Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis


ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข


 


 


การปฏิเสธของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารหรือเกี่ยวข้องใดๆ ทางการเมือง หลังการแฉของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บนจอเวทีชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง แทบจะไม่ได้ช่วยทำให้คำถามที่ว่า ใครคือ "เส้น" ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำเกินเลยต่างๆ ตลอดช่วงก่อนหรือหลังการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยที่ตำรวจ ทหารไม่กล้าจัดการใดๆ มีคำตอบที่ชัดเจนขึ้นมาเลย


 


มีแต่ทำให้ข่าวลือและการคิดไปไกลหรือทำให้ตอกย้ำการคาดเดาต่างๆ ของผู้คนจำนวนมากชัดเจนขึ้นไปอีก


 


แต่ในกระแสเรื่องใครอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร การเปิดเผยรายชื่อของบุคคลที่เข้าร่วมพูดคุยกันที่บ้านสุขุมวิทเพื่อจุดประสงค์ "ล้มทักษิณ" ที่มีรายละเอียดตั้งแต่ "ทำให้หาย ทำให้ตาย และรัฐประหาร" สังคมไทยยังให้ความสำคัญกับ 2 รายชื่อที่ร่วมวงอยู่ด้วยน้อยเกินไป หนึ่งก็คือประธานศาลปกครอง อีกหนึ่งก็คือ อดีตประธานศาลฎีกา เพราะนัยของมันคือการแทรกแซงศาล ซึ่งควรจะต้องเป็นหลักในการใช้อำนาจอธิปไตยและมีอิสระสูงสุด แต่สื่อและสังคมไทยก็ทำเฉยๆ ไป


 


นับประสาอะไรกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในสภาพที่สื่อปิดกั้น กระนั้นก็ยังมีคนไปชุมนุมกันหลายหมื่น และมากขึ้นไปอีกหากนับรวมพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งแทบจะไม่มีทีวีช่องไหนให้ความสำคัญเป็นพิเศษ แม้ในวันที่ตำรวจออกประกาศขู่จะสลายม็อบเสื้อแดง ทีวีไทยก็ไม่ไปถ่ายทอดสดเหมือนที่เคยทำมา และหลายสำนักก็วิเคราะห์และกระทั่งชี้นำภาพการเคลื่อนไหวไปผิดๆ ทั้งจากไม่รู้ ทั้งจากจงใจบิด ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง


 


นักการเมือง สื่อ นักวิชาการ แกนนำภาคประชาชน และอดีตข้าราชการ ฯลฯ ที่รวมเป็นขบวนการอภิสิทธิชน (อย่างน้อยก็ในทัศนะของคนเสื้อแดง) หนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล หากไม่ตระหนักว่ากำลังสู้อยู่กับใคร ความมักง่ายในการประเมินวิเคราะห์ก็จะบังคับให้ต้องหยิบความรุนแรงมาใช้เป็นเครื่องมือ ความพ่ายแพ้ก็จะตามมา และจะเป็นความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับชนิดถึงรากเลยทีเดียว


 


ขบวนการอภิสิทธิ์เหล่านี้ พึงวิเคราะห์ให้จงหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดง แกนนำ และคุณทักษิณ อย่างน้อยหากมีข้อจำกัดในการวิเคราะห์ ก็พึงสะกิดสะเกาใจให้เหลือเผื่อแผ่ไปถึงคำตอบอื่นที่เป็นไปได้บ้างว่า กลุ่มคนเสื้อแดงที่ล้อมทำเนียบและเริ่มต้นแสดงศักยภาพล้อมศาลากลางเกินกว่าครึ่งประเทศนี้เขาสู้กันเพื่ออะไร


 


คุณอาจจะเห็นน้ำตาของผู้คนที่มองภาพบนจอขณะที่ทักษิณกำลังปราศรัย แต่ทักษิณ ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกจากตัวแทนวันชื่นคืนสุขที่เขาเคยได้รับ และวันชื่นคืนสุขนั้นไม่ใช่ผลของนโยบายที่กินได้ที่เขาเคยได้รับเท่านั้น แต่มันคือความรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของประเทศ มีเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นคน แบบที่ไม่ต้องมายืนแถวเข้าคิวเพื่อรอรับเช็คช่วยชาติ 2,000 พันบาทราวกับการเทกระจาดวันสารท


 


ไม่ว่าอย่างไร อัตราความรักทักษิณของเขาไม่ได้มากไปกว่าความเกลียดที่ท่านอภิชนเหล่านี้มีต่อทักษิณหรอก แรงผลักและขับดันให้กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาบนท้องถนนที่เรียกว่า "รักทักษิณ" จึงน่าจะน้อยเกินไปหากไม่มีเรื่องราวหรือ story ที่แฝงและฝังอยู่กับ "ทักษิณ" เป็นแรงผลักดันอยู่ด้วย


 


ความเข้าใจแบบนี้ ไปถามคนเสื้อแดงคุณก็อาจจะไม่ได้รับคำตอบ เพราะเขาก็อธิบายไม่ถูก มีแต่ต้องลงไปสัมผัส แต่นั่นแหละ อะไรจะเอื้อให้คุณสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ ต้องทลายกำแพงชนิดไหนในตัวคุณลงไป ผมก็ไม่อาจก้าวล่วง และเชื่อเอาว่าคงต้องอาศัยเวลากว่าที่ท่านเหล่านี้และ "เรา" จะตามทันมวลชนเสื้อแดงเหล่านี้


 


ความเก็บกดที่เกิดจากการที่สื่อและผู้กุมอำนาจนำทั้งหลายไม่สนใจคนเสื้อแดงเหล่านี้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน ณ วันนี้ คนเสื้อแดงก็ไม่สนใจคุณอีกแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นสื่อ เป็นนักการเมือง เป็นนักวิชาการ หรือแม้แต่เป็นคุณทักษิณเอง


 


ไม่มีสื่อ เขาสร้างสื่อเอง ไม่มีคนนำ เขาก่อรูปการนำเอง ไม่มีเป้าหมายเขาหาเป้าเอง และเป้านั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นๆ ตามการรับรู้และเข้าใจ กระทั่งสะเทือนต่อความมั่นคงของรัฐในแบบเดิม


 


ใครที่ยังมัวหลงคิดไปว่า กลุ่มเสื้อแดงที่มีอยู่ในทุกตรอกซอกซอย สื่อสารผ่านวิทยุชุมชน หรือเดินแจกเอกสารเหล่านั้น ซึ่งประมาณกันว่าไม่น้อยกว่า 3,000 กลุ่มทั่วประเทศ เกิดขึ้นจากการจัดตั้งของเครือข่ายทักษิณล่ะก็ ผิดถนัด! และผิดอย่างมหันต์ และจะอันตรายมากหากใช้ความเชื่อนั้นไปประเมินเพื่อรับมือสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง


 


ที่จริงในวงของนักวิเคราะห์ชั้นนำหลายกลุ่ม ที่ไม่ได้ยอมตนสวามิภักดิ์แนวทางของเสื้อเหลือง ต่างก็สรุปตรงกันมานานแล้วว่า แกนนำและทักษิณนั้น "ตามไม่ทันมวลชน" หลายๆ กลุ่มเหล่านี้ กล่าวคือ มีความต้องการและความเร็วที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงไม่เท่ามวลชนอีกจำนวนมาก


 


กระนั้นปัญหาเหล่านี้คลี่คลายไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อทักษิณและแกนนำขยับจังหวะการเคลื่อนไหวและข้อเรียกร้องของตัวเองให้ขึ้นไปอีกขั้น สู่ระดับ "ทำให้สามัญชนทุกคนเท่ากัน" ด้วยการยอมเปิดฉากแฉองคมนตรี วิจารณ์ได้ ไล่ได้ กระทั่งใช้สรรพนามเรียก "มัน" ได้


 


พึงตระหนักว่า ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ ฯพณฯองคมนตรี เหล่านั้นอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารหรือไม่ แต่ความสำคัญกลับไปอยู่ที่ "ทำให้สามัญชนทุกคนเท่ากัน"


 


นี่เป็นเหตุผลสำคัญหรือไม่ที่ทำให้เราได้เห็นพลังของคนเสื้อแดงแห่แหน ฮึกเหิม และรวมตัวได้อย่างรวดเร็วกว่าทุกครั้ง


 


มองในแง่นี้ จึงควรจะรู้ไว้ว่า กลุ่มคนเสื้อแดง เขาใช้ทักษิณเป็นเครื่องมือ สู้เพื่อประชาธิปไตยของเขา มากกว่าที่ทักษิณจะใช้เขาเป็นเครื่องมือสู้เพื่อให้ได้กลับมามีอำนาจวาสนา


 


หากไม่มีแกนนำและทักษิณ การเคลื่อนของกลุ่มคนเสื้อแดงก็จำต้องเกิดขึ้นอยู่ดี อาจจะต้องรอจนเกิดผู้นำตามธรรมชาติที่สามารถระดมเสื้อแดงเหล่านี้เข้าด้วยกัน และกำหนดเป้าของเขาเอง บางทีเป้าการเคลื่อนไหวแบบนั้นอาจจะเป็นไปเพื่อการเปลี่ยนแปลงแบบถอนราก หรืออาจจะมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่ใครก็ควบคุมไม่ได้ ซึ่งอาจจะเสี่ยงต่อความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในรูปแบบสงครามกลางเมือง


 


พูดแบบไม่เข้าใครออกใคร การขยับเป้าขึ้นของแกนนำและทักษิณให้ทันมวลชนเสื้อแดง (หลายๆ กลุ่ม) มองในแง่หนึ่งจึงคือความพยายามดับไฟ หรือชะลอการเปลี่ยนแปลง หรือใช้ศัพท์แสงก็อาจจะได้ว่า เปลี่ยนสภาพการณ์ที่อาจจะนำไปสู่ "การปฏิวัติ" ให้เป็นแค่ "THAILAND NEEDS CHANGE"


 


ทักษิณฉวยโอกาสหรือไม่ไม่รู้ แต่ส่งผลดีแน่ๆ ต่ออำนาจเก่า อำนาจเก่ากว่า แต่ไม่ดีแน่สำหรับคนที่ครองอำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในระดับพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำกองทัพ และองคมนตรีที่เล่นการเมือง


 


อย่างไรก็ตาม แกนนำการชุมนุมและทักษิณก็ดูจะต้องเผชิญความยากลำบากไม่น้อยในการรับมือกับแรงกดดันของมวลชน หากคุณติดตามการชุมนุมชนิดเกาะติด ก็น่าจะสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในการพูดหรือการให้น้ำหนักต่อเรื่องราวต่างๆ บนเวที การเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมสะท้อนว่า มีการประเมินมวลชนอยู่ตลอดเวลา


 


แต่เอาล่ะ ทั้งหมดนั้นคือข้อวิเคราะห์ซึ่งจะอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป


 


ประเด็นสำคัญก็คือ ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ใครที่เคยทำอะไร วันนี้เขาทำอะไรกัน


 


พูดตามตรงเลย เรายังแอบหวังถึงการปฏิบัติแบบเท่าเทียมกันโดยยึดหลักการของกลุ่มนักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ ปัญญาชน และองค์กรพัฒนาเอกชน เหมือนที่เคยออกมาเฝ้าระวังเรื่องความรุนแรง ส่งผลเป็นการขยายความกลัวเรื่องสงครามกลางเมือง และส่งผลทางการเมืองเป็นการกดดันรัฐบาลพลังประชาชนในครั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุม และพึงตระหนักว่า การเงียบเมื่อถึงคราวการชุมนุมของเสื้อแดง อาจเท่ากับการผลักตัวเองให้ไปอยู่ร่วมด้วยในขบวนการอภิสิทธิชน


 


องค์กรวิชาชีพสื่อ และนักวิชาการสื่อ มีท่าทีอย่างไร เมื่อรัฐมนตรีสื่อขอความร่วมมือกับบรรณาธิการไม่ให้นำเสนอข่าวเสื้อแดง หรือแรงกดดันให้ปิดเคเบิลทีวี ตามด้วยวิทยุชุมชน ทั้งๆ ที่พิจารณาด้วยใจเป็นธรรม รายการเหล่านี้แทบจะหาคำหยาบสักคำได้ยาก แต่มีใครออกมาปกป้องเสรีภาพของสื่อเหล่านี้เหมือนที่เคยมีเคยทำกับฝ่ายเสื้อเหลืองหรือไม่


น่าสงสัยด้วยว่า สื่อกระแสหลัก "ทำหน้าที่ปิดกั้น" มากกว่าจะนำเสนอข่าวสารความเคลื่อนไหวและข้อเท็จจริงหรือไม่ ซึ่งจะยิ่งทำให้เพิ่มแรงดันของความอึดอัดคับข้องให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปอีกหรือไม่


 


ยังไม่นับปฏิกริยาตอบสนองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สร้างผลในทางยั่วยุมากกว่าอย่างอื่น


 


อย่าลืมว่า สำหรับคนเสื้อแดงนั้น เขาเกลียดอำมาตยาธิปไตยในเชิงอุดมคติที่ปรารถนาจะให้ "คนเท่ากัน" แต่สำหรับกลุ่ม "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" นั้น คือความเกลียดที่เป็นรูปธรรม


 


จะอย่างไรเสียในระยะยาวแล้ว การต่อสู้เรียกร้องขอความเสมอภาค ขอความยุติธรรม ผ่านการต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตยนั้น ย่อมส่งผลดีต่อประชาธิปไตยแน่ แต่การต่อสู้กับ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" มีแต่ความรุนแรง ไร้ประโยชน์ และรังแต่จะสร้างบาดแผล


 


รัฐ การเมือง ปัญญาชน เอ็นจีโอ และสื่อ จึงควรหยุดยั้ง "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ซึ่งตายไปแล้วในทางประวัติศาสตร์ มากกว่าจะหยุดยั้งเสื้อแดง และปล่อยให้การต่อสู้ด้วยการชุมนุมอย่างสันติตามสิทธิเสรีภาพกระทำได้ในเป้าที่ "พอดี" นี้ ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักตอบสนองข้อเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือไม่เช่นนั้นก็ทำความจริงให้ปรากฏเป็นที่ยอมรับให้ได้ ทั้งในประเด็นเรื่องความรับผิดชอบต่อการรัฐประหาร "เส้น" กระบวนการยุติธรรม การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุบสภา ฯลฯ


 


รัฐ การเมือง ปัญญาชน เอ็นจีโอ สื่อ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือขบวนการอภิสิทธิชนในทัศนะของกลุ่มคนเสื้อแดง ควรจะเก็บรับบทเรียนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่ยอมถอยจนทำให้ต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูปมาศึกษา


 


เว้นเสียแต่ "ขบวนการอภิสิทธิชน" เหล่านี้นี่เองที่อยากจะขยับเป้านั้นเสียเอง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net