือ 5.89 ในครั้งก่อนยังคงอยู่ที่ 5.88 ในการสำรวจล่าสุดอย่างไรก็ตาม แนวโน้มความอยากได้รัฐบาลแห่งชาติและแนวคิดการเมืองใหม่ การเมืองภาคประชาชน เพิ่มขึ้นจาก 5.08 มาอยู่ที่6.02 และ5.42 มาอยู่ที่5.58 ตามลำดับ

ส่วนผลกระทบที่ตามมาจากการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณพบว่า คนที่นิยมศรัทธาต่ออดีตนายกรัฐมนตรีเพิ่มขึ้นเพียงประมาณร้อยละ 5 ถึงร้อยละ10 เท่านั้นขณะเดียวกัน พบว่า กว่าร้อยละ 30 กลับยิ่งทำให้ไม่นิยมศรัทธาในตัว พ.ต.ท.ทักษิณเลย นอกจากนี้ ยังพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 66.7 คิดว่าการโฟนอินของอดีตนายกรัฐมนตรีกลับจะทำให้สถานการณ์การเมืองแย่ลง

 

ผลการสำรวจยังพบว่าการโฟนอินดังกล่าว ยังส่งผลกระทบต่อความนิยมฐานสนับสนุนของประชาชนต่อ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ที่เคยได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในช่วงปลายเดือนตุลาคมอยู่ที่ร้อยละ 56.3 หรืออยู่ในแดน B- แต่ผลสำรวจล่าสุด พบว่าฐานสนับสนุนของสาธารณชนต่อตัวนายกรัฐมนตรีลดลง 7 จุดมาอยู่ที่ร้อยละ 49.0 ซึ่งอยู่ในแดน C

 

เมื่อสอบถามถึงแนวคิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ผลปรากฏว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.9 เห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมในขณะนี้ ขณะที่ร้อยละ 37.1 เห็นว่าเหมาะสมแล้ว นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 65.2 คิดว่าความพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นเรื่องที่นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายอีกด้วย

 

ผลการสำรวจยังพบด้วยว่าหากวันนี้มีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้น ประชาชนร้อยละ 40.6 จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์รองลงมาที่ใกล้เคียงกัน คือ ร้อยละ 39.0 จะเลือกพรรคพลังประชาชนหรือพรรคที่มีอดีต ส.ส. ของพรรคไทยรักไทยและร้อยละ 20.4 จะเลือกพรรคอื่นๆ เช่น พรรคชาติไทย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา เป็นต้น

 

 

นปช.โคราชบุกเวทีพันธมิตรฯหวิดปะทะเดือด

เว็บไซต์คมชัดลึก : ที่บริเวณทางเข้าโรงแรมวีวัน ริม ถ.ช้างเผือก เยื้องสี่แยกประโดก-โคกไผ่ เขตเทศบาลนคร นครราชสีมา ซึ่งเป็น สถานที่จัดงาน " เดี่ยวไมโคโพน พี่ปอง อัญชลี ไพรีรัก " ที่จัดโดยนายพิเชษ พัฒนโชติ อดีต สว.นครราชสีมา แกนนำเครือข่ายพันธมิตรโคราช โดยเป็นการขายบัตรราคา 100 บาท เพื่อหาเงินทุนซื้อจานดาวเทียม แจกจ่ายให้กับชุมชนใน จ.นครราชสีมา ท่ามกลางผู้ที่ซื้อบัตรเข้าร่วมงาน ที่บัตรจำนวน 1,200 ใบ ถูกกว้านซื้อหมดเกลี้ยง ได้ทยอยเข้าร่วมกิจกรรมการเมือง

 

ทั้งนี้นางปภัสชนัญญ์ ฉิงอินทร์ หรืออาแดง ผู้จัดรายการของสถานีวิทยุชุมชนแห่งหนึ่ง ใน จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นคนสนิท นายอัสนี เชิดชัย ลูกชายคนโปรด นางสุจินดา เชิดชัย หรือ เจ๊เกียว ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน ได้นำแนวร่วม นปช. สายโคราช จำนวน 8 คน ที่ใช้ชื่อกลุ่ม " คนของแผ่นดิน ลูกหลานย่าโม " สวมเสื้อแดง ยืนถือใช้ตีนตบ เป็นสัญลักษณ์ แล้วนำป้ายผ้าที่มีข้อความว่า " ชาวโคราช ไม่เอาพันธมิตร " มาขึงที่ถนนฝั่งตรงข้ามทางเข้าสถานที่จัดงาน

 

พร้อมกับพูดกล่าวโจมตี แกนนำกลุ่มพันธมิตร ฯ ด้วยถ้อยคำค่อนข้างหยาบคาย ต่างๆนานา ผ่านโทรโข่ง ทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ฯ ไม่พอใจ ปะทะคารมกันค่อนข้างดุเดือด ส่งเสียงด่าโต้กลับ หวิดเกิดปะทะ โชคดีที่ มีกำลัง จนท.ตำรวจ ทั้งใน และนอก เครื่องแบบ ของ สภ.เมือง นครราชสีมา จำนวนนับสิบนาย มายืนรักษาความสงบ จึงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด

 

เครือข่ายสานเสวนาเรียกร้อง'ยุติความรุนแรง'

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการประสานงานเครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม แถลงข่าวยุติความรุนแรง โดยระบุว่า ตั้งแต่เหตุการณ์ 7 ตุลาคมจนถึง 8 พฤศจิกายน ที่มีเหตุระเบิดในทำเนียบฯ ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ

 

เครือข่ายฯรู้สึกเสียใจที่เกิด เหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ทั้งที่มีการรณรงค์ยุติความรุนแรงมาตลอด ซึ่งประชาชนก็เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว แต่บางฝ่ายก็ประสงค์ความรุนแรง ยืนยันว่าการกระทำที่รุนแรงไม่ใช่ทางออก แต่ต้องใช้วิถีความเป็นกลางช่วยลดความขัดแย้ง โดยขอประกาศให้ประชาชนทราบดังนี้

 

1.ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบโดยเด็ดขาด โดยคำนึงถึงประโยชน์ประเทศเป็นสำคัญ

 

2.ขอให้รัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐทุกฝ่าย และเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มกำลังในการป้องกันเหตุการณ์ความรุนแรงทุกรูปแบบที่อาจ จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

3.ขอวิงวอนให้ผู้ที่รับผิดชอบเร่งสืบสวนหาผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็ว

 

4.ขอให้ประชาชนเข้าร่วมรณรงค์กับเครือ ข่ายฯเพื่อป้องกันและต่อต้านการใช้ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเครือข่ายจะแจ้งให้ทราบถึงการรณรงค์ครั้งต่อไป

 

ด้านนายอารัญ โสถิพันธุ์ คณะผู้ประสานงานเครือข่ายฯ และผู้อำนวยการสำนักส่งเสิรมวิชาการ รัฐสภา สถาบันพระปกเกล้าฯ กล่าวเสริมว่า คนกลางที่สำคัญที่เป็นตัวชี้ขาดแนวทางสันติธรรมคือ พลังเงียบ

 

 





คุณภาพชีวิต

 

 

สปสช.ทบทวนยาแพง 9 รายการ

เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ : นพ.พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติได้ทบทวน และปรับปรุงรายการยา ในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยเพิ่มยาบางตัวไว้ในกลุ่มใหม่คือ กลุ่มบัญชี จ (2) ซึ่งเป็นยาที่มีความจำเป็นในผู้ป่วยบางรายแต่มีราคาสูงมาก

 

ดังนั้น จึงต้องมีระบบการจัดการที่ดี เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณแก่โรงพยาบาลและประเทศชาติ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยไม่ได้รับยาเพื่อการรักษาตามความจำเป็น โดยสปสช.ได้เตรียมงบประมาณในปี 2552 จำนวน 235 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลที่จ่ายยากลุ่มบัญชีจ(2)ให้กับผู้รับบริการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยมีหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการเบิกจ่ายยาตามที่คณะกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติกำหนด

 

ทั้งนี้ ยากลุ่มบัญชี จ (2) ประกอบด้วย ยาจำนวน 9 รายการได้แก่ 1.Botulinum toxin type A inj. สำหรับโรคบิดเกร็งของใบหน้า 2. IVIG inj.มีหลายข้อบ่งใช้ 3.Leuprorelin inj. ใช้รักษาอาการเจริญพันธุ์ก่อนวัยในเด็ก 4.Docetaxel inj สำหรับโรคมะเร็ง 5.Letrozole tab. สำหรับโรคมะเร็ง 6.Imatinib mesilate tab. สำหรับโรคมะเร็ง 7.Erythropoietin inj. สำหรับโรคไต8.Verteporfin inj. สำหรับโรคจอประสาทตาเสื่อม และ 9.Liposomal amphotericin B inj. สำหรับการติดเชื้อราที่รุนแรง

 

 

ดุสิตโพลชี้แรงงานไทยกลัวถูกปลดจากงานสูงที่สุด

ไทยรัฐ : สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของแรงงานทั่วประเทศ เพื่อหาข้อมูล และหาทางป้องกัน และแก้ไขจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก โดยสำรวจจาก 19 จังหวัด ที่เป็นตัวแทนภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวน 3,849 คน เป็นชาย 1,713 คน หรือคิดเป็น 44.51% หญิง 2,136 คน หรือคิดเป็น 55.49% ระหว่างวันที่ 1- 8 พฤศจิกายน 2551 พบว่า เรื่องที่ทำให้แรงงานหนักอกมากที่สุด คือ ความมั่นคงในการทำงาน กลัวถูกปลด กลัวตกงาน 39.02% ตามด้วยหนี้สิน รายได้ไม่พอใช้จ่าย ความวุ่นวายของบ้านเมือง ความขัดแย้ง 26.81% และสินค้าราคาแพง โจรผู้ร้ายอาชญากรรม 17.85% ตามลำดับ

 

ส่วน สิ่งที่แรงงานทั่วประเทศ อยากให้รัฐบาลดำเนินการโดยด่วน อันดับ 1 คือ มุ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้มากกว่าการเมือง 37.85%, อย่ามัวแต่โต้ตอบ ขัดแย้ง ให้มุ่งสร้างความสามัคคี 23.69%, ให้ช่วยเหลือแรงงาน และคนยากจนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่าให้ตกงาน 15.35%, ให้หาทางยุติการประท้วง ชุมนุม โดยเฉพาะพันธมิตรฯ 12.29% และให้เร่งมือทำงาน อย่ามัวโต้ตอบกับฝ่ายค้าน เบื่อการเมืองเต็มที 10.82% ตามลำดับ

 

 

วธ.เลียนแบบหอศิลป์ร่วมฯมะกัน พัฒนาพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ

เว็บไซต์สยามรัฐ : นายสมชาย เสียงหลาย รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) เปิดเผยการพัฒนางานพิพิธภัณฑ์ว่า ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ร่วมสมัยประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น พิพิธภัณฑ์คิตตี้ ลอสแองเจอริส พิพิธภัณฑ์ สมิธโซเนียน กรุงวอชิงตันดีซี พิพิธภัณฑ์เมโทรโพลิแตน นิวยอร์ก และมิวเซียม ออฟ อาร์ต หรือหอศิลป์ร่วมสมัย นิวยอร์ก รูป แบบการบริหารงานแบบมูลนิธิ มีการหารายได้จากบริจาค การเก็บค่าเข้าชม การจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก ส่วนการจัดแสดงภายในมีรูปแบบที่น่าสนใจ คือแบ่งพื้นที่จัดแสดงของเป็นกลุ่มๆ เช่น ประติมากรรม ทัศนศิลป์ ก็จะมีการแยกออกเป็นเรื่องๆ ขณะเดียวกันพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ยังได้มีการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่มาใช้ โดยเฉพาะระบบ 3 D แอนิ เมชัน ซึ่งระบบจะจำลองผู้เข้าชมให้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์เมื่อ 200 ปีก่อนได้อีกด้วย

 

"นำรูปแบบการบริหารงานพัฒนาพิพิธภัณฑ์ของสหรัฐฯ มาปรับประยุกต์ใช้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของไทย โดยเบื้องต้นให้กรมศิลปากรจัดทำข้อมูลต่างๆ 8 ภาษา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน จีน ญี่ปุ่น อาหรับ สเปน เกาหลี สำ หรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาชมพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้สร้างกลุ่มอาสาสมัครทุกวัยพาชมพิพิธภัณฑ์ ฝึกอบรมเกี่ยวกับศิลปะโบราณวัตถุให้ความรู้กับนักท่องเที่ยว และจัดกิจกรรมในวันหยุด ซึ่งวธ. จะเสนอของบกลางปี 2552 จำนวน 300 ล้านบาท เพื่อให้กรมศิลปากรพัฒนาพิพิธภัณฑ์ให้เกิดความทันสมัย" รองปลัดวธ.กล่าว

 

 

ไทยรองแชมป์ใช้อินเทอร์เน็ตมากในเอเชีย

เดลินิวส์ : ผลสำรวจแพคซ์ ระบุ คนใช้เน็ตมีรายได้และใช้ชีวิตหรูหรากว่าคนไม่ใช้เน็ต ขณะที่ไทยเป็นอันดับสองในเอเชียที่ใช้เวลาในการเข้าเน็ตมาก คาดอีก 1-2 ปีข้างหน้า การใช้เวลาเล่นเน็ตจะแซงหน้าการใช้เวลาดูทีวี

 

นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการประจำ ประเทศไทย ไมโครซอฟท์ แอดเวอร์ไทซิ่ง กล่าวว่า ผลสำรวจของแพคซ์ (PAX : The Pan Asia Pacific Cross Media Survey) ซึ่งเป็นการสำรวจสื่อในภูมิภาคเอเชียรวมทุกสื่อ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และอินเทอร์เน็ตช่วงไตรมาส 3 ปี พ.ศ. 2550 ถึงช่วงไตรมาส 2 ปี พ.ศ. 2551 พบว่า คนใช้อินเทอร์เน็ต มีชีวิตที่หรูหรากว่าคนที่ไม่ใช้อินเทอร์เน็ต โดยคนใช้อินเทอร์เน็ตมีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 4,100 เหรียญสหรัฐ ขณะที่คนไม่ใช้เน็ตมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 3,600 เหรียญสหรัฐ และคนใช้งานอินเทอร์เน็ตยังสนใจใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น เอ็มพี 3 กล้องดิจิทัล ทั้งมีรถขับ และมีบ้านเป็นของตนเอง ชอบไป ดูหนังที่โรงภาพยนตร์มากกว่าซื้อแผ่นหนังมาดู ที่บ้าน

 

แพคซ์ สำรวจโดยการเก็บข้อมูลผ่าน การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ของประชากร 1,700 คน ใน 11 กลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แยกเป็น ผู้บริหารระดับสูง กลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์

 

สำหรับ ประเทศไทย ได้เน้นพื้นที่กรุงเทพฯ พบว่า เด็กอายุ 17-18 ปี มีช่องทางในการรับรู้ข่าวสารมากถึง 50-60 ช่องทาง โดย กว่า 80% รับรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และเมื่อเปรียบเทียบการรับรู้ข่าวสารและความรู้ ผ่านช่อง ทางสื่อต่าง ๆ พบว่า คนอายุ 25-34 ปี มีการเข้า ใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงถึง 1,028 นาที/สัปดาห์ ดูทีวี 1,045 นาที/สัปดาห์ อ่านหนังสือพิมพ์ 261 นาที/สัปดาห์ และอ่านแมกกาซีน 275 นาที/สัปดาห์ ซึ่งการใช้งานอินเทอร์เน็ตน้อยกว่าดูทีวีเพียง 1% ลดลงจากปีที่แล้วที่ใช้งานห่างกันถึง 5%

 

นางกมลภัทร กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมสูง นอกจาก ความรวดเร็ว และความสะดวก ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลกก็ส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ หันมาทำโฆษณาออนไลน์มากขึ้น เพราะราคาถูกว่าการทำโฆษณาทางทีวี ทั้งยังเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ตรง ซึ่งนอกจากการโฆษณาสินค้าโทรคมนาคม และการท่องเที่ยวแล้ว ปัจจุบันสินค้าสำหรับผู้ใช้ทั่วไปก็หันมาโฆษณาออนไลน์มากขึ้น โดยปีนี้คาดจะมีเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ประมาณ 1-2% หรือประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ของเม็ดเงินในตลาดโฆษณาทั้งหมด 1 แสนล้านบาท

 

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า คนไทยอายุ 25-34 ปี เป็นกลุ่มที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากที่สุด ทำให้ไทยเป็นประเทศที่ใช้เวลากับ อินเทอร์เน็ตมากเป็นอันดับสองในเอเชียแปซิฟิก ไม่รวมญี่ปุ่น แบ่งเป็นใช้งานเบราว์อินเทอร์ เน็ต 857 นาที/สัปดาห์ อ่านอีเมล 453 นาที/ สัปดาห์ และเข้าโปรแกรมสนทนา 426 นาที/ สัปดาห์

 

จากการเก็บข้อมูล พบว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ใช้เอ็มเอสเอ็น วินโดวส์ ไลฟ์ 142 ล้านคน เอ็มเอสเอ็น โฮมเพจ 55 ล้านคน วินโดวส์ ไลฟ์ เมสเซนเจอร์ 62 ล้านคน และ วินโดวส์ไลฟ์ ฮอตเมล์ 62 ล้านคน โดยทั่วโลก มีปริมาณการใช้งานเอ็มเอสเอ็น เมสเซนเจอร์วันละ 75 ล้านนาที ซึ่งปลายปีนี้ไมโครซอฟท์จะเปิดตัววินโดวส์ ไลฟ์ เวอร์ชั่นใหม่ และจะนำมาให้บริการบนโทรศัพท์มือถือเพื่อรองรับเทคโนโลยี 3 จี ด้วย

 

 

เผยต่างชาติฮิต 10 มหา'ลัยไทย

เดลินิวส์ : รศ.ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดตัวหนังสือและซีดี Education in Thailand 2007 เมื่อเร็ว ๆนี้ว่า สกศ. ได้จัดพิมพ์หนังสือติดต่อกันเป็นปีที่ 9 แต่ปีนี้ได้ทำซีดีเพิ่มเติมด้วย โดยจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ให้สถานทูต และหน่วยงานความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้เข้าใจระบบการศึกษาและการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยมากขึ้น โดยสาระสำคัญในหนังสือดังกล่าวจะเป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษารูปแบบต่าง ๆ ทั้งในระบบ นอกระบบ และทุกระดับการศึกษา ในปี 2550

 

เลขาธิการ สกศ.กล่าวต่อไปว่า จากข้อมูลพบว่า มีนักศึกษาต่างชาติ สนใจมาเรียนในสถาบันอุดมศึกษาไทยเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยมหาวิทยาลัยยอดนิยม 10 อันดับแรก ที่ชาวต่างชาติเข้ามาศึกษาต่อ ได้แก่ ม.อัสสัมชัญ มีชาวต่างชาติมาเรียนมากที่สุด ในปี 2549 มีจำนวน 2,406 คน เพิ่มจากปี 2548 ที่มีจำนวน 2,248 คน รองลงมาคือ ม.มหิดล มี 734 คน จาก 476 คน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มี 419 คน จาก 243 คน ม.ธรรมศาสตร์ 397 คน จาก 217 คน วิทยาลัยมิชชั่น (Mission College) 365 คน จาก 179 คน ม.สยาม 250 คน จาก 170 คน ม.รังสิต 219 คน จาก 170 คน ม.หอการค้าไทย 186 คน จาก 148 คน ม.กรุงเทพ 177 คน จาก 146 คน ม.นานาชาติแสตมฟอร์ด 173 คน จาก 123 คน โดยชาวต่างชาติที่นิยมมาเรียนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน พม่า เวียดนาม สหรัฐอเมริกา และลาว ส่วนสาขาที่ยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ บริหารธุรกิจ ภาษาไทย การตลาด บริหารธุรกิจนานาชาติ และไทยศึกษา

 

 

เลขาฯอาเซียนชี้ พัฒนาร่วมชายแดนไทย-เขมร เป็นทางออกที่ดี

เว็บไซต์แนวหน้า : นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า หลังเกิดเหตุรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหาร เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตนได้ประสานกับผู้นำประเทศของอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ให้เป็นคนกลางในการช่วยเจรจากับผู้นำของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเห็นว่า การแก้ปัญหาพิพาทบนปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการพูดคุย และหวังว่าทั้งไทย และกัมพูชา จะสามารถหาข้อยุติปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นได้ ส่วนปัญหากระทบกระทั่งชายแดนเป็นเรื่องปกติ และเมื่อเกิดปัญหาลักษณะเช่นนี้ขึ้นในหลายประเทศที่มีพรมแดนติดกัน ก็จะใช้วิธีการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน ซึ่งการดำเนินงานใดๆ ร่วมงานที่เป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย น่าจะเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

 

 





เศรษฐกิจ

 

 

รถไฟข้ามทวีปเอเชียคืนชีพ

เดลินิวส์ : รัฐบาลกัมพูชาและเวียด นามลงนามข้อตกลงเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟระหว่างกัน ทำให้แผนเส้นทางรถไฟข้ามทวีป "ทรานส์-เอเชีย" เชื่อมต่อประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย ที่ชะงักงันมานานกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

 

นายฮอร์ นัมฮอง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา แถลงที่กรุงพนม เปญเมื่อวันเสาร์ (8 พ.ย.) หลังกลับจากเดินทางไปร่วมลงนาม ในข้อตกลงความร่วมมือกับรัฐบาลเวียดนาม ระหว่างการประชุมภูมิภาคที่กรุงฮานอย โดยนายฮอร์เผยว่ารัฐบาลจีนรับปาก จะให้ความช่วยเหลือกัมพูชา สำหรับค่าใช้จ่ายในการวางเส้นทางรางรถไฟเชื่อมกับเวียดนาม มูลค่าโครงการ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันจะเป็นการเชื่อมต่อทางรถไฟส่วนที่ขาดหาย ตามแผนทางรถไฟจากสิงคโปร์ไปยังเมือง คุนหมิง ในมณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

 

นายฮอร์กล่าวอีกว่า เส้นทางรถไฟดังกล่าวมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของกัมพูชาเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้การขนส่งสินค้าไปขายยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ด้วยกัน เป็นไปด้วยความสะดวก และลดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น ส่วนการค้าขายบริเวณชายแดนกัมพูชากับเวียดนาม นับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงเดือน ส.ค. คิดเป็นมูลค่าถึง 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

การเชื่อมต่อประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชียด้วยเส้นทางรถไฟ ถือเป็นความฝันของหลายประเทศในภูมิภาคมาช้านาน แต่ยังมีส่วนขาดหายหลายจุดระหว่างเส้นทาง มีเพียงสิงคโปร์ มาเลเซียและไทยเท่านั้น ที่มีรถไฟเชื่อมต่อข้ามแดนระหว่างกัน สำหรับกิจการรถไฟของกัมพูชานั้น ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ให้การช่วยเหลือยกเครื่องระบบใหม่ทั้งหมด หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะแล้วเสร็จในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

 

 

ประชุมขุนคลัง-แบงก์ชาติจี20 ขยายบทบาทปท.ตลาดเกิดใหม่

ผู้จัดการรายวัน : เอเอฟพี - ขุนคลังและผู้ว่าธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลก มุ่งหมายที่จะตกลงให้ได้ฉันทามติกันเมื่อวานนี้(9) ในประเด็นของการเพิ่มบทบาทของพวกมหาอำนาจเศรษฐกิจเกิดใหม่ ตลอดจนการจัดวางระบบใหม่ขึ้นมาฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกที่กำลังตกราง

 

การประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางกลุ่มจี20 ที่นครเซาเปาลู ประเทศบราซิล เริ่มการอภิปรายหารือกันเป็นวันที่สองเมื่อวานนี้ ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อวางรากฐานสำหรับการประชุมระดับผู้นำในสัปดาห์หน้าที่กรุงวอชิงตัน ซึ่งมุ่งหาทางประสานร่วมมือกันในการเผชิญหน้าวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่รุนแรงขึ้นทุกที

 

โรเบิร์ต เซลลิก ประธานธนาคารโลก ซึ่งเข้าร่วมการหารือที่เซาเปาลูด้วย กล่าวว่า การจัดทำสถาปัตยกรรมการเงินของโลกขึ้นมาใหม่นั้นต้องอาศัยเวลา แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และทุกประเทศเล็งเห็นความจำเป็นในการร่วมกันรับมือภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ที่กลายเป็นภัยคุกคามล่าสุดเพิ่มเติมจากกับวิกฤตอาหารและพลังงานที่เรื้อรังมาเป็นปี

 

เซลลิก ที่เมื่อเดือนที่แล้ววิจารณ์ว่ากลุ่ม 7 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี7) ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลกได้ ขณะที่จี20 ก็อุ้ยอ้ายเกินไปนั้น กล่าวว่าความท้าทายระดับโลกขณะนี้ต้องการการแก้ไขในระดับโลกด้วยเช่นกัน

 

"เราจำเป็นต้องปรับระบบพหุภาคีให้ทันสมัย โดยดึงประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญ เช่น บราซิล มาร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ผมคิดว่าอีกสองปีข้างหน้าเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงบางอย่างในระบบการเงินโลก"

 

อย่างไรก็ดี ประธานเวิลด์แบงก์บอกว่ายังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า การประชุมครั้งนี้จะสามารถให้กำเนิดระบบใหม่ขึ้นมาได้

 

เสียงเรียกร้องในการขยายการรับมือกับปัญหาการเงินโลกในระดับพหุภาคี มีขึ้นท่ามกลางการทัดทานจากวอชิงตัน ที่ซึ่งคณะรัฐบาลเป็ดง่อยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เลือกที่จะสงวนท่าทีระหว่างช่วงผ่องถ่ายอำนาจให้กับบารัก โอบามา ว่าที่ผู้นำใหม่ที่จะเข้าสู่ทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม ศกหน้า

 

เฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ไม่ได้ไปร่วมประชุมที่เซาเปาลู แต่ส่งเดวิด แมกคอร์มิก ปลัดกระทรวงฯ ไปแทน โดยแมกคอร์มิกกล่าวเพียงว่า การเจรจาเบื้องต้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

 

"ประธานาธิบดีลุยซ์ อินาซิโอ ดา ซิลวา ของบราซิล เสนอภาพรวมที่สร้างสรรค์ของความท้าทายที่เราเผชิญอยู่ และความจำเป็นที่ประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาจะต้องร่วมมือกันจัดการความท้าทายเหล่านี้"

 

ว่าที่จริงแล้ว ประธานาธิบดีบราซิลซึ่งผู้คนนิยมเรียกขานเขาด้วยนาม "ลูลา" ยังกล่าวด้วยว่า ประเทศที่ประสบวิกฤตต้องหลีกเลี่ยงแรงกระตุ้นให้ใช้มาตรการตามอำเภอใจฝ่ายเดียว และย้ำว่าจำเป็นจะต้องมีกลไกระหว่างประเทศใหม่ โดยที่จำเป็นต้องมีการประสานงานร่วมกันของทั่วโลก

 

"วิกฤตการณ์นี้เปิดโอกาสสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เราไม่สามารถ และต้องไม่และไม่มีสิทธิ์ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป"

 

ทางฝ่ายผู้นำยุโรปนั้นหวังว่าการประชุมที่เซาเปาลูจะเป็นการวางรากฐานสำหรับการเริ่มต้นการปฏิรูปสำคัญที่จะผลักดันกันในการประชุมสุดยอดวันที่ 15 ที่วอชิงตัน

 

ขณะที่พวกประเทศตลาดเกิดใหม่ ก็ต้องการเห็นจี20 เข้มแข็งยิ่งขึ้น และยกระดับสู่การประชุมในระดับประมุขรัฐและหัวหน้ารัฐบาลกันเป็นประจำด้วย นอกเหนือจากการหารือระดับรัฐมนตรีในขณะนี้

 

โดมินิก สเตราส์-คาห์น กรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ เตือนก่อนหน้านี้ว่า ไม่ควรคาดหวังมากเกินไปว่าระบบการเงินใหม่ที่จะมาแทนข้อตกลงเบรตตัน วูดส์ปี 1944 จะได้รับการเห็นพ้องโดยทั่วกัน โดยตั้งข้อสังเกตว่าเบรตตัน วูดส์ต้องใช้เวลาเตรียมการนานถึงสองปี ดังนั้น สนธิสัญญาการเงินระหว่างประเทศฉบับใหม่จึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน

 

กระนั้น สหภาพยุโรป (อียู) ก็ได้ผลักดันบัญชีรายการ "สิ่งที่ปรารถนา" เข้าสู่การประชุมสุดยอดกลางเดือนนี้ โดยสิ่งที่ปรารถนาเหล่านี้ มีอาทิ กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น และการขยายบทบาทของธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ

 

อนึ่ง จี20 ประกอบด้วยกลุ่ม 7 ชาติอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เยอรมนี และสหรัฐฯ รวมกับอาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ตุรกี และอียู

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท