Skip to main content
sharethis

อภิปรายไม่ไว้วางใจนัดแรก สุรพงษ์ตั้งข้อกล่าวหา "มาร์ค" ส่ง SMS ละเมิดสิทธิ-เข้าข่ายเรียกรับผลประโยชน์ มาร์คยันทำเพื่อสมานฉันท์ กรณ์แจง SMS เป็นประชาธิปไตยสุดเพราะคนจนคนรวยเข้าถึงมือถือเหมือนกัน ส.ส.ประชาธิปัตย์ถามหาหัวหน้าพรรคตัวจริงเมินคำตอบ "สุนัย" ให้ฟัง "โฟนอิน" ทักษิณ ลั่นสภาไม่ใช่ม็อบข้างถนน ส่วน "สุริยะใส" เมินอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฟัง "ทักษิณ" โฟนอินน่าติดตามกว่า

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม ต่อจากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านชั่วคราว และได้เริ่มอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในประเด็นการกระทำซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีการปกปิดซ่อนเร้นเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

 

 

เหลิมซักมาร์ค ไซฟอนเงินหลวง

ร.ต.อ.เฉลิม ได้ยกแผ่นชาร์ต ในหลักฐานต่างๆเพื่อประกอบการอภิปราย ซึ่งในรายละเอียดดังกล่าวมีกระบวนการนำเงินจากบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เข้าไปในพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งเงินบริจาคที่โอนเข้าพรรคประชาธิปัตย์มีการจ่ายเป็นเช็คทั้ง 27 ฉบับ ผ่าน 4 ธนาคาร ใช้เวลาดำเนินการในเรื่องนี้ทั้งหมดเพียง 84 วัน  นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานชัดเจนว่าบริษัทเมซไซอะ บิสซิเนต แอนด์ ครีชั่นจำกัด โดยมีนายประจวบ สังข์ขาว เป็นกรรมการ และพรรคประชาธิปัตย์อ้างว่านำเงินจำนวนนี้มาว่าจ้างทำโฆษณาไม่น่าจะเป็นบริษัทผลิตสื่อเพื่อการเลือกตั้งจริง เพราะมีทุนจดทะเบียนเพียงล้านบาทเท่านั้นและยังเป็นเพียงทาวน์เฮาส์ที่ไม่มีแท่นพิมพ์ หรืออุปกรณ์ในการผลิตสื่อ

 

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ทั้งหมดเป็นความอุบาทว์ของคนบางคนในพรรคปชป. ที่นำเงินกกต. จำนวน 29 ล้านมาไซฟอน โดยให้ เมซไซอะอ้างทำแผ่นป้าย 23 ล้าน ทำไมปชป.ไม่ทำสัญญาว่าจ้างเมซไซอะ ให้ถูกต้องเป็นเงินของทางราชการ ปชป.ไม่ได้ทำสัญญา และบัดนี้ เป็นหนี้ภาษีสรรพากรถึง 14 ล้าน เพราะเอาเงินทีได้มาจากบริษัททีพีไอ นำไปให้พรรคปชป.แต่บริษัทนี่มีเงินจดทะเบียนเพียงล้านบาท พนักงาน 4 คน ที่ทำการอยู่ใต้ถุนพรรคปชป. จึงไม่เชื่อ และอยากร้องกกต.ให้เอา 3 ใบเสร็จรับเงินไปทำการตรวจสอบ จะพบว่าเป็นการสร้างเรื่องเอาเงินกกต.ออกมาใช้

 

 

มาร์คโต้แจงเงินต่อกกต.ชัดเจน

ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แจงต่อที่ประชุมกรณีการปกปิดการชี้แจงทรัพย์สินที่ไม่ตรงกับยอดบริจาค ต่อกกต. ซึ่งเป็นการสมรู้ทำผิดพ.ร.บ.พรรคการเมือง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในช่วงปลายปี 2547 -2548 ตนไม่ได้รับมอบหมายให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการทางการเงิน แต่เท่าที่ฟังมีความพยายามพูดว่าตนมีความเกี่ยวพันกับกลุ่มคนทั้งหมดที่กล่าวมา  ต่อจากนั้นเดือนมีนาคม ปี 2548 ตนได้รับการรับรองการเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จาก กกต. การทำหน้าที่ของตนมี 2 ส่วน คือ ในการรับเงินบริจาคต้องรายงานแก่ กกต.ทุกครั้ง ซึ่งตนก็ได้ดำเนินการเรียบร้อยตลอด  และในขณะนั้นมีการรับรองงบดุลปี 2547 เพื่อทำการเสนต่อพรรคประชาธิปัตย์ จึงต้องมีการรวบรวมเอกสาร และให้ผู้ตรวจสอบบัญชีทำการตรวจสอบ และมีการรับรอง พร้อมเสนอให้เหรัญญิกพรรคทำการลงนาม

 

"ผมเห็นว่าทำการตรวจสอบมาแล้วจึงรับรองไปงบดุล การใช้จ่ายค่าเลือกตั้งต้องมีการแสดงต่อพรรค และกกต.ต้องการตรวจสอบ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตในบางประเด็นแต่ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายพรรคฝ่ายค้าน การอภิปรายเช่นนี้ทำให้เกิดความสับสนทางการเมือง"

 

 

จวกมาร์คอุ้มกษิตทำเสียดินแดน 250 เมตร

ต่อจากนั้น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นผู้อภิปรายคนที่ 2 ในการประชุมครั้งนี้ โดยได้เริ่มต้นกล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีเนื้อหาพาดพิง นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เนื่องจากนายกรัฐมนตรี ได้ทำการแต่งตั้งบุคคลในนามพรรคปชป.สมคบกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายพระราชบัญญัติว่าด่วยการกระทำผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2521  ม.6 ทวิ  ซึ่งความผิดดังกล่าวมีโทษถึงการประหารชีวิต ซึ่งเป็นกฎหมายสากลที่นายกรัฐมนตรีต้องรับทราบอยู่แล้ว

 

นอกจากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการผิดพลาดที่แต่งตั้งบุคคลที่มีปัญหากับกัมพูชา อีกทั้งในขณะนี้ยังพบว่าประเทศไทยได้เสียดินแดนไปให้กับประเทศกัมพูชา 250 เมตร เนื่องจากตนมีเอกสารหลักฐานสำคัญของกองกำลังสุรนารีที่ทำการยื่นเรื่องต่อกระทรวงการต่างประเทศ ถึง 8 ครั้ง ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯนายกษิตแล้ว เนื่องจากทหารไทยพบว่าทหารกัมพูชาได้มีการสร้างที่พักจำนวน 5 หลัง ต่อจากนั้น ยังร้องให้กระทรวงการต่างประเทศทำการร้องประท้วงการก่อสร้างอาคารให้พระกัมพูชา ในบริเวณ วัดแก้วศิขาคีรีสวาระ บริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อน รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศประท้วงซ้ำ พบว่าทหารกัมพูชาได้ลักลอบตัดไม้ และยังได้ใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าบริเวณพื้นที่ทับซ้อน เนื่องจากมีการดื่มเหล้าอย่างเมามาย ซึ่งทั้งหมดที่กองกำลังสุรนารีได้ทำการยื่นหนังสือไปนั้นเป็นปัญหาในพื้นที่ทับซ้อนทั้งสิ้น แต่ยังไม่มีการดำเนินการ เพราะว่าต้องทำให้ทั้งสองประเทศคลายความหมางใจหลังนายกษิตใช้เวทีพันธมิตรฯโจมตีผู้นำกัมพูชา

 

 

แฉมาร์คเป็นส.ส.ก่อนเข้าพรรค

นายจตุพร กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ยังมีประวัติพิสดาร โดยสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ หลังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) แล้ว 3 เดือน ทั้งที่ กฎหมายระบุว่าบุคคลเป็น ส.ส.ต้องเป็นสมาชิกพรรคก่อน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ยังได้หนีการเกณฑ์ทหาร โดยไม่เข้ารับการตรวจเลือกตั้งแต่ปี 2530 - 2536 จนกระทั่งอายุครบ 29 ปี ไม่ทราบว่า มีผู้ใหญ่ที่สนิทกับอดีตผู้นำคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.) คนหนึ่งอาจแนะนำให้นายอภิสิทธิ์ใช้ช่องนี้ขอรับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย สอนระดับชั้น ม.1

 

แต่ปรากฏว่าการที่พลเรือนชายไทย จะเข้ารับราชการในโรงเรียนนายร้อย จะต้องแสดงหลักฐานสำคัญทางการทหาร แต่นายอภิสิทธิ์ไปขอใบสำคัญทางการทหารจากสัสดีใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานเท็จ นายอภิสิทธิ์จึงไม่มีสิทธิ์เข้ารับราชการ

 

 

นายกฯ ยันไม่เคยหนีทหาร

ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ชี้แจงกว่าครึ่งชั่วโมง โดยเฉพาะประเด็นหนีเกณฑ์ทหารว่าเป็นประเด็นที่เป็นข้อกล่าวหาหนักหนาสาหัสมากนั้น ตนก็จะขอพูดเรื่องรับราชการทหาร พร้อมจะชี้แจงเรื่องกฎหมาย และคุณธรรมจริยธรรมด้วย

 

"ผมจบจากอ๊อกซฟอร์ดในปี 2529 ผมก็เข้าใจว่า เมื่อผมเป็นนักเรียนในการดูแลของ ก.พ. ก็จะมีการผ่อนผันให้ แต่เมื่อผมกลับมาก็ไปขึ้นทะเบียนในเดือนกรกฎาคม 2529 ซึ่งผมเองก็ได้ดำเนินการตรงนั้น ส่วนที่ล่าช้าไปก็คงเกิดขึ้นกับหลายคน มีการเสียค่าปรับก็ว่ากันไป ประเด็นก็คือว่าเมื่อผมกลับมา ผมก็คิดว่าน่าจะได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือบ้านเมือง พร้อมกับรับราชการทหาร ขณะเดียวกันยุคนั้นก็มีความต้องการให้คนที่จบมาไปเป็นอาจารย์ของโรงเรียนนายร้อยกันมาก และผมก็คิดว่าเอาความรู้ที่ได้มาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อราชการ และพร้อมกันนั้นผมก็มีความคิดที่จะไปเรียนต่อด้วย มันก็จำเป็นต้องทำสองทางพร้อมกันไป ไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่เลย

 

ท่านสมาชิกเคยพูดในหลายที่ว่า เมื่อรับสด.9 มาแล้ว ผมไม่ยอมไปเกณฑ์ทหาร และจะหาทางลบล้างความผิดยังไง ที่จริงท่านทราบดีว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะเอกสารที่ท่านนำมามันบอกเองว่าผมสมัครก่อนครบกำหนดเกณฑ์ คือเกิดก่อน 30 เมษายน 2530 ทั้งสิ้น แล้วท่านก็มาบอกว่าเอาเอกสารเท็จ เพราะเขารับผมเข้าทำงานในกลางปี 2530 แต่เอกสารของท่านมันออกปี 2531 ผมจะเอาเอกสารเท็จไปยื่นก่อนได้อย่างไร

 

 

ยันฝึกหนักก่อนติดยศทหาร

ขณะเดียวกัน ท่านก็บอกว่า 1.ถ้าอายุไม่ถึง 21 ก็เอาสด.9 ไปสมัคร และ 2.ถ้าเกินกว่า 21 ปี ต้องมีทั้งสด.9และสด.43 หรือมีหนังสือผ่อนผัน เมื่อมีการสงสัยเรื่องนี้ ในที่สุดผมก็ไปค้นพบเอกสาร แล้วก็มีชื่อผมอยู่ในฐานะผู้ได้รับการผ่อนผันปี 2530-2532 เพราะผมมีความตั้งใจจะไปศึกษาต่อ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าจปร.ให้ผมได้รับการบรรจุอย่างถูกต้องช่วงแรกผมเข้าไปเป็นข้าราชการพลเรือนกลาโหม พ.ร.บ.รับราชการทหารปี 2521 ก็อธิบายครอบคลุมว่าข้าราชการทหารหมายถึงข้าราชการกลาโหมพลเรือนด้วย เพราะฉะนั้นผมก็เริ่มรับราชการทมหารตั้งแต่กลางปี 2530 ด้วย

 

ท่านก็อาจไม่ทราบว่าในช่วงที่ผมสอนอยู่โรงเรียนนายร้อย ในช่วงแรกยังไม่มียศ เพราะยังไม่ได้รับการฝึก วิธีการของเขาก็คือเขาจัดให้มีการฝึก ซึ่งเขาจะมีเป็นรอบๆเหมือนกับการฝึกอบรมของส่วนราชการอื่นๆ เขาจะจัดเป็นรุ่น ผมก็ฝึกเหมือนกับเพื่อนฝึกรด.แหละ แต่ความต่างก็คือท่านฝึกรด.ก็ไปสัปดาห์ละครึ่งวัน แต่ของผมฝึกต่อเนื่อง มีการไปเขาชนไก่เหมือนกัน (โชว์รูปที่ฝึกทหารมาโชว์ 3 รูป) ไม่ได้มีอะไรลึกลับซับซ้อน แล้วก็เข้าไปรับราชการทหาร"

 

 

เชื่อกษิตถูกการเมืองเล่นงาน

ต่อจากนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมว่า การเข้าสู้ตำแหน่งของนายกษิต ตนตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า การยึดสนามบินในครั้งดังกล่าวไม่มีการ แจ้งความกล่าวโทษร้องทุกข์โดยระบุชื่อนายกษิต แต่อย่างใด แต่มีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษขึ้นมาหลังจากที่นายกษิตได้รับการโปรดเกล้าฯแล้ว  ตนมองว่านี่จึงเป็นประเด็นและเป็นคดีทางการเมือง

 

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการอภิปรายพาดพิงมาสู่การทำงานว่า มีเรื่องเศรษฐกิจที่ระบุว่า ตนแสดงอาการดีใจที่ได้ไปกู้ยืมเงินจากประเทศญี่ปุ่น  โดยกล่าวปฏิเสธว่าตนไม่เคยแสดงความดีอกดีใจอะไรในการไปกู้ยืมเงิน แต่เรื่องเงินกู้ญี่ปุ่นแจ้งว่า พร้อมให้การสนับสนุนเงินกู้โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง และสมควรสนับสนุนต่อไป ที่ผ่านมารัฐบาลดำเนินการโครงการเหล่านี้ พบว่า ยังไม่เรียบร้อยเรื่องแหล่งเงินทุน  เมื่อแจ้งมาตนก็แจ้งให้ประชาชนทราบ จะดำเนินการขั้นตอนการเจรจาต่อไป ไม่ใช่เป็นการดีอกดีใจที่กู้เงินได้

 

 

ย้ำกู้เงินเป็นเรื่องจำเป็น

ทั้งนี้ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาเรื่องการจัดงบประมาณขาดดุลต้องทำต่อเนื่อง เรื่องความคิดที่ต้องกู้เงินจากต่างประเทศมาประคับประคองสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์ปีนี้และปีหน้าเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดที่แล้วจริงๆในความรู้สึก ไม่ใช่เรื่องภาคภูมิใจอะไร เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไปตามความจำเป็น เพราะ พูดตามความจริงวันนี้เราต้องการเงินมาประคับประคองไม่ให้คนตกงาน แต่เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ การค้าโลกหายไปถึงร้อยละ 30-40  รายได้ของรัฐบาลจากภาษีอากรลดลงไปด้วย ทางเลือกก็มี โดยขึ้นภาษี กู้เงิน หรือขายทรัพย์สมบัติของชาติ ตนจึงตัดสินใจว่าในบรรดา 3 แนวทางนี้  แนวทางที่ดีที่สุดต้องกู้เงินมาใช้ลงทุนในโครงการที่เป็นประโยชน์และเก็บภาษีอากร

 

"ถ้าถามเรื่องดีอกดีใจที่กู้เงิน ผมเคยนั่งด้านล่างตรงนั้นและเคยฟัง สมัยรัฐบาลชุดก่อนประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2540  ขณะนั้น นายทนง พิทยะ รมว.คลัง  สามารถให้ญี่ปุ่นเอาเงินไอเอ็มเอฟมาให้ไทยกู้เงินได้ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ  ก็นั่งอยู่ตรงนี้(พร้อมกับชี้มาที่นั่งนายกฯ) นั่นก็ถือว่าเป็นครั้งเดียวที่รัฐสภารับแจ้งว่า ดีอกดีใจที่รัฐบาลสามารถกู้เงินได้"

 

 

ยืนยันนั่งเก้าอี้นายกฯ ตามรธน.

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงประเด็นที่มาตามระบุว่า  ตนมาตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งทุกพรรคการเมืองยอมรับด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง หากจะมาพูดถึงคะแนนเสียงหรืออะไรก็ตามที่ให้พรรคการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ได้น้อยกว่า พลังประชาชน เพียงแสนคะแนน

 

จากนั้นเมื่อการเลือกตั้งถูกวินิจฉัยว่าทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ก็เท่ากับว่า มีการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม ต้องมีการลงโทษตามกฎหมาย นำไปสู่การยุบพรรค โดยรัฐธรรมนูญ เปิดโอกาสให้สมาชิกไปหาสังกัดใหม่ได้และมีสิทธิ อิสระในการตัดสินใจ ว่าจะเลือกใครเป็นนายกฯ  ซึ่งเชื่อว่าสิ่งที่เพื่อนสมาชิกให้การสนับสนุนตรงนี้ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง จากสภาพบ้านเมืองเมื่อปีที่แล้ว อีกทั้งผลการเลือกตั้งซ่อมก็จะได้ว่า รัฐบาลได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลชนะการเลือกตั้งถึง 21 เขต จาก 27 เขต ตรงนี้ตนจึงมีความชอบธรรมทุกประการในการเข้าสู่ตำแหน่งเป็นไปตามระบบ

 

 

"สุรพงษ์"ตั้ง 7 ข้อกล่าวหาส่งSMS

จากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 51  หลังนายอภิสิทธิ์  ได้รับการโหวตจากสภาฯ เป็นนายกฯ ได้ส่งข้อความสั้นผ่านโทรศัพท์มือถือ(เอสเอ็มเอส) ให้ลูกค้าบริษัทมือถือทั้ง 3 แห่ง โดยได้มีโทรศัพท์จากบุคคลหนึ่งติดต่อไปยัง 3 บริษัทมือถือ

 

ประกอบด้วยบริษัทเอไอเอส, ดีแทค และทรูมูฟ ขอความร่วมมือส่งข้อความจากนายอภิสิทธิ์ มาถึงเช้าวันที่ 16 ธ.ค.2551 เวลา 08.00 น. นายจิรายุ ดุลยานนท์ นักวิชาการคณะทำงานผู้นำฝ่ายค้าน เชิญผู้บริหารทั้ง 3 บริษัทเข้าประชุมที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ โดยมีนายกรณ์ โผล่ร่วมด้วย

 

"และได้รับทราบว่าการส่งเอสเอ็มเอสนั้น ผู้รับต้องมีความประสงค์รับ รวมทั้งการส่งมีค่าใช้จ่ายครั้งละ 1 บาท นายจิรายุจึงได้ขอร้องให้ทั้ง 3 บริษัทส่งเอสเอ็มเอส นายกรณ์ได้แจ้งว่าจะส่งจดหมายขอความร่วมมือให้ภายหลัง หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.51 ประชาชนได้ร้องเรียนไปยังบริษัทมือถือทั้ง 3 แห่ง ทำให้จากเดิมที่ต้องส่งเอสเอ็มเอส 50 ล้านเลขหมาย เหลือเพียงแค่ 5 ล้านเลขหมาย" นายสุรพงษ์ กล่าวและว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ตั้งข้อกล่าวหา 7 ประเด็น ประกอบด้วย 1.ใช้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ 2.เรียกร้องรับผิดประโยชน์ เกิน 3,000 บาท ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)กำหนดไว้ 3.ละเมิดสิทธิคนใช้มือถือ 4.ร่วมกันนำข้อมูลส่วนบุคคลให้บริษัทเอกชนทั้งที่ไม่ได้รับการยินยอม 5.ร่วมกับบริษัทเอกชนสมรู้ร่วมคิด หลีกเลี่ยงไม่ชำระภาษีเข้ารัฐ 6.ทำให้รัฐขาดรายได้ส่วนแบ่งจากสัมปทานมือถือ และ 7.ฉ้อโกงหรือฉ้อฉลเอกชนบริษัทมือถือทั้ง 3 บริษัท โดยไม่จ่ายค่าจ้างตามที่ตกลง

 

นอกจากนี้ ส่งรหัสไปรษณีย์ 5 หลักกลับมาให้บริษัทมือถือ ซึ่งจะทำให้รู้ได้ว่าผู้ส่งรหัสไปรษณีย์กลับมานั้นอยู่พื้นที่ใดในประเทศไทย อดคิดไม่ได้ ว่านายกฯ หวังตรวจสอบความนิยมในตัวเองและพรรคประชาธิปัตย์

 

 

"สุชาติ" จี้นายกฯยุบสภาสถานเดียว

นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีห้ามลาออก โดยใช้วิธีการยุบสภาถึงจะดีที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้กระทำการคลุมเครือ โดยกรณีการส่งเอสเอ็มเอสเป็นการละเมิดสิทธิมวลชนขั้นพื้นฐาน ซึ่งการส่งข้อความดังกล่าวได้สร้างความตกใจให้กับประชาชนในจ.ลพบุรีได้รับความตกใจว่ามีการเปลี่ยนรัฐบาล ดังนั้นการละเมิดสิทธิประชาชนนายกฯรัฐมนตรีต้องเป็นตัวอย่างที่ดี

 

นอกจากนั้นตามที่ตนได้ทราบมามีการขอความร่วมมือกับ 7 บริษัท ไม่ใช่ 3 บริษัท เงินที่ได้ดำเนินการดังกล่าวหายไปไหนหมด รวมทั้งยังไม่มีการจ่ายภาษี แต่ที่ตนทราบมาไม่มีบริษัทใดให้บริการฟรี แต่ที่ให้ตามคำขอร้องเพราะเกรงกลัวโดยนายกรณ์ใช้วิธีหักคอโดยบอกว่าอีก 2 วันจะมีการโปรดเกล้าฯ จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีตอบคำถามจุดนี้ด้วย สุดท้ายขอฝากสภาให้ระวัง โดยสถาบันทางการเงิน ต่างๆ ไม่ควรทำธุรกรรมทางการเงินกับรัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ เพราะไม่ได้มีการแถลงนโยบายอย่างถูกครรลองคลองธรรม หากมีการกู้เงินหรือทำธุรกรรมใดๆจากต่างประเทศขอให้พรรคประชาธิปัตย์รับผิดชอบเพียงผู้เดียว

 

 

แจงไอเดีย SMS สร้างสมานฉันท์

ด้าน นายอภิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวชี้แจงว่า วันที่ตนได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี และสถานการณ์ช่วงนั้นบ้านเมืองมีความแตกแยกสูง จึงต้องหาแนวทางสมานฉันท์ จึงคิดหาวิธีการสื่อสารไปยังประชาชนให้ได้มากที่สุด โดยได้หารือกับนายกรณ์ และทีมงาน แต่มีหลักการคือต้องดำเนินการภายใต้กฎหมาย และต้องครอบคลุมเรื่องประโยชน์และสิทธิเสรีภาพ อีกทั้งการส่งข้อความไปหาประชาชนเพื่อเป็นการทำความเข้าใจในการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน ส่วนที่เสนอให้ประชาชนทำการตอบกลับเป็นรหัสไปรษณีย์นั้น เพื่อเป็นประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐที่จะสามารถตัดสินใจในการให้ความช่วยเหลือในแต่ละพื้นที่ได้

 

ทั้งนี้ทุกอย่างเป็นความสมัครใจในการตอบกลับของผู้ใช้บริการไม่ใช่การขู่เข็ญ โดยที่ผ่านมามีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยได้ส่งกลับมา ดังนั้นจึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานแต่อย่างใด ซึ่งหากเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลการที่มีบุคคลนำเบอร์ของตนไปเผยแพร่ทางรายการวิทยุเพื่อให้ประชาชนส่งคำหยาบคายกลับมานั่นถือเป็นการละเมิดมากกว่า

 

 

กรณ์ย้ำ "มือถือ" ประชาธิปไตยสุด เพราะเข้าถึงทุกคน

เช่นเดียวกับนายกรณ์ ได้ขอให้สิทธิพาดพิงโดยระบุว่านายกรณ์ยังกล่าวว่ามือถือเป็นระบบการสื่อสารที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด เพราะเศรษฐีหรือคนจนมีมือถือกันหมด เข้าถึงหมดทุกคนแล้ว และได้มีการหารือทั้ง 3 บริษัทและได้ประเมินสถานการณ์ร่วมกันเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นการทำเพื่อสาธารณะประโยชน์ จึงไม่จำเป็นต้องเสียค่าจ่าย และไม่มีสัญญาผูกมัด เป็นการเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในสังคมร่วมกัน ซึ่งต้องยอมรับว่าผิดหวังในความใจแคบของฝ่ายค้านที่ไม่ยอมรับการใช้เทคนิคสมัยใหม่ ที่เป็นการสื่อสารที่ครอบคลุมอย่างทั่วถึง แม้สุดท้ายแล้วทั้ง 3 บริษัทจะมีการคาดหวังว่าหากประชาชนตอบกลับมาก็จะมีรายได้

 

 

ปชป.จี้สุนัยแจงใครคือหน.ตัวจริง เมินโฟนอินทักษิณเพราะไม่ใช่ม็อบข้างถนน

เวลาต่อมา นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่า ตอนพันธมิตรฯ ปลุกระดมเรื่องเขาพระวิหาร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มาพูดโจมตี ยิ่งคนไทยรักชาติ ชาตินิยมก็เห็นด้วย สงสารพี่น้องประชาชนที่ร่วมต่อสู้กับพันธมิตรฯ จนเป็นจนตาย ทั้งที่ถูกแกนนำหลอก จนทำให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีหลุดจากตำแหน่ง และได้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ อย่างไรก็ตาม เห็นว่านายกฯ ที่เข้ามาเป็นวันนี้ มีส่วนร่วมในการฆาตกรรมประชาธิปไตย เป็นอาชญากรทางประชาธิปไตย

 

"สงสารโชห่วย รัฐบาลออกเช็คช่วยชาติ 2 พันบาท ถามว่าเช็คดังกล่าวช่วยโชห่วยได้หรือไม่ แต่ต้องซื้อในเซเว่นอีเลฟเว่น ลูกเขยเซเว่นฯ ก็นั่งอยู่กับท่าน ถามว่าเป็นการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายหรือไม่ สงสารคนเสื้อเหลืองหวังจะเจอการเมืองใหม่ คงเจอแต่การเมืองเน่า ตั้งแต่ปลากระป๋อง ชุดนักเรียน ยันคุรุภัณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ"

 

อย่างไรก็ตาม เกิดเหตุชุลมุนเล็กน้อย ระหว่างนั้น นายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นประท้วงใช้สิทธิ์พาดพิงถูกนายสุนัยกล่าวหาเกี่ยวข้องกับของเน่า แต่นายชัยได้สั่งให้นั่งลง

 

ขณะเดียวกัน นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า ฝ่ายค้านกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคตัวปลอม และบอกว่าหัวหน้าพรรคตัวจริงอยู่ข้างนอก จึงอยากให้ตอบว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงชื่ออะไร และกล่าวว่า "เห็นมั้ย หัวหน้าพรรคผมนั่งหน้าซีดแล้ว เพราะไม่รู้ตัวเองเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม" และกล่าวว่า ถ้านายสุนัยไม่ถอนก็ไม่นั่ง

ทำให้นายชัย ชิดชอบ กล่าวว่า "ไม่เป็นไร ก็ยืนไป คนเมืองเพชรมันดุจริงๆ แล้วผมจะบอกเองว่าหัวหน้าพรรคปชป. เป็นใคร ฯพณฯ ประสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ทำให้ ส.ส.ในสภาหัวเราะ

นายสุนัย กล่าวว่า ถ้าอยากจะรู้จริงๆ ให้รอดูวันที่ 22 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะโฟนอินมาบอก แต่นายอภิชาต แสดงความไม่พอใจบอกว่านายสุนัยทำให้สภาเสื่อม เพราะที่นี่ไม่ใช่ม็อบข้างถนนที่ต้องมาฟังการโฟนอินของนักโทษหนีคดี และมีการโต้เถียงกันสักพักทำให้ ด้านนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ถูกพาดพิงว่าหน้าซีดนั้น ไม่ได้หน้าซีดเพราะท่านสุนัย แต่กลัวท่านอภิชาต ส.ส.เพชรบุรี มากกว่า ทำให้ ส.ส.ในสภาหัวเราะ

 

 

สุนัยเชือดทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์

เวลาต่อมา นายสุนัย กล่าวถึงกรณีการจัดซื้อครุภัณฑ์ ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ขณะนี้ตนมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น ทั้งที่มีการทักท้วงไปยังรัฐบาลก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ได้มีการประชุมในวันที่ 9 มีนาคม ที่ผ่านมา รวมถึงมีมติในข้อ 3. ชัดเจน ในการให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าราคาวัสดุครุภัณฑ์ ที่มีเป็นราคาที่บิดเบือนความเป็นจริง เนื่องจากมีการตั้งราคาใหม่ ซึ่งตนมีหลักฐานชัดเจนที่จะเอาผิดกับ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ และ น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ ทั้งนี้ตนจะได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  (ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิดกับบุคคลทั้งสอง

 

นายสุนัย กล่าวต่อว่า เรื่องของบุคคลภายนอกที่ได้กล่าวถึงในห้องประชุมนั้น ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนากล่าวพาดพิงนางนาถยา เบญจศิริวรรณ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แต่อย่างใด เนื่องจากบุคคลที่มีนามว่า "ปัญญา" ที่มีความเกี่ยวข้องและรู้จักกับนางนาถยา โดยที่ตนมีเอกสารยืนยันชัดเจน แต่นางนาถยากลับปฏิเสธว่าไม่รู้จักคนดังกล่าว แต่ตนเองก็ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการหมิ่นประมาท

 

 

เพื่อไทย-เพื่อแผ่นดินแลกของลับกลางสภา

ขณะที่นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายการทุจริตของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในนโยบายการจัดซื้อครุภัณฑ์ของสำนักงานการอาชีวะศึกษา ซึ่งทำให้นางสาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้องลุกขึ้นชี้แจงแทน และนายสุนัยยังได้เปิดเผยข้อมูลทุจริตบุคคลชื่อ "ปัญญา" โดยระบุว่าครอบครัวของนางนาถยา เบญจศิริวรรณ ส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์รู้จักดี

 

จากนั้นนางนาถยา ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่าบุคคลในครอบครัวไม่มีคนชื่อปัญญา และได้กล่าวถึงชื่อของสามีและลูกทั้งสามคน แต่ปรากฏว่านายสุนัยได้ยียวนด้วยการโต้ว่าตนไม่ได้บอกว่าคนในครอบครัวมีคน ชื่อปัญญา และนายสุนัยยังได้ถามถึงชื่อสามีของนางนาถยาอีกว่าตกลงชื่อสามีชื่ออะไร ขอทราบอีกครั้ง เพราะฟังไม่ถนัด รวมทั้งระบุว่าชื่อสามีที่กล่าวมาไม่ตรงกับหลักฐานที่ตนมี

 

ทั้งนี้ถัดมานายอภิชาต สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นถามนายสุนัยที่เคยให้สัญญาว่าจะเปิดเผยว่านายกรัฐมนตรีตัวจริงคือ ใคร เพราก่อนหน้านี้นายสุนัยได้บอกว่านายอภิสิทธิ์ไม่ใช่นายกฯตัวจริง แต่นายสุนัยก็ไม่ยอมเปิดเผย โดยอ้างว่าไม่พาดพิงคนนอก จากนั้นมีส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลคนหนึ่งลุกขึ้นประท้วง นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ที่ไม่ควบคุมการประชุม เพราะนายสุนัยไม่ได้อภิปรายในประเด็น แต่นายสุนัยก็ยังโต้เถียง จนทำให้นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน ลุกขึ้นประท้วงนายสุนัยว่า "เรารู้แนวทางกันและกัน ขอให้พี่สุนัยเลิกพูดวกไปวนมา ขอให้เข้าประเด็นดีกว่า"

 

ปรากฏว่านายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.อยุธยา พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงบ้างโดยถามนายชัย ชิดชอบ ประธานสภา ว่านายรณฤทธิชัย ใช้สิทธิ์อะไรในการประท้วง ถ้าจะใช้สิทธิ์รัฐมนตรี ขอให้รอปรับครม.รอบหน้า ซึ่งนายรณฤทธิชัย กล่าวว่า ตนขอรอบนี้แหละ และจากนั้นนายสุรเชษฐ์ที่นั่งอยู่ติดกับมุมของสื่อมวลชนได้กล่าวสวนนายรณ ฤทธิชัย ขึ้นว่า "_" จนทำให้นายรณฤทธิชัย ถึงกับบอกว่า "เฮ๊ย ค_ยเลยหรอ" และจากนั้นนายรณฤทธิชัย ปรี่จะเข้ามาหานายสุรเชษฐ์ แต่ก็ถูกเพื่อนส.ส.ห้ามไว้ ทว่านายสุรเชษฐ์ไม่ยอมหยุดและยังได้ท้านายรณฤทธิชัย ว่า "เฮ๊ย น้องไปเจอกันนอกห้อง" รวมทั้งยังได้ชูนิ้วกลางแสดงความท้าทาย จากนั้นนายสุรเชษฐ์ก็เดินออกจากห้องประชุมไป แต่นายรณฤทธิชัยไม่ได้เดินออกไปและยังนั่งอยู่กับที่เฉยๆ โดยมีนายนที สุทินเผือก (กรุง ศิริไล) ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย นั่งประกบให้นายรณฤทธิชัยใจเย็น เพราะเคยเป็นเพื่อนร่วมวงการบันเทิงด้วยกันมา

 

อย่างไรก็ตาม จากนั้นก็มีการประท้วงอีกเป็นระยะไม่มีทีท่าจะหยุดได้ จนทำให้นายชัย ต้องตวาดขอให้ทุกคนนั่งให้หมด และบอกว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีก

 

ในห้องประชุมสภาเกิดความตึงเครียดระหว่างการอภิปรายของ นายสุนัย จนทำให้มีการตอบโต้ไปมาระหว่าง ส.ส.ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล และระหว่างที่นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน กำลังอภิปราย ปรากฏว่าได้เกิดการชุลมุน ระหว่างนั้นมีเสียงตะโกนให้ของลับมา ทำให้นายรณฤทธิชัย ไม่พอใจ และปรี่เข้าไปหากลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย กระทั่งประธานสภาต้องรีบตัดบทว่า ที่นี่เป็นสภาของประเทศไทย และพยายามห้ามทั้ง 2 ฝ่าย ออกห่างกัน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์บานปลาย

 

 

เสื้อแดงชุมนุมรอบสภา

ขณะที่บรรยากาศรอบๆ สภา มีการชุมนุมประท้วงหลากหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มองค์กรเครือข่ายพุทธธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเรียกร้องให้รัฐบาลบัญญัติศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติ ยังคงปักหลักอยู่ที่บริเวณทางเดินเท้าข้างกำแพงรั้วสวนสัตว์ดุสิต ถนนอู่ทองใน ฝั่งตรงข้ามอาคารรัฐสภา

 

ขณะที่กลุ่มต่อต้านอภิสิทธิ์ชน ซึ่งเป็นแนวร่วมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. แสดงความไม่พอใจรัฐบาล พร้อมทำการเผาหุ่นจำลองที่มีรูปหน้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ตลอดการชุมนุมทั้งวันที่ผ่านมาของกลุ่มองค์กรเครือข่ายพุทธธรรมแห่งประเทศไทย และ กลุ่มต่อต้านอภิสิทธิ์ชน ไม่พบว่า มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด

 

 

"สุริยะใส" เมินอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฟัง "ทักษิณ" โฟนอินน่าติดตามกว่า

ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล วานนี้ (19 มี.ค.) ว่า เท่าที่ติดตามฟังการอภิปรายแล้ว ต้องยอมรับว่าข้อมูลส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเก่าที่มีการปราศรัยบนเวทีชุมนุมของ กลุ่ม นปช.มาก่อนแล้ว ไม่มีอะไรใหม่

 

"เนื้อหาหลักๆ มุ่งโจมตีและทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก เพราะพรรคเพื่อไทยทราบดีว่า นายกฯ เป็นจุดแข็งของรัฐบาลชุดนี้ ก็เลยพยายามนำเรื่องเล็กเรื่องน้อยเพื่อโยงเข้าหานายกฯ เช่น เรื่องเงินทีพีไอ เรื่องเกณฑ์ทหาร เรื่องมาตรา 7 ปัญหาในกระทรวงศึกษาฯ หรือแม้แต่ปัญหาเรื่องเล็กเรื่องน้อยของนายกฯ และภรรยา ที่อภิปรายโดย ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ก็สะท้อนให้เห็นว่า มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของตัวนายกฯ มากกว่าจะประเมินผลงานของรัฐบาล

 

"หรือแม้แต่การพาดพิงกล่าวหาพันธมิตรฯ ก็จงใจยัดเยียดข้อหาก่อการร้าย แต่ละเลยที่จะพูดถึงพฤติกรรมของรัฐบาลทรราชที่เป็นเหตุให้ประชาชนต้องลุกออก มาอารยะขัดขืนและเดินขบวนโค่นล้ม"

 

นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า น่าเสียดายที่ฝ่ายค้านไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ นโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยเฉพาะนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาคนตกงาน ปัญหาเกษตรกร ปัญหาความยากจน ไม่ได้ถูกพูดถึงแม้แต่นิดเดียว ทำให้รัฐสภาไม่ได้เป็นเวทีที่จะคลี่คลายปัญหาของประเทศชาติอย่างแท้จริง แต่กลายเป็นเวทีระบายแค้นทางการเมืองเท่านั้นเอง

 

"ถ้าเป็นแบบนี้ฝ่ายค้านไม่ต้องยื่นญัตติเปิดอภิปรายให้เสียเวลาก็ได้ ปล่อยให้คุณทักษิณโฟนอินตามงานวัด งานบวช งานแต่ง ยังดูน่าติดตามมากกว่า และน่าเป็นห่วงที่จนป่านนี้รัฐสภาไทยยังไม่ปรับตัวทั้งๆ ที่บ้านเมืองกำลังเดินเข้าสู่วิกฤตการณ์อย่างรอบด้าน แต่เรากลับยิ่งเห็นการทำงานของการเมืองแบบเก่าอย่างน่าสลดใจ" นายสุริยะใส กล่าว

 

 

ที่มา: เรียบเรียงจากประชาทรรศน์ พิมพ์ไทย NBT และ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ [1] [2]

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net