Skip to main content
sharethis







การเมือง


 


รมว.กลาโหม เตรียมนำผบ.เหล่าทัพ-ผบ.ตร. เข้าอวยพรปีใหม่ "ป๋าเปรม" 29 ธ.ค.นี้


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้สำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำหนังสือขอเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เพื่อนำ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผบ.ทหารสุงสุด ผบ.เหล่าทัพ และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2552 ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ในวันจันทร์ที่ 29 ธ.ค.นี้ เวลา 08.00 น.อีกด้วย


ที่มา: http://www.naewna.com


 


รัฐบาลเคาะนโยบายออก ก.ม.คุ้มครองสื่อ ปรับกลไกสื่อของรัฐ


แหล่งข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.ได้มีมติเห็นชอบในหมวดสื่อและการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวกับสื่อซึ่งมีความชัดเจนที่สุดในรอบ 20 ปี โดยแบ่งเป็น 4 ข้อ คือ 1.ส่งเสริมประชาชนให้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากราชการและสื่อสาธารณะอื่นๆได้อย่างกว้างขวางและเป็นธรรม รวมทั้งให้กลไกภาครัฐ โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2.ปรับปรุงกลไกการสื่อสารภาครัฐ โดยให้คำนึงถึงบทบาทของสื่อเพื่อประโยชน์สาธารณะ และสร้างความสมานฉันท์ในชาติ


 


แหล่งข่าวรายงานต่อว่า 3.ส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งต้องเป็นกิจกรรมที่มีผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ต่ำ โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนากิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และ4.จัดให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประกอบวิชาชีพสื่อเพื่อให้สื่อมีเสรี ปราศจากการแทรกแซง และมีความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงยกเลิกและปรับปรุงกฎหมายที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ ที่ประชุมครม.ได้มอบหมายให้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูแลนโยบายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะส่งเอกสารนโยบายรัฐบาลให้กับรัฐสภาเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 29 ธันวาคมนี้


ที่มา: http://www.naewna.com


 


อภิสิทธิ์แทงกั๊กรมว.บัวแก้วหลุดปากปิดสุวรรณภูมิสนุก


วานนี้ (23 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศระบุกรณีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดสนามบินเป็นเรื่องสนุกว่า ได้ยืนยันชัดเจนแล้วว่า นโยบายของรัฐบาลต้องรักษากฎหมาย ดังนั้น การกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปิดสนามบินจะต้องนำข้อเท็จจริงออกมา และต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ส่วนการแสดงความคิดเห็นของนายกษิตนั้น ไม่แน่ใจว่า เป็นการตอบคำถามในบริบทใด แต่ได้ย้ำไปแล้วว่า การแสดงความคิดเห็นของรัฐมนตรีทุกคน ต้องคำนึงถึงนโยบายและจุดยืนของรัฐบาลที่กำหนดเป็นภาพรวม หากไม่ปฏิบัติตามก็เป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องดำเนินการต่อไป



ขณะที่นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ (24 ธ.ค.) เวลา 09.00 น.รมว.ต่างประเทศ เดินทางเข้ากระทรวง เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมอบนโยบายให้กับข้าราชการ โดยนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้เตรียมงานของกระทรวงที่มีความสำคัญเร่งด่วนตามลำดับไว้ เชื่อว่า นายกษิต ที่เป็นลูกหม้อเก่าของกระทรวง มีความเข้าใจงานในกระทรวงอยู่แล้ว เชื่อว่าฟังข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อยก็เข้าใจ



 "ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ มีวินัย ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐมนตรีก็ตาม ก็พร้อมทำหน้าที่ มีทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยหลายคนบอกกับปลัดกระทรวงการต่างประเทศว่า ตลอดปีที่ผ่านมาแม้ว่ากระทรวงการต่างประเทศจะเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีมาแล้วถึง 6 คน แต่การปฏิบัติงานระหว่างกระทรวงการต่างประเทศและสถานทูตไม่สะดุดเลย และชื่นชมว่ากระทรวงการต่างประเทศได้ทำงานอย่างเต็มที่" อธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าว—จบ


 


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


 


 






คุณภาพชีวิต


โรคใกล้ตัวที่พบบ่อย กับการดูแลตนเองเบื้องต้น


เพราะโรคภัยไข้เจ็บสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ และทุกวัย ปัญหาสุขภาพหลายชนิดจึงเกิดจากหลากหลายสาเหตุ



โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเซลล์ภายในร่างกายของคนเราไม่สารมารถขจัดของเสียที่รับเข้าไปในร่างกายมากเกินได้ ก็จะเป็นต้นเหตุของโรคภัยใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้นอย่างง่ายได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคไมเกรน โรคท้องผูก โรคผิวหนังอักเสบ โรคเบาหวาน ภูมิแพ้ เกาต์ หรือแม้กระทั่งโรคไข้หวัดธรรมดาๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยที่สุดที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนในครอบครัว



พญ.กอบกาญจน์ ไพบูลย์ศิลป์ แพทย์ประจำศูนย์ธรรมชาติบำบัด-บัลวี จึงได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลตนเองง่ายๆ ให้ห่างไกลจากโรคใกล้ตัว โดยแบ่งวิธีการดูแลรักษาตนเองเบื้องต้นออกเป็น 5 โรคด้วยกัน ได้แก่ โรคไข้หวัด โรคไมเกรน โรคท้องผูก โรคผิวหนังอักเสบ และโรคเบาหวาน



โรคไข้หวัด ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในช่วงฤดูหนาว การรักษาเริ่มต้นจาก 1.เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อาทิ ข้าวกล้อง ผักและผลไม้สีเหลืองเข้ม และสีเขียวเข้ม เช่น แครอต ฟักทอง บีตรูต ใบยอ เป็นต้น 2.เลือกรับประทานผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ส้มเขียวหวาน ส้มโอ มะละกอ ฝรั่ง แก้วมังกร แคนตาลูป เป็นต้น 3.งดนมวัว นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เค้ก ช็อกโกแลต และอาหารปิ้ง ย่าง ทอด 3.ฝึกการออกกำลังกายแบบปราณ คือ หลักการใช้กำลังภายใน โดยกำหนดลมหายใจเข้าลึก-ออกยาว อาทิ ชี่กง โยคะ ไทเก๊ก เป็นต้น 4.นอนพักผ่อนให้เพียงพอไม่ต่ำกว่าวันละ 8 ชั่วโมง



โรคไมเกรน (ปวดหัว) รักษาโดยการ 1.ควบคุมอาหารรสหวานจัด 2.หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ 3.กดจุดในบริเวณที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ได้แก่ ขมับ ท้ายทาย และตรงกลางระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้ง 4.นอนให้เร็วขึ้น ซึ่งไม่ใช่การนอนเยอะๆ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน ให้เข้านอนเร็วขึ้น เพราะกลไกของร่างกายคนเราจะฟื้นฟูและสร้างภูมิต้านทานได้ดีที่สุดในช่วงเวลา 21.00 น. 5.ออกกำลังกายโดยการเล่นโยคะ  ในท่าโชลเดอร์สแตน คือ ท่าใช้เท้าชี้ฟ้าและเอาหัวทิ่มลง จะช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น



โรคท้องผูกรักษาโดย 1.หันมาเลือกรับประทานอาหารแบบไทยในหมวดน้ำพริก ซึ่งพืชตระกูลผักที่มีเส้นใยมากที่สุด คือ มะเขือพวงที่อยู่ในน้ำพริกนั่นเอง 2.ให้รับประทานข้าวกล้องให้ได้ 5 ทัพพีต่อวัน 3.เลือกรับประทานผักสด ผลไม้ และธัญพืช อาทิ วิดเจิร์ม งาดำ เมล็ดทานตะวัน 4.ดื่มน้ำมะนาว โดยใช้สูตรน้ำเปล่า 800 ซีซี 2 ขวด ผสมกับเกลือทะเล 3 ช้อนชา และมะนาว 4 ลูก โดยร่างกายจะขับถ่ายของเสียออกมาหลังจากที่ดื่มไปไม่เกิน 20 นาที 5.ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 6.ในผู้ที่มีอาการท้องผูกขั้นรุนแรง อาจใช้วิธีการสวนล้างลำไส้ (ดีท็อกซ์) ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน



โรคผิวหนังอักเสบ (สิว) ซึ่งส่วนมากจะพบในวัยรุ่น รักษาโดย 1.รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีนในผักและผลไม้สีแดง เขียว และเหลือง 2.หันมารับประทานข้าวกล้องแทน 3.เน้นรับประทานอาหารทะเลเพื่อเพิ่มสังกะสี ช่วยในการลดอาการอักเสบของสิว 4.ในคนที่มีสิวเม็ดเล็กๆ ชนิดที่เป็นผดร้อนหรือผื่นแดงๆ ให้ล้างหน้าด้วยน้ำรำข้าวเพื่อลดอาการดังกล่าว 5.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และปรับพฤติกรรมให้นอนเร็วขึ้น



โรคเบาหวาน ส่วนใหญ่จะพบมากในผู้สูงอายุ สามารถรักษาได้ด้วยการ 1.จดบันทึกประจำวันตามเหตุการณ์ เช่น เมนูอาหารในแต่ละมื้อ การออกกำลังกาย เวลานอน ที่เป็นจริงทุกวัน 2.รับประทานอาหารในสัดส่วน เนื้อสัตว์และผักในอัตรา 1:2 เป็นประจำทุกวัน 3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 4.ในกรณีผู้ป่วยที่ต้องรับยาควบคุม ให้เริ่มต้นบำบัดภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อควบคุมอาการแทรกซ้อนให้หายขาด จนแน่ใจได้ว่าสามารถควบคุมอาหารได้อย่างถูกต้องด้วยตนเอง


ที่มา: http://www.thaipost.net


 


พาสื่อนอกพิสูจน์ไทยไร้อันตรายเลิกผวา


การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประจำกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย พาสื่อมวลชนสถานีโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ทุกแขนง บินลัดฟ้า ท้าพิสูจน์เมืองไทยไม่ได้เลวร้าย ไม่มีอันตราย ยังคงเป็น "สยามเมืองยิ้ม"


 


นายวิษณุ เจริญศิลป์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประจำกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย นายคอนสแตนติน ไคลเนล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดประจำกรุงมอสโก และนายอนรรฆ ภุธนธาราช ตัวแทนบริษัททัวร์ในประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ ได้พาสื่อมวลชนทุกแขนงและบริษัทผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวนอกประเทศประจำกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม ถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2551 เพื่อเป็นการท้าพิสูจน์ให้สื่อมวลชนและบริษัทผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ทราบว่าประเทศไทยคืนสภาพปกติเรียบร้อยแล้ว มิได้มีสถานการณ์เลวร้ายดังที่มีกระแสข่าว จนทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกหวาดผวา หวาดกลัวประเทศไทยไม่กล้าเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว



นายวิษณุเปิดเผยว่า จากกระแสข่าวการชุมนุมประท้วงที่ยืดยาว การแบ่งฝ่ายระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง และล่าสุดสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ได้ปิดให้บริการอย่างเร่งด่วน จนเป็นเหตุให้เที่ยวบินขาเข้าและขาออกต้องหยุดชะงัก นักท่องเที่ยว นักธุรกิจต่างประเทศตกค้างอยู่ในประเทศไทยหลายวัน จนเป็นข่าวดังแพร่สะพัดไปทั่วโลก แต่ประเทศไทยก็สามารถแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี รวดเร็ว แต่ยังมีนักท่องเที่ยว สื่อมวลชน บริษัทนำเที่ยวจำนวนมาก ไม่มั่นใจว่าประเทศไทยเข้าสู่สภาวะปกติ จึงจำเป็นต้องท้าพิสูจน์ด้วยการพาเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย ให้เห็นด้วยสายตาตัวเอง พร้อมกับนำข่าวสารเหล่านี้ไปรายงานให้ประชาชนในประเทศรัสเซียรับทราบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวอีกด้วย



นายวิษณุกล่าวว่า ได้พาสื่อมวลชน บริษัทนำเที่ยวมาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวัตออก พามาท่องเที่ยวที่สวนนงนุชพัทยาหรือสวรรค์บนดิน ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เนื่องจากเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับที่สวยงาม มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย 4 ภาค มีการแสดงช้างแสนรู้ จนเป็นที่รู้จักกันในระดับโลก มีนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกจำนวนมากเข้ามาท่องเที่ยวและพักผ่อน สามารถยืนยันได้ว่า สถานที่ท่องเที่ยวไทยได้รับความนิยม สวยงาม มีศักยภาพ ที่สำคัญปลอดภัยไม่มีปัญหา


ที่มา: http://www.thaipost.net


 


ปภ. เผยพื้นที่ประสบภัยหนาว 35 จังหวัด เร่งให้ความช่วยเหลือโดยด่วน


กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสถานการณ์ภัยหนาวในประเทศไทยว่า มีพื้นที่ประสบภัย 35 จังหวัด 358 อำเภอ 2,203 ตำบล 24,985 หมู่บ้าน แยกเป็นภาคเหนือ 15 จังหวัด ตะวันออกเฉียงเหนือ 16 จังหวัด ภาคกลาง 3 จังหวัด และภาคตะวันออก 1 จังหวัด โดยจังหวัดที่ประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยฉุกเฉิน 32 จังหวัด


 


สำหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจกจ่ายเครื่องนุ่งห่มกันหนาวไปแล้ว รวม 367,388 ชิ้น พร้อมจัดเตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวอีก 244,250 ชิ้น ตลอดจนได้ประสานกับหน่วยงานในสังกัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ประสบภัยหนาว ให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาวะอากาศ หากมีประกาศเตือนเกี่ยวกับสภาพอากาศหนาวเย็นผิดปกติ ให้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือประชาชน


 


ที่มา: http://www.naewna.com


 


ผบช.น.ออกคำสั่งตั้งตำรวจคุมม็อบเสื้อแดงห้ามผิดกฏหมาย


เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. มีคำสั่ง ที่ 456 / 2551 ลงวันที่ 19 ธ.ค. แต่งตั้งคณะทำงานเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชน ด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งการเมือง สภาพเศรษฐกิจ สังคมในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดความเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนต่างๆ ทั้งกลุ่มที่มีผลประโยชน์ทางการเมืองที่ต่อต้านรัฐบาล และ กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล กลุ่มประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนในกรณีต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นการชุมนุมเรียกร้องอย่างสงบถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ


 


แต่ในกรณีที่การชุมนุมเรียกร้องที่เกินกว่าขอบเขตเสรีภาพที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นการละเมิดต่อกฎหมายหรือได้เปลี่ยนไปเป็นการก่อความวุ่นวาย หรืเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นกลายเป็นการก่อเหตุจลาจล ส่งผลกระทบต่อความสงบสุขของประชาชน และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ดังนั้นเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด บช.น. เป็นไปตามแนวทางที่กฎหมาย จึงแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชน ดังนี้


 


ส่วนบังคับบัญชา มี พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. เป็น หัวหน้าคณะทำงาน พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น.เป็น รอง หัวหน้า รอง ผบช.น.ทุกนาย เป็น ผู้ช่วยหัวหน้า ส่วนอำนวยการ มี ผบก.อก.บช.น. เป็นหัวหน้า รอง ผบก.อก.บช.น. เป็น ผู้ช่วย


 


ฝ่ายกำลังพล มี พ.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รอง ผบก.มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเตรียมและรวบรวมข้อมูลด้านกำลังพลในความรับผิดชอบของ บช.น. ประสานข้อมูลและการสนับสนุนด้านกำลังพลกับหน่วยที่เกี่ยวข้อง


 


ฝ่ายการข่าว มี พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี เป็นหัวหน้า มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการด้านการข่าว ติดตามสถานการณ์ รายงานสรุปเหตุการณ์เสนอผู้บังคับบัญชาทั้งระดับ บช.น. และ สตช.ทราบ


 


ฝ่ายแผน มี พ.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รอง ผบก.อก.เป็นหัวหน้า มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดแผนปฏิบัติ มาตรการ แนวทางการปฏิบัติ การรักษาความปลอดภัย รักษาความสงบเรียบร้อย และอำนวยความสะดวกการจราจร ในความรับผิดชอบของ บช.น.


 


ฝ่ายส่งกำลังบำรุงและการเงิน มี พ.ต.อ.อนันต์ ลิมธงชัย เป็นหัวหน้า มีอำนาจในการประสานงานและดำเนินการด้านการส่งกำลังบำรุงการสนับสนุนยานพาหนะ และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณแก่หน่วย


 


ฝ่ายประชาสัมพันธ์ มี พ.ต.อ.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง เป็นหัวหน้า มีอำนาจดำเนินการด้านประชาสัมพันธ์ สรปุประเมินผลกระทบของข่าวสารจากสื่อมวลชน ผลสำรวจต่างๆ และประสานการปฏิบัติกับสื่อมวลชน


 


ฝ่ายกฎหมายและสอบสวน มี พ.ต.อ.อนันต์ ลิมธงชัย เป็นหัวหน้า มีอำนาจหน้าที่ในการรวบรวมข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องและประสานการปฏิบัติในการเตรียมการสอบสวน พนักงานสอบสวน สถานที่สอบสวน และสถานที่ควบคุม รวมทั้งการปฏิบัติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสอบสวนผู้ชุมนุมกรณีมีการละเมิดกฎหมาย


 


ส่วนสนับสนุน มี พ.ต.อ.สมนึก น้อยคง เป็นหัวหน้า มีอำนาจหน้าที่ในการประสานงาน สนับสนุน และดำเนินการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ตลอดจนกำหนดช่องทางการสื่อสารระหว่างหน่วยงานในสังกัด เป็นหน่วยรวบรวมข้อมูลข่าวสาร สถานการณ์จากหน่วยต่างๆ พื่อส่งให้ฝ่ายการข่าวดำเนินการต่อไป


 


ส่วนปฏิบัติการ ประกอบด้วย มี ผบก.น.1-9 ตปพ. จร. รอง ผบก.ศส. ผกก.ศดส. ให้จัดส่งข้อมูลข่าวสาร เอกสาร และเป็นผู้ให้คำปรึกษา เพื่อคณะทำงานจะสามารถติดตามความเคลื่อนไหวและสถานการณ์ด้านการข่าวในพื้นที่รับผิดชอบรวมทั้งติดต่อประสานงานกับบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่รับผิดชอบให้กับส่วนสนับสนุน และ บช.น.ทราบทุกระยะ


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


 






ความมั่นคง


นายกรัฐมนตรีเตรียมตั้งองค์กรและออกกฎหมายแก้ปัญหาภาคใต้


นายกรัฐมนตรีเผยมอบหมายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ดูแลด้านความมั่นคง และจะให้นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยดูแลพื้นที่ภาคใต้


 


วันนี้ (23 ธ.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงนโยบายการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า เมื่อมีการมอบหมายงานให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดูแลด้านความมั่นคงแล้ว จะเลือกรัฐมนตรีคนหนึ่งเข้าไปดูแลพื้นที่ ซึ่งเบื้องต้นคงเป็นนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังจากนั้นจะออกกฎหมายเพื่อให้มีองค์กรและเพื่อให้รัฐมนตรีมีอำนาจตามกฎหมายต่อไป ส่วนองค์กรใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้จะแตกต่างกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อย่างไร เรื่องนี้มีกฎหมายที่ทางพรรคประชาธิปัตย์เคยเสนอมาแล้วสามารถตรวจสอบได้


 


ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เป็นประธานกองอำนวยการรักษาความมั่นภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จะเชิญทุกฝ่ายมาหารือเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ภาคใต้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแก้ไขปัญหานี้ถือว่าเป็นนโยบายเร่งด่วน แต่ตามหลักคิดและนโยบายของตนนั้นการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ จะพิจารณามิติเรื่องความมั่นคงหรือกองกำลังอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสภาพปัจจุบันคือกองกำลังพยายามทำหน้าที่ตรึงสถานการณ์ แต่ปัญหาพื้นฐานในเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมหากไม่ได้รับการแก้ไขเราต้องใช้กำลังพลเป็นจำนวนมากเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืน จึงต้องมาทบทวนกัน หากเรามีกฎหมายมีเครื่องมือและมีความชัดเจนว่าจะต้องทำพร้อมกันทุกมิติ ก็มั่นใจว่าสถานการณ์จะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม จะลงไปในพื้นที่ภาคใต้เมื่อมีโอกาส ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นห่วงเรื่องอะไรในพื้นที่ภาคใต้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าสภาพในพื้นที่นั้นประชาชนยังมีความวิตกกังวลอยู่


ที่มา: http://www.thaigov.go.th


 






เศรษฐกิจ


นายกรัฐมนตรีห่วงธนบัตรปลอมระบาดเร่งแก้ปัญหาโดยเร็ว


นายกรัฐมนตรีระบุจะต้องมีแนวทางตรวจสอบการปลอมธนบัตรที่ระบาดอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ขณะนี้ ซึ่งจะต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุดเพราะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการใช้เงินของประชาชน


 


วานนี้ (23 ธ.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงกรณีที่ขณะนี้มีธนบัตรปลอมระบาดในพื้นที่ต่าง ๆจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการใช้จ่าย ว่า การละเมิดกฎหมายทั้งหมดจะต้องมีการดำเนินการอย่างแน่นอน ซึ่งจะต้องมีการให้แนวทางที่ชัดเจนว่าจะตรวจสอบกันอย่างไร ทั้งนี้ จะไม่มีการละเว้นและจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด หากปล่อยให้กระทบถึงความเชื่อมั่นของการจับจ่ายใช้สอยและการใช้เงินของประชาชนจะมีผลกระทบอย่างแน่นอน ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการไม่ใช่เรื่องนโยบาย


 


นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจว่า ภายหลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว จะมีการจัดทำแผนซึ่งจะครอบคลุมทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาคเกษตร ภาคแรงงาน ภาคธุรกิจ ภาคท่องเที่ยว และภาคต่างประเทศ ซึ่งอยู่ในนโยบายเร่งด่วนอยู่แล้วรวมทั้งจะมีกลไกเข้ามาขับเคลื่อน 2 ส่วน คือ คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนที่จะเข้ามาดำเนินการ


 


ส่วนมาตรการที่จะช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนนั้น เรื่องดังกล่าวอยู่ในนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภาอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องน้ำ ไฟ รถโดยสารประจำทาง และรถไฟ อย่างไรก็ตามจะพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งว่าจะปรับปรุงอย่างไร


ที่มา: http://www.thaigov.go.th


 


คลังต่ออายุ6มาตรการ ยกเว้นน้ำมัน-เพิ่มงบ


ASTVผู้จัดการรายวัน - ขุนคลังคนใหม่เข้าทำงานวันแรกแถลงนโยบายต่ออายุ 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาลชุดเก่า ยกเว้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้นายกฯ ตัดสินใจอีกครั้ง เหตุราคาน้ำมันต่ำมากแล้ว พร้อมชงเพิ่มงบกลางปีอยู่ระหว่าง 1-1.8 แสนล้าน


 


นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า คลังจะเร่งพิจารณามาตรการเยียวยาค่าครองชีพของประชาชน ส่วนหนึ่งจะพิจารณาอายุ 6 มาตรการ 6 เดือน ที่จะสิ้นสุดในเดือน ม.ค. 2552 ออกไปอีก แต่จะมีการปรับมาตรการใหม่ที่ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณมากนัก แต่ประชาชนได้ประโยชน์ เช่น ให้ใช้ น้ำ ไฟฟ้า ฟรี อย่างไรก็ตาม การลดภาษีน้ำมัน ซึ่งเป็น 1 ใน 6 มาตรการ ตอนนี้ราคาน้ำมันลดไปมาก เทียบกับวันที่ออกมาตรการ 147 เหรียญต่อบาเรล ปัจจุบันต่ำกว่า 40 เหรียญต่อบาร์เรล ก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวว่าต้องขึ้นภาษี ส่วนจะขึ้นทั้งจำนวนหรือไม่ จะหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ภายในสัปดาห์นี้


 


นอกจากนี้ได้ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปประเมินผลของการใช้ 6 มาตรการ 6 เดือน ว่า ประชาชนได้ประโยชน์หรือ มีผลต่อภาระงบประมาณมากเพียง ซึ่งยืนยันไม่ว่าจะเป็นมาตรการของพรรคการเมืองไหน หากมีประโยชน์กับประชาชนและไม่เป็นภาระงบประมาณมากเกินไป ก็จะคงไว้แต่จะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น


 


นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สศค. กล่าวว่า จะได้ผลสรุปของ 6 มาตรการ ที่ปรับใหม่ภายในเดือน ม.ค. ซึ่งจะทำควบคู่กับมาตรการอื่นๆ ตอนนี้ รมว.คลัง ให้ทาง สศค. กับ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ไปดูแหล่งเงินที่จะนำมาใช้


 


"ผลประเมิน 6 มาตรการ 6 เดือน ถือว่าส่งผลดีกับเศรษฐกิจส่วนรวมทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น จากส่วนที่จากการลดค่าใช้จ่าย สามารถนำไปดำรงชีวิตด้านอื่นได้ ส่งผลต่อการบริโภคเพิ่มขึ้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และยังเป็นการรักษาไม่ให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างที่ควรเป็น ซึ่งการดำเนินการ 6 มาตรการ ไม่กระทบกับวินัยการคลัง"


 


ทั้งนี้ 6 มาตรการ ประกอบด้วย การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันประมาณลิตรละ 2-4 บาทต่อลิตร ชะลอปรับราคาก๊าซหุ้งต้มภาคครัวเรือน ให้ใช้น้ำประปาฟรี 50 หน่วยแรก ให้ใช้ไฟฟ้าฟรี 80 หน่วยแรก และไม่เกิน 150 หน่วย จ่ายครึ่งหนึ่ง ให้ขึ้นรถโดยสารประจำทาง รถไฟชั้น 3 ฟรี โดยใช้งบประมาณสนับสนุน 4.6 หมื่นล้านบาท


 


เพิ่มงบกลางปีระหว่าง 1-1.8 แสนล.


นายกรณ์เปิดเผยว่า คลังจะพิจารณาเพิ่มงบประมาณกลางปี 2552 เพิ่มเติมไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท แต่ไม่เกินเพดานตามที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 1.8 แสนล้านบาท โดยจะมีการพิจารณาเงินตามความจำเป็น เพื่อช่วยลดภาระของประชาชน ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว


 


"การทำงบประมาณขาดดุลเพิ่มเติม จะพิจารณาใช้เงินสำหรับโครงการที่มีความจำเป็น ซึ่งต่างจากรัฐบาลชุดก่อนที่หยิบยกตัวเลขมาก้อนหนึ่ง และถามว่าใครจะเอาบ้าง แต่เรามีโครงการที่ชัดเจนว่าจะทำอะไร ใช้เงินเท่าใด"


 


อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการพิจารณาปรับกรอบการขาดดุลงบประมาณที่ พ.ร.บ.งบประมาณกำหนดไว้ว่าสามารถตั้งได้ไม่เกิน 20% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย บวกกับการตั้งงบชำระต้นเงินกู้อีก 80% ของงบชำระเงินกู้ หรือประมาณ 4.3 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีการตั้งงบประมาณขาดดุลไปแล้วกว่า 2.495 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 2.4% ของอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)


 


ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าจำนวนเงินแสนล้านบาทถือว่าไม่น้อย หากเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของประเทศ สูงกว่า 1% ของจีดีพี นอกจากนี้ ยังใกล้การจัดทำงบประมาณประจำปี 2553 ซึ่งสามารถตั้งงบประมาณขาดดุลได้อีก โดยกรอบเดิมก็มีความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพ ถ้ายังไม่จำเป็นก็ไม่ควรพิจารณาปรับเปลี่ยน


 


สำหรับการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2552 ค่อนข้างมีปัญหา โดยสรรพากรรายงานว่าจะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าประมาณ 1 แสนล้านบาท หากรวมกับการนำส่งรายได้ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ จะทำให้การจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2552 ต่ำกว่าเป้าประมาณ 10% หรือประมาณ 1.3-1.4 แสนล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ที่ 1.5 ล้านล้านบาท


ไม่ลดภาษีหลังสถานการณ์เปลี่ยน


นายกรณ์กล่าวว่า การปรับลดภาษีจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เช่น การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเดิมคณะรัฐมนตรีเงาก็มีนโยบายที่จะปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่ภาวการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก หากรัฐบาลยังคงใช้แนวคิดเดิมก็จะไม่เป็นประโยชน์สูงสุด ดังนั้น รัฐบาลจึงเลือกที่จะให้น้ำหนักการใช้งบประมาณเพื่อลดภาระประชาชน มากกว่าการปรับลดภาษี อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวก็จะต้องมีการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้


 


ส่วนกรณีที่หลายสถาบันคาดการณ์ขยายตัวจีดีพีต่ำ หรือ ติดลบ ส่วนตัวที่ผ่านมาไม่เคยหยิบยก จีดีพี เป็นเป้าหมายเดียว รัฐบาลต้องหยิบยกผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก มีตัวชี้วัดกำหนดได้ว่าความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น แต่หากจีดีพีขยายตัวต่ำกว่า 4% ก็จะมีการปัญหาต่อการว่างงานที่เพิ่มขึ้น คลังก็ต้องคอยจับตาดูตัวเลขจีดีพี เป็นตัวเลขที่สำคัญตัวหนึ่ง


 


"วิกฤตการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ หนักหน่วงมาก ทั้งในส่วนของต่างประเทศ ประเทศคู่ค้า ส่งผลต่อปริมาณความต้องการสินค้า สภาพคล่อง การเข้าถึงแหล่งเงินแหล่งทุนของผู้ประกอบการและประชาชน ทั้งหมดเป็นภาระสำคัญของกระทรวงคลังที่ต้องเข้ามาเยียวยา"


 


สำหรับนโยบายการเงิน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคลัง จะเข้าไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ โดยแนวคิดหรือทิศทางในการบริหารของ ธปท. สะท้อนให้เห็นว่าแบงก์ชาติประเมินความเสี่ยงการขยายตัวเศรษฐกิจว่าเป็นปัญหา จากเดิมที่ประเมินความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก และจากมติการปรับลดดอกเบี้ยของ ธปท.ครั้งที่ผ่านมา เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าแบงก์ชาติมีความกังวล ก็สอดคล้องกับความคิดของคลัง โดยมั่นใจว่าจะประสานนโยบายการเงินและการคลังได้อย่างดี


ที่มา: ASTV ผู้จัดการรายวัน


 


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net