เมื่อวันที่ 31 มี.ค.รายงานข่าวจากนายตำรวจระดับสูงเปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า ขณะนี้คืบหน้าไปมากหลังจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.สั่งการฝ่ายที่เกี่ยวข้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ประกอบด้วยกองวินัย กองนิติการ กองคดี กองกำลังพล ที่ประชุมหยิบยกเรื่องต้องโทษคดีการเมืองที่ไม่ใช่คดีอาญาทั่วไปว่าจะเข้าองค์ประกอบว่าด้วยการถอดยศ ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 หรือไม่ ซึ่งที่ประชุมมีมติว่าควรยึดตามคำ พิพากษาของศาล ถือว่าเข้าองค์ประกอบว่าด้วยการถอดยศแล้ว

รายงานข่าวเปิดเผยด้วยว่า ตามระเบียบเมื่อถอดยศแล้วต้องดำเนินการขอพระราชทานคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ด้วย ควบคู่กันไป ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการของกองกำลังพลในการขอพระราชทานคืนเครื่องราชฯในส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณได้รับพระราชทานสมัยเป็นข้าราชการตำรวจ จากนั้นเสนอเรื่อง ผบ.ตร.พิจารณาและดำเนินการต่อไป

การถอดยศของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้มีตำรวจที่เข้าข่ายต้องถอดยศรวมอยู่ด้วยกว่า 10 คน โดยมีทั้งที่ต้องโทษยาเสพติดและหนีราชการ คาดว่าใช้เวลาไม่นานจะดำเนินการแล้วเสร็จ

"นพดล" ระบุฝ่ายการเมืองอยู่เบื้องหลัง สตช.

นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ทราบในเรื่องนี้ ซึ่งหากมีมติถอดยศชัดเจน ก็เป็นไปได้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะวิดีโอลิงค์โฟนอินมาแถลงข่าวแน่นอน เพราะถือว่าเป็นความอยุติธรรมอีกกรณีหนึ่ง โดยเฉพาะต้องดูว่าข้ออ้างที่สตช.จะหยิบยกเหตุผลคดีอาญามาเป็นองค์ประกอบว่าด้วยการถอดยศตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ทำได้หรือไม่ ซึ่งต้องไปดูตามหลักกฎหมายและระเบียบว่าได้เข้าองค์ประกอบว่าด้วยการถอดยศแล้วหรือไม่

นายนพดลกล่าวว่า หากมองจากจังหวะเวลาในการดำเนินการดังกล่าวในช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงนั้นตั้งข้อสังเกตได้ว่า การดำเนินการของสตช.มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง โดยเฉพาะเป็นไปได้ว่าอาจถูกรัฐบาลบีบให้สตช.เร่งถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณเพื่อดิสเครดิตการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง และพ.ต.ท.ทักษิณไปคราวเดียวกัน ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้สตช.ออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่าเป็นจริงแค่ไหน และมีใครสั่งการอยู่เบื้องหลังหรือไม่

"สุเทพ" ปัดไม่เคยสั่ง สตช.ถอดยศ "ทักษิณ"

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธไม่เคยสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ถือเป็นหน้าที่ของ สตช.ที่จะดำเนินการตามความเหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้เคยได้พูดคุยกันมาก่อนหน้านี้แล้วในช่วงที่เป็นรัฐบาลใหม่ๆ กระแสข่าวที่ออกมาจึงเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น

"ขอเรียนว่าอย่าไปฟังข่าวลือ ผมยังไม่เคยเห็นเรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ผมในฐานะรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงไม่เคยมีคำสั่งให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ" นายสุเทพ

อย่างไรก็ตามนายสุเทพ กล่าวยอมรับว่า เคยได้ยินข่าวเรื่องการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณจึงได้ให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ พบว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ2เดือนที่แล้ว ส.ส.เคยตั้งกระทู้ถามตนในสภา ก็แจงไปแล้วว่าเป็นเรื่องปกติของการทำหน้าที่ราชการไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือทหาร เมื่อได้รับพระราชทานยศก็ต้องดำรงตัวให้สมกับเกียรติที่ได้ดำรงยศอยู่ในขณะนั้น ถ้ามีความผิดหรือขาดความเหมาะสมที่จะดำรงยศนั้นต่อไป เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบก็ต้องดำเนินการตามกระบวนการแต่วันนี้ยืนยันว่ายังไม่เห็นเรื่อง

เมื่อถามว่าส่วนตัวคิดว่าควรมีการถอดยศในช่วงนี้หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายไม่ใช่หน้าที่ของตนที่จะวินิจฉัย มีคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการพิจารณาอยู่แล้ว ตนเป็นรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงมีหน้าที่บริหารรับผิดชอบกำกับดูแลสั่งการ สตช. แต่ไม่เคยสั่งการหรือส่งสัญญาณ

ที่มา: เว็บไซต์ข่าวสด, เว็บไซต์คมชัดลึก, เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์

ระเบียบการถอดยศ

ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ได้กำหนดเรื่องการถอดยศนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรไว้ในมาตรา 28 และมาตรา 29 ดังนี้

มาตรา 28 การถอดหรือการออกจากยศตำรวจชั้นสัญญาบัตร ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และให้ทำโดยประกาศพระบรมราชโองการ

มาตรา 29 การให้ออกจากว่าที่ยศตำรวจชั้นสัญญาบัตร หรือการถอด หรือการออกจากยศตำรวจชั้นประทวน ให้ผู้มีอำนาจสั่งตามมาตรา 26 วรรคสาม หรือมาตรา 27 แล้วแต่กรณี สั่งได้ตามระเบียบ สตช.

ระเบียบ สตช.ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2547 มีสาระสำคัญ ดังนี้

ข้อ 1 การเสนอขอถอดยศตำรวจ ทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการตำรวจ และที่พ้นจากราชการตำรวจไปแล้ว ให้กระทำใดเมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

 (1) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดว่า ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แม้ศาลจะพิพากษารอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ก็ตาม

 (2) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักว่าจำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท

 (3) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะก่อให้เกิดหนี้สินขึ้นโดยทุจริต

 (4) กระทำผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีคำสั่งขอโทษไล่ออกจากราชการ

 (5) ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ

 (6) ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไปสำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ

 (7) ถูกสั่งให้ออกจากราชการ เพราะขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่ก่อนได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ

ข้อ 2 หน้าที่ความรับผิดชอบในการพิจารณาและดำเนินการถอดยศตำรวจ

 (1) ข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ให้กองวินัยหรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบอำนาจในการดำเนินการทางวินัย มีหน้าที่รับผิดชอบในการพิจารณาว่า ผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศตามข้อ 1 แล้วแจ้งผลการพิจารณาพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้กองทะเบียนพลดำเนินการรวบรวมเสนอสตช.พิจารณาถอดยศ เว้นแต่กรณีตามข้อ 1 (7) เมื่อมีคำสั่งให้ออกจากราชการแล้ว ให้หน่วยต้นสังกัดดำเนินการส่งเรื่องให้กองทะเบียนพลรวบรวมเสนอ สตช.พิจารณาถอดยศต่อไป

 (2) ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งยศเป็นผู้รับผิดชอบในการพิจารณาว่า ผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศตามข้อ 1 แล้วดำเนินการสั่งถอดยศ พร้อมทั้งรายงานให้กองทะเบียนพล สตช.ทราบ

 (3) ให้ทุกหน่วยงานในสังกัด สตช.ที่รับทราบข้อมูลการต้องหาคดีอาญา หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือถูกฟ้องในคดีล้มละลาย อันเนื่องมาจากการก่อหนี้สินขึ้นโดยทุจริตของผู้ที่ดำรงยศตำรวจ ทั้งในส่วนของผู้ที่พ้นจากราชการไปแล้ว ทั้งในส่วนของผู้ที่พ้นจากราชการไป หรือยังคงรับราชการอยู่ในหน่วยงานอื่นของรัฐ หาข้อมูลเบื้องต้นให้แน่ชัดแล้วส่งเรื่องให้กองวินัยพิจารณา หากเห็นว่าผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศก็ให้ส่งเรื่องไปยังกองทะเบียนพลดำเนินการรวบรวมเสนอ สตช.พิจารณาถอดยศต่อไป