Skip to main content
sharethis




(6 มี.ค.) เครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซียและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อ.จะนะ จ.สงขลา ส่งแถลงการณ์หลังศาลปกครองระยองพิพากษาให้พื้นที่มาบตาพุดและบริเวณข้างเคียงเป็นเขตควบคุมมลพิษ เรียกร้องให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศให้พื้นที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด รวม 5 ตำบล คือ ต.มาบตาพุด ต.ห้วยโป่ง ต.เนินพระ ต.มาบข่า และ ต.ทับมา รวมทั้งท้องที่ ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง ทั้งตำบล เป็น "เขตควบคุมมลพิษ" โดยทันทีหลังจากมีคำพิพากษา


นอกจากนี้ เครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซฯ ยังแนะว่า รัฐบาลโดยการนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องควบคุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบดำเนินการประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง และดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษโดยเร่งด่วน รวมถึงควรทบทวนนโยบายและทิศทางการพัฒนา ที่จะมุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (เซาท์เทิร์นซีบอร์ด) เพราะเป็นการพัฒนาที่ต้องแลกกับการทำลายวิถีชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศชาติ เพราะบทเรียนกรณีตัวอย่างการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าได้ก่อให้เกิดปัญหามลพิษอย่างมากมายเกินกว่าที่จะเยียวยาและควบคุมได้


"ที่ผ่านมาพี่น้องในพื้นที่มาบตาพุดบอบช้ำต่อชะตากรรมจากการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมามากพอแล้ว ทางเครือข่ายฯรับรู้ความรู้สึกนั้นได้ดี เพราะในพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาเป็นที่ตั้งของโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย ของบริษัททรานส์ไทย-มาเลเซีย (TTM) และโรงไฟฟ้าจะนะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เพียงสองโรงเท่านั้นและดำเนินการมาเพียงไม่กี่ปียังก่อผลกระทบอย่างมากมายต่อชุมชนทั้งด้านมลพิษ เช่น กลิ่นเหม็นของก๊าซที่รั่วออกมาและเสียง การประกอบอาชีพ ไม่สามารถเลี้ยงไก่ฟาร์ม ปลูกผักในบริเวณนั้นได้ ตลอดทำลายย่ำยีความรู้สึกของพี่น้องมุสลิมกรณีการฮุบที่ดินวะกัฟ แต่พี่น้องในพื้นที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงกลับต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นมาร่วม 20 ปีจากโรงงานหลายพันโรงในเนื้อที่หลายหมื่นไร่" แถลงการณ์ระบุ


 


 


 


แถลงการณ์เครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย


กรณีศาลปกครองระยองพิพากษาให้พื้นที่มาบตาพุด


และบริเวณข้างเคียงเป็นเขตควบคุมมลพิษ


 


ทางเครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซียได้ติดตามสถานการณ์ผลกระทบจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยองมาอย่างต่อเนื่อง และกรณีศาลปกครองระยองได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 192/2550 ระหว่างนายเจริญ เดชคุ้ม กับพวกรวม 27 คน ยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติฐานละเลยไม่ประกาศให้พื้นที่ตำบลมาบตาพุดและเทศบาลเมืองมาบตาพุด ตลอดจนพื้นที่ข้างเคียงที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรงเป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 โดยพิพากษาว่าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการไม่ประกาศให้พื้นที่มาบตาพุด ตลอดจนพื้นที่ข้างเคียงที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรงเป็น "เขตควบคุมมลพิษ"


 


ทางเครือข่ายฯ เล็งเห็นว่ากรณีกระบวนการต่อสู้ของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก  โดยการเปิดเผยข้อมูล ข้อเท็จจริงให้สังคมไทยได้รับรู้ข้อมูลมลพิษที่เกิดจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นบทเรียนที่สำคัญต่อสังคมไทยในการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงด้านเดียวโดยละเลยการสร้างสุขภาวะของประชาชนและสังคม ละเลยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ วิถีชีวิต  ทรัพยากรธรรมชาติ  สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของชุมชน ทางเครือข่ายฯ ถือว่ากรณีมาบตาพุดเป็นการสร้างบรรทัดฐานการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กับสังคมไทย


 


 ดังนั้นทางเครือข่ายจึงเรียกร้องดังนี้


1.                   ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศให้พื้นที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด รวม 5 ตำบล คือ ต.มาบตาพุด ต.ห้วยโป่ง ต.เนินพระ ต.มาบข่า และ ต.ทับมา รวมทั้งท้องที่ ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง ทั้งตำบล เป็น "เขตควบคุมมลพิษ" โดยทันทีหลังจากมีคำพิพากษา


 


2.                   บทบาทหน้าที่หลักของรัฐบาลโดยการนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องควบคุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบดำเนินการประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง และดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษโดยเร่งด่วน เพราะนั่นคือการดูแลปกป้องประชาชนชาวไทย มากกว่าการหวั่นเกรงว่าจะกระทบการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เพราะที่ผ่านมากลุ่มทุนต่างๆ ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดได้กอบโกยผลประโยชน์ไปอย่างมากมาย แต่ทิ้งปัญหามลพิษให้คนระยองต้องแบกรับ


 


3.                   ที่สำคัญรัฐบาลควรทบทวนนโยบายและทิศทางการพัฒนา ที่จะมุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (เซาท์เทิร์นซีบอร์ด) เพราะเป็นการพัฒนาที่ต้องแลกกับการทำลายวิถีชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศชาติ เพราะบทเรียนกรณีตัวอย่างการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าได้ก่อให้เกิดปัญหามลพิษอย่างมากมายเกินกว่าที่จะเยียวยาและควบคุมได้


 


สุดท้ายทางเครือข่ายฯ ขอเรียกร้องสำนึกและจิตวิญญาณของหน่วยงานราชการไทยที่จะดูแล ปกป้อง และเยียวยา คนในพื้นที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคลของสังคมไทย มากกว่าที่จะเอื้อและเห็นแก่ประโยชน์ของกลุ่มทุนต่างๆ โดยไม่สนใจต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาพี่น้องในพื้นที่มาบตาพุดบอบช้ำต่อชะตากรรมจากการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมามากพอแล้ว ทางเครือข่ายฯรับรู้ความรู้สึกนั้นได้ดี เพราะในพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาเป็นที่ตั้งของโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย ของบริษัททรานส์ไทย-มาเลเซีย (TTM) และโรงไฟฟ้าจะนะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เพียงสองโรงเท่านั้นและดำเนินการมาเพียงไม่กี่ปียังก่อผลกระทบอย่างมากมายต่อชุมชนทั้งด้านมลพิษ เช่น กลิ่นเหม็นของก๊าซที่รั่วออกมาและเสียง การประกอบอาชีพ ไม่สามารถเลี้ยงไก่ฟาร์ม ปลูกผักในบริเวณนั้นได้ ตลอดทำลายย่ำยีความรู้สึกของพี่น้องมุสลิมกรณีการฮุบที่ดินวะกัฟ แต่พี่น้องในพื้นที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงกลับต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นมาร่วม 20 ปีจากโรงงานหลายพันโรงในเนื้อที่หลายหมื่นไร่


 


ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรแสดงความรับผิดชอบอย่างสง่าผ่าเผยมากกว่าที่จะหาทางหลีกเลี่ยงและซื้อเวลาด้วยการยื่นอุทธรณ์คดี อันจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรงและขยายวงกว้างจนอยากจะควบคุม
 


   


 สลามและดุอา


 


เครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย


และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง  อ.จะนะ จ.สงขลา


 


6 มีนาคม 2552


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net