Skip to main content
sharethis

"จงรัก" ตรวจดาดฟ้า ขาออก ถูก พธม. ปาขวดน้ำใส่รถ


พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.1 พล.ต.ต.ภูวดล วุฑฒกนก ผบก.กองพลาธิการและสรรพาวุธ พร้อมคณะ เดินทางไปยังดาดฟ้า ชั้น 4 อาคารสำนักงานกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) ที่คาดว่าน่าจะเป็นจุดที่คนร้ายใช้ยิงระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยตรวจสอบวิถีของระเบิด อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเดินตรวจสอบอย่างละเอียดตามจุดต่างๆ คาดว่า ไม่น่าจะยิงมาจากอาคารดังกล่าว เนื่องจากอาคารดังกล่าวระยะการยิงไม่ได้ และวิถีกระสุนเป็นวิถีโค้ง แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่ายิงมาจากจุดใด แต่อาจจะมาจากบริเวณแยดวัดเบญจมบพิตร


 


ด้านกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อทราบว่า พล.ต.อ.จงรัก เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ ต่างแห่กันมาโห่ร้องและด่าทอ พร้อมเขย่ามือตบด้วยความโกรธแค้น กว่า 20 คน ทั้งนี้ ขณะที่ พล.ต.อ.จงรัก นั่งรถตู้ออกจากตึก ก.พ.ร. ถูกกลุ่มดังกล่าวปาขวดน้ำใส่รถด้วย


 


ตร.สรุปเป็นชนิดเอ็ม 79 ยันวิถีไม่ได้ยิงจากตึก กพร.


พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบช.น. กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับคดีระเบิดในทำเนียบ รัฐบาล ประกอบด้วย พล.ต.ท.ดนัยธร วงศ์ไทย ผบช.สนว.ตร. พล.ต.ต.ภูวดล วุฑฒกนก ผบก.กองพลาธิการและสรรพาวุธ พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.1 พ.ต.อ.วีระวิทย์ จันทร์จำเริญ รอง ผบก.น.1 พ.ต.อ.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข รอง พฐ. พ.ต.อ.วรชิต กาญจนะเสน ผกก.กลุ่มงานเก็บกู้วัตถุระเบิด พ.ต.อ.คณิศชัย มหินทรเทพ ผกก.สส.น.1 พ.ต.อ.จักรภพ สุคนธราช ผกก.สน.ดุสิต โดยใช้เวลากว่า 1 ช.ม. ว่า วันนี้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยข้องกับการคลี่คลายคดีที่มีคนร้ายใช้อาวุธระเบิดชนิด เอ็ม 79 ยิงเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล พนักงานสอบสวนได้ตั้งประเด็นแนวทางการสอบสวนไว้ โดยให้ฝ่ายสอบสวนไปสอบสวนพยานบุคคลต่างๆ ได้สอบปากคำผู้บาดเจ็บบางรายแล้ว ส่วนภรรยาผู้ตายกำลังอยู่ในอาการเศร้าโศก ขอผลัดไปก่อน


 


ส่วนด้านการตรวจสอบอาวุธปืน เราได้เชิญผู้ชำนาญมาทำการตรวจสอบพบว่าอาวุธปืนที่น่าจะเป็นไปได้ในการใช้ ยิงมี 2 ลักษณะ คือ 1. ปืนขนาด เอ็ม 203 คือ เอ็ม 16 ประกอบเครื่องยิง ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ผู้ปฏิบัติจะพกพามาลำบาก เราตัดทิ้งไป อีกอันเป็นไปได้สูงเพราะมีขนาดกระทัดลัดกว่า ใช้สำหรับยิงกระสุนเอ็ม 79 จากการตรวจที่เกิดเหตุพบสะเก็ดระเบิดหรือสิ่งที่พบในที่เกิดเหตุมีลักษณะ ใกล้เคียงกัน สันนิษฐานได้ว่าคนร้ายน่าจะใช้ปืนยิงแบบที่สอง กระสุนเอ็ม 79 ซึ่งจากตัวอย่างที่เอามาโชว์ให้ดูเป็นของกลางในคดีที่จับกุมได้ แสดงให้เห็นว่าอาวุธปืนเหล่านี้แพร่หลายมีคนร้ายใช้ปฏิบัติการอย่างอื่น ฉะนั้นอาจจะมีที่มาหลายทาง เป็นการสอบสวนเรื่องของอาวุธปืน


 


รอง ผบ.ตร.กล่าวต่อ นอกจากนี้เราได้สอบสวนถึงทิศทางที่คนร้ายน่าจะลงมือปฏิบัติการน่าจะยิงมาจาก ทิศเหนือ คือด้านวัดเบญจฯ และสำนักงาน กพร. ซึ่งทิศอื่นมีความเป็นไปได้น้อยกว่าเพราะแรงกระจายของกระสุนเอ็ม 79 ตกลงมาแล้วระเบิด จากการตรวจสอบสะเก็ดระเบิดน่าจะเป็น เอ็ม 79


 


ผบก.พลาธิการฯ กล่าวว่า จากทิศทางยิงถ้ามาจากวัดเบญจฯ คนร้ายจะต้องเป็นการยิงด้วยวิถีโค้งแน่นอน แต่ถ้าเป็นยิงจาก สำนักงาน กพร.ก็จะต้องยิงแบบวิถีตรงได้ ซึ่งระยะใกล้เกินไปจะไม่ทำให้กระสุนระเบิดตัว คนที่จะใช้เครื่องยิงเอ็ม 79 ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารหรือตำรวจที่ผ่านกมาฝึกยิงมาโดยเฉพาะ คนร้ายที่มีครอบครองสามารถใช้งานได้ การยิงระยะแม่ยำ 100-150 ม. ระยะยิงไกลสุด 400 เมตร ระเบิดในทำเนียบเมื่อวานนี้เป็นการยิงให้ลงพื้นที่ ไม่ยาก เพราะไม่ได้ยิงใส่ตัวซึ่งเป็นจุดขนาดเล็ก เป็นการยิงให้ลงพื้นที่บริเวณกว้าง คือยิงให้ระยะถึงทิศทางที่ตั้งไว้ได้ ก็จะต้องรู้อำนาจการยิงของอาวุธปืนชนิดนี้ ส่วนเป้าหมายที่คนร้ายต้องการต้องสอบถามคนยิงว่าตั้งใจให้ตกลงตำแหน่งใดเอง ตนตอบแทนไมได้ ส่วนรัศมีทำลายของ เอ็ม 79 มีระยะ 5 เมตร ถือว่าเป็นอาวุธที่ใช้ในสงคราม ปกติอาวุธปืนชนิดนี้ใช้ในราชการทหารและตำรวจ แต่ถ้าปืนนี้ถูกขโมยไปโจรผู้ร้ายก็สามารถเอามาใช้ได้


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยในการชุมนุมวันที่ 23-24 พ.ย. ที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะไปปิดล้อมรัฐสภานั้น พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.จะเรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเวลา 14.00 น.วันนี้ที่ ห้องประชุมปารุสกวัน 1 บช.น.


 


"ปฐมพงษ์" คาดยิงจากชุมชนวัดเบญจมฯ


ก่อนหน้านั้น เมื่อเวลา 09.40 น. ที่ห้องสื่อมวลชน ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า จากการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุระเบิด พบว่าเป็นระเบิดที่ยิงจากเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ซึ่งได้ปรับระยะการยิงจากเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน มั่นใจว่ายิงมาจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งการ์ดพันธมิตรเห็นว่าในช่วงเวลาที่เกิดเหตุมีคนเคลื่อนไหวอยู่บนดาดฟ้าในตึกดังกล่าว ทั้งนี้ เครื่องยิงกระสุนเหมือนปืน สามารถใส่กระเป๋าเป้สะพายขึ้นไปได้ และอาวุธที่ใช้น่าจะมาจากฝ่ายทหาร หรือตำรวจก็ได้



ต่อมา พล.อ.ปฐมพงษ์กล่าวบนเวทีว่า คาดว่าคนร้ายอาจจะยิงระเบิดมาจากชุมชนบริเวณวัดเบญจมบพิตร เพราะการ์ดพันธมิตรเคยขอเข้าไปตรวจสอบ แต่ถูกปฏิเสธ ขณะที่ รปภ.ของ ก.พ.ร.ยืนยันว่าไม่ใครเข้าไปก่อนเกิดเหตุ



ตร.ตั้ง 3 ประเด็นเหตุบึ้มใส่ทำเนียบ


เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมปารุสกวัน 3 กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. เรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรายงานความคืบหน้ากรณีเกิดเหตุระเบิดในทำเนียบ หลังจากนั้นให้สัมภาษณ์ว่า จากการตรวจสอบจากผู้ชำนาญวัตถุระเบิดที่ดูจากสภาพศพ เชื่อว่าน่าจะเป็นระเบิดเอ็ม 79 และน่าจะเป็นชนิดยิง



ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการสันติบาล (ผบช.ส.) กล่าวถึงเหตุระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคนที่ทำเป็นกลุ่มไหนต้องรอผลการพิสูจน์หลักฐานในพื้นที่ ซึ่งเขาให้เราเข้าพื้นที่ตรวจสอบช้ามาก ประกอบกับการข่าวที่เรามีเพื่อให้รู้ว่ากลุ่มไหนเป็นคนทำ ซึ่งมีประเด็นที่เป็นไปได้ 3 ประเด็น คือ 1.การทำเพื่อเรียกคนให้มาชุมนุมมากขึ้น เมื่อมีผู้ชุมนุมน้อยลง 2.ทำเพื่อไล่ให้คนไล่ออกจากพื้นที่ และ 3.เป็นความขัดแย้งกันเองของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งระยะหลังเริ่มมีความขัดแย้งกันบ่อยขึ้น แต่ตอนนี้ไม่สามารถฟันธงไปได้ว่าเป็นประเด็นไหน



พล.ต.ท.ธีระเดชกล่าวว่า เรื่องอาวุธที่นำมาใช้ในส่วนของทหารและตำรวจก็ให้กวดขันไม่ให้เล็ดลอดออกมา แต่อาวุธเหล่านี้อาจมาจากชายแดน มองว่าสถานการณ์ระเบิดล่าสุด คนที่ทำไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงขนาดนั้น แต่อาจมีความผิดพลาด เพราะการตายของกลุ่มชุมนุมไม่มีผลดีกับฝ่ายใด


 


 


 


.........................


เรียบเรียงจาก มติชน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net