Skip to main content
sharethis

 


12 มีนาคม 2552 ครบ 5 ปี การถูกบังคับให้สูญหายของนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความนักสิทธิมนุษยชน ภรรยาและครอบครัว เตรียมยื่นศาลเพื่อมีคำสั่งให้นายสมชายเป็นบุคคลสาบสูญ นอกจากนี้ยังได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทำคดีโปร่งใส เป็นธรรม ปราศจากการแซงแทรง นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงก็ตาม ออกหมายเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาสอบปากคำและให้การในฐานะพยาน กรณีที่มีคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณได้เข้าไปขอค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ที่มีรูปถ่ายหน้าตรงของคุณสมชาย และกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยกล่าวแก่สาธารณชนว่า นายสมชาย นีละไพจิตร เสียชีวิตแล้ว


 


นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้องค์กรปฏิรูปกฎหมาย ต้องสามารถให้คำตอบแก่ครอบครัวและสาธารณชนได้ว่า หากไม่พบวัตถุพยานที่บ่งบอกว่านายสมชาย นีละไพจิตร เสียชีวิตแล้ว จะดำเนินการอย่างไรเพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ ให้รัฐบาลเร่งรัดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และเรียกร้องให้รัฐบาลลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหายขององค์การสหประชาชาติปี พ.ศ.2549 เพื่อเป็นหลักประกัน และให้ความคุ้มครองแก่คนไทยมิให้ต้องตกเป็นเหยื่อของการบังคับให้สูญหายจากเจ้าหน้าที่รัฐอีกต่อไป


 


 


 


 


.......................................


 


แถลงการณ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปีการถูกบังคับให้สูญหายของทนายสมชาย นีละไพจิตร


 


 


เนื่องในโอกาสครบ 5 ปี การถูกบังคับให้สูญหายของนายสมชาย นีละไพจิตร ดิฉันและครอบครอบครัวต้องขอขอบพระคุณอย่างสูงต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ให้ความสนใจ และหยิบยกคดีนี้เป็นคดีสำคัญที่รัฐบาลจะเร่งรัดติดตามหาความจริง ให้ความเป็นธรรม และนำตัวผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย


 


ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 มกรคม 2549 ว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่งนาย กับพวกอีก 3 -5 คนเป็นผู้ผลักนายสมชาย นีละไพจิตร ขึ้นรถแล้วหายไปจนถึงวันนี้ ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และคดีการสูญหาย (คดีฆ่า) อยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ อีกทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้รับเรื่องสอบสวนกรณีที่นายสมชายได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงซ้อมทรมานผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการควบคุม และเชื่อว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้นายสมชายถูกทำให้หายตัวไป รวมทั้งคณะทำงานด้านผู้ถูกบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติ (Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances -UNWGED) ได้รับคดีการสูญหายของนายสมชาย นีละไพจิตร เป็นหนึ่งในคดีคนหายของสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2548


 


ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา คดีการสูญหายของนายสมชาย นีละไพจิตร ถูกแทรกแซงจากทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการระดับสูงมาโดยตลอด อีกทั้งมีความพยายามเผยแพร่ข่าวว่านายสมชาย นีละไพจิตร เกิดอาการหัวใจวายกระทันหันเมื่อถูกผลักขึ้นรถ ทั้งที่คุณสมชายไม่เคยป่วยเป็นโรคหัวใจมาก่อน ทั้งนี้เพื่อเบี่ยงเบนข้อหาฆาตกรรม เป็นเพียงแค่ข้อหาปิดบังอำพราง และทำลายศพ จึงเป็นความยากลำบากอย่างยิ่งในการหาความเป็นธรรมตามกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากคดีนี้มีความเกี่ยวพันถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายฝ่าย การคลี่คลายคดีจึงขึ้นอยู่กับความจริงใจของรัฐบาล โดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งถูกกล่าวหาจากสังคมมาโดยตลอดถึงความผูกพัน ความใกล้ชิดกับบรรดาผู้ถูกกล่าวหา และผู้เกี่ยวข้อง ในฐานะที่ผู้บริหารระดับสูงของกรมสอบสวนคดีพิเศษต่างเคยเป็นอดีตข้าราชการตำรวจ


 


เนื่องในโอกาสครบ 5 ปีการที่นายสมชาย นีละไพจิตรถูกทำให้หายตัวไป ซึ่งตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61 และ62 ให้ถือว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตาย ดิฉันจึงขอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลและกรมสอบสวนคดีพิเศษดังนี้


 


1. ขอให้รัฐบาลและกรมสอบสวนคดีพิเศษแสดงความจริงใจในการทำคดีการสูญหายของคุณสมชาย นีละไพจิตร อย่างโปร่งใส เป็นธรรม ปราศจากการแซงแทรงด้วยความไม่เป็นธรรม เพื่อสามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของก็ตาม


 


2. ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษออกหมายเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาสอบปากคำและให้การในฐานะพยาน กรณีที่มีคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณได้เข้าไปขอค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ที่มีรูปถ่ายหน้าตรงของคุณสมชายโดยไม่แจ้งเหตุผล อีกทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเองได้เคยกล่าวแก่สาธารณชนว่า นายสมชาย นีละไพจิตร เสียชีวิตแล้ว


 


3. กระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะองค์กรปฏิรูปกฎหมาย ต้องสามารถให้คำตอบแก่ครอบครัวและสาธารณชนได้ว่า หากไม่พบวัตถุพยานที่บ่งบอกว่านายสมชาย นีละไพจิตร เสียชีวิตแล้ว จะดำเนินการอย่างไรเพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อยุติปัญหาการลักพาตัว และการบังคับให้บุคคลสูญหายโดยการทำลายศพ


 


4. ขอให้รัฐบาลเร่งรัดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ โปร่งใส ปราศจากการถูกแทรกแซง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมไทยสามารถเป็นที่พึ่งและให้ความเป็นธรรมให้แก่คนไทยทุกคนอย่างเสมอหน้ากัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ


 


5. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหายขององค์การสหประชาชาติปี พ.ศ.2549 เพื่อเป็นหลักประกัน และให้ความคุ้มครองแก่คนไทยมิให้ต้องตกเป็นเหยื่อของการบังคับให้สูญหายจากเจ้าหน้าที่รัฐอีกต่อไป


 


สุดท้าย ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด ในการให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน และสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ในสถานการณ์ที่สังคมไทยยังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่อย่างต่อเนื่อง และพร้อมกันนี้ดิฉันต้องขอขอบพระคุณประชาชนไทยทุกคน รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ โดยเฉพาะองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ ที่ร่วมกันพิสูจน์ให้ห็นว่า การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมนั้นไม่มีพรมแดน และทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่า ในท่ามกลางความยากลำบากในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมถึงในภาวะที่ต้องเผชิญกับการถูกข่มขู่คุกคามนั้น ยังมีมิตรภาพรวมทั้งน้ำใจไมตรีและความห่วงใยจากผู้คนร่วมสังคม ซึ่งทำให้ดิฉันและผู้เสียหายอีกมากมายสามารถอดทน ยืนหยัด และมีกำลังใจในการที่จะแสวงหาความเป็นธรรมต่อไป


 


 


อังคณา นีละไพจิตร


กรุงเทพฯ


12 มีนาคม 2552


 


 


 


หมายเหตุ: นางอังคณา นีละไพจิตร และทนายความจากสภาทนายความ นายนิติธร ล้ำเหลือ จะยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งในวันอังคารที่ 17 มีนาคม 2552 เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้นายสมชาย นีละไพจิตร เป็นบุคคลสาบสูญ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net