ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2552

การเมือง
ประชุม คกก.สมานฉันท์ ยังหาข้อสรุปเรื่องตั้งอนุฯไม่ได้
 วันนี้(12 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาแนวทางแก้ไข รัฐธรรมนูญ นัดที่สอง ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ที่ผ่านมา ยังไม่สามารถหาข้อสรุปในประเด็นต่างๆ ได้ โดยเฉพาะข้อเสนอตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อรองรับการทำงาน เนื่องจากมีความเห็นที่หลากหลาย ทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน เนื่องจากเกรงว่าหากมีคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีก จะทำให้กรอบการทำงานที่ตั้งไว้ 45 วัน ไม่สามารถดำเนินการได้ทัน
ด้าน นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ระบุว่า ได้เสนอตัวเป็นแกนกลางในการทำความเข้าใจกับสองพรรคใหญ่ คือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อยุติความขัดแย้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้ตอบรับแล้ว ต่อไปก็จะหารือกับพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ตาม ก็ถูกนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ กรรมการพรรคประชาธิปัตย์ ค้านว่า แม้สองพรรคจะจับมือกันก็ไม่สามารถทำให้ปัญหาการเมืองในขณะนี้ยุติได้
ที่มา: www.dailynews.co.th
นพดลรับทักษิณประมูลซื้อเกาะในมอนเตเนโกรปั้นเป็นที่ท่องเที่ยว กษิตสั่งตรวจสอบปท.ให้พาสปอร์ต
กษิตสั่งตรวจสอบมอนเตเนโกให้พาสปอร์ตทักษิณ
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวเมื่อวันที่ 12 พ.ค. ถึงกรณีที่มีรายงานข่าวระบุว่าองค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอ ของสาธารณรัฐมอนเตเนโกร เปิดเผยว่า รัฐบาลมอนเตเนโกรออกหนังสือเดินทางให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้ไปตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงตามข่าวที่เกิดขึ้นว่าสาธารณรัฐมอนเตเนโกร ออกหนังสือเดินทางให้จริงหรือไม่ และข่าวดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ด้วย โดยให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ซึ่งดูแลพื้นที่ดังกล่าวตรวจสอบ เนื่องจากไทยและสาธารณรัฐมอนเตเนโกร เพิ่งมีความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปลายปี 2550 จึงยังไม่มีการตั้งสถานเอกอัครราชทูต
ส่วน กรณีที่มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะซื้อเกาะในประเทศดังกล่าวในเบื้องต้นคงยังไม่มีการตรวจสอบ เพราะถือเป็นสิทธิของนักธุรกิจทั่วไปที่จะดำเนินการได้ ทั้งนี้ ย้ำว่าไทยได้ดำเนินการกับประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูต โดยขอความร่วมมือให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคลที่ทางการไทยต้องการตัวมาดำเนิน คดีทางกฎหมาย
มี รายงานว่า นอกจากกระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการให้สถานทูตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ซึ่งเป็นสถานเอกอัครราชทูตที่ใกล้ประเทศมอนเตเนโกรมากที่สุด ได้ตรวจสอบเรื่องหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว อีกทั้งยังได้สั่งการไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุง ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ประสานกับสถานเอกอัครราชทูตมอนเตเนโกร ณ กรุง ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นสถานเอกอัครราชทูตที่ใกล้กับประเทศไทยมากที่สุด และยังให้คณะทูตถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ต่อกับคณะทูตถาวรมอนเตเนโกร ประจำสหประชาชาติ ให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเช่นเดียวกัน 
ตรวจสอบหนังสือเดินทาง"แม้ว"
ด้าน นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวกรณีที่มีรายงานข่าวระบุว่าองค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอของสาธารณรัฐ มอนเตเนโกร เปิดเผยว่า รัฐบาลมอนเตเนโกรออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้ไปตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงตามข่าวที่เกิดขึ้นว่าสาธารณรัฐมอนเตเนโกรออก หนังสือเดินทางให้จริงหรือไม่ และข่าวดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ โดยให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ซึ่งดูแลพื้นที่ดังกล่าวตรวจสอบ เนื่องจากไทยและสาธารณรัฐมอนเตเนโกรเพิ่งมีความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปลาย ปี 2550 จึงยังไม่มีการตั้งสถานเอกอัครราชทูต ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะซื้อเกาะในประเทศดังกล่าวก็ยังไม่มีการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ไทยได้ดำเนินการกับประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูต โดยขอความร่วมมือให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคลที่ทางการไทยต้องการตัวมาดำเนิน คดีทางกฎหมาย
รายงาน ข่าวระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ประสานกับสถานเอกอัครราชทูตมอนเตเนโกร ณ กรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นสถานเอกอัครราชทูตที่ใกล้กับไทยมากที่สุด และให้คณะทูตถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ติดต่อกับคณะทูตถาวรมอนเตเนโกรประจำสหประชาชาติ ให้ตรวจสอบการออกหนังสือเดินทางเช่นกัน
คิดปั้นเกาะเป็นแหล่งท่องเที่ยว
นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวเมื่อวันที่ 12 พ.ค. ว่า ได้ตรวจสอบกับฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องการประมูลเกาะแล้ว แล้วพบว่ามีรายชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นหนึ่งในผู้ร่วมประมูลจริง เพื่อนำเกาะดังกล่าวไปทำธุรกิจท่องเที่ยว เพราะด้วยศักยภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพื้นที่ดังกล่าวสามารถบริหารให้เจริญรุ่งเรืองได้ในระยะเวลาไม่นานนัก และเคยได้ยินว่าเตรียมที่จะลงทุนในธุรกิจเหมืองทองคำในแอฟริกาด้วย แตกต่างกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่บริหารไม่เป็น โดยตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ทำงานมายังไม่มีผลงานปรากฏให้เห็น ซ้ำร้ายยังไปกู้หนี้ยืมสินประเทศต่างๆ เดิมได้กู้เอาไว้ 2 แสนล้านแล้วยังเตรียมที่จะกู้อีก 8 แสนล้าน รวมแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท 
"นพดล"รับ"แม้ว"มีชื่อโผล่ประมูลซื้อเกาะในมอนเตเนโกร
ทาง ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกระแสข่าว พ.ต.ท. ทักษิณ มีชื่อในการประมูลซื้ออสังหาริมทรัพย์ ส่วนหนึ่งในเกาะสเวติ นิโคลา ประเทศมอนเตเนโกร ว่า พ.ต.ท.ทักษิณสนใจจะไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเกาะดังกล่าวจริง ขณะนี้กำลังพูดคุยเจรจากับนักธุรกิจ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป โดยวัตถุประสงค์ในการซื้อครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการจะลงทุนเพื่อพัฒนาให้เกาะดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆ ของโลก เพราะก่อนหน้านี้ได้ประเมินข้อมูล ทั้งศักยภาพและทรัพยากรภายในเกาะมาแล้ว
เมื่อ ถามถึงมีการมองว่าการซื้อเกาะดังกล่าว เพื่อต้องการนำไปสู่การขอพาสปอร์ตเสรีว่า ตามหลักการทูต พาสปอร์ตเสรีไม่มี การเข้าออกประเทศใด ต้องขอวีซ่าและพาสปอร์ตเป็นรายประเทศ แต่พ.ต.ท.ทักษิณ มีเพื่อนต่างชาติหลายประเทศเห็นใจที่ถูกกลั่นแกล้งการเมือง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีพาสปอร์ต 2 ประเภท คือ ทางการทูตและบุคคลธรรมดา
"มาร์ค"ไม่ยัน"แม้ว"ร่วมประมูล"เกาะมอนเตเนโกร"
ขณะ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีชื่อเป็นผู้ร่วมประมูลเกาะในประเทศมอนเตเนโกร ซึ่งจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้วีซ่าเสรีในการเดินทางเข้าสหภาพยุโรปทันทีว่า เห็นรายงานมาอยู่ แต่ยังไม่ได้มีอะไรยืนยัน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศกำลังติดตามเรื่องนี้อยู่
"เทพเทือก"พร้อมดำเนินการหาก"แม้ว"ปลุกปั่นต่างแดน
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวเมื่อวันที่ 12 พ.ค.ถึง กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมขอวีซ่าเสรี เพื่อเดินทางเข้าประเทศในแถบยุโรป ว่า ยังไม่ได้รับรายงานในเรื่องนี้ แต่หากเข้าประเทศแล้วเกิดการปลุกปั่น ให้เกิดความไม่สงบภายในประเทศไทย ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ก็พร้อมดำเนินการทันที หากพบว่าทำผิดกฎหมาย
ที่มา: www.matichon.co.th
เศรษฐกิจ
นายกฯสั่งตั้งกรรมการคนนอกตรวจสอบโครงการเงินกู้
ติดตาม ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในโครงการ ลงทุนตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือเอสพี 2 เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส โดยจะเชิญบุคคลภายนอกที่เชี่ยวชาญ มีความเป็นกลาง โปร่งใส มาร่วมตรวจสอบ
วัน นี้ (12 พ.ค.) นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีแนวคิดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในโครงการ ลงทุนตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือเอสพี 2 เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส โดยจะเชิญบุคคลภายนอกที่เชี่ยวชาญ มีความเป็นกลาง โปร่งใส มาร่วมตรวจสอบ ทั้งในส่วนของการประมูล และการจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการ เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมารายงานให้รัฐบาลทราบถึงความคืบหน้าของโครงการและแจ้ง ให้ประชาชนรับทราบ จะได้เกิดความมั่นใจและคลายความกังวลว่าเงินที่รัฐบาลกู้มา ถูกนำไปลงทุนในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ตามวัตถุประสงค์
"ยืนยัน ว่าต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินที่กู้ มาทั้งหมด ว่ามีการนำไปลงทุนและเกิดประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจ แม้ว่าจะมีหลายฝ่ายเกรงว่าจะมีการรั่วไหลแต่ต้องยอมรับความจริงว่าตามระบบงบ ประมาณแล้วก็มีการทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นในหลายโครงการ ดังนั้นการใช้เงินกู้หรือเงินนอกงบประมาณเพื่อมาลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งนี้ ประชาชนต้องช่วยกันตรวจสอบ" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
นา ยกอร์ปศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการที่มีความต้องการใช้เงินกู้ก้อนแรกจำนวน 200,000ล้านบาทก่อนในลำดับแรกๆ มีหลายโครงการมาก ทางนายกรัฐมนตรีจึงได้กำชับว่าต้องจัดทำบัญชีโครงการให้ชัดเจนเพื่อนำเสนอ ต่อที่ประชุมสภา ฯ เพื่อให้ทราบข้อมูลที่ชัดเจนโดยครอบคลุมทั้งโครงการก่อสร้างแหล่งน้ำทั่ว ประเทศ โครงการก่อสร้างถนนทั่วประเทศ โครงการก่อสร้างโรงพยาบาล สถานีอำนามัย ทุกตำบลทั่วประเทศ หรือการจัดสร้างห้องสมุดโรงเรียนทั่วประเทศ เป็นต้น
รอง นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านเตรียมล่ารายชื่อ ส.ส. ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะเห็นว่าการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 400,000 ล้านบาท ของรัฐบาลอาจขัดรัฐธรรมนูญนั้น ทางรัฐบาลได้ตรวจสอบข้อกฎหมายและให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบแล้ว ยืนยันว่า เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่าง โดยมั่นใจว่าจะชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้แน่นอน เพราะเป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้
ที่มา: http://www.thairath.co.th
"อภิศักดิ์"มั่นใจแบงก์ไทยประคองตัวฝ่าวิกฤติได้
ประธาน สมาคมธนาคารไทย แนะสมาชิกปั๊มรายได้ค่าธรรมเนียม หลังประเมินสถานการณ์ปีนี้กำไรกลุ่มแบงก์ลด เอ็นพีแอลพุ่ง ยืนยันยังไม่จำเป็นต้องปรับลดพนักงาน
นาย อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าววันนี้ (12 พ.ค.) ว่า วิกฤติเครดิตที่กำลังจะเกิดขึ้นมาใหม่ในไตรมาส3-4นี้ เชื่อว่าระบบแบงก์พาณิชย์ไทยจะสามารถรองรับได้ เนื่องจากมีประสบการณ์จากวิกฤติเมื่อปี 40 มาแล้ว แต่หากให้ประเมินสถานการณ์จากนี้ไปถึงสิ้นปีก็เชื่อว่าภาพโดยรวมของระบบ แบงก์จะมีกำไรลดลง ยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล เพิ่มขึ้น ซึ่งก็มีทั้งเอ็นพีแอลใหม่และเอ็นพีแอลย้อนกลับ และตอนนี้ก็ได้เห็นแล้วสังเกตจากไตรมาสแรกที่ทุกแบงก์มียอดเอ็นพีแอลเพิ่ม
"ใน ช่วงที่เกิดวิกฤติอยู่ในขณะนี้ สิ่งเดียวที่พอจะดำเนินการได้คือ ต้องหาวิธีลดต้นทุนเพื่อให้ผ่านพ้นไปให้ได้ภายใน 1-2 ปีนับจากนี้ และต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือ เลย์ออฟพนักงานออก เช่นเดียวกันกับการเสนอให้แบงก์พาณิชย์ลดส่งเงินสมทบให้กับกองทุนเพื่อการ ฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ก็ถือว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ" นายอภิศักดิ์ กล่าว
กรรมการ ผู้จัดการ ธ.กรุงไทย กล่าวว่า ในภาพรวมของระบบธนาคารขณะนี้ แม้ว่าโดยรวมแล้วจะไม่ดี แต่ก็ยังไม่มีความจำเป็นต้องมีการลดจำนวนพนักงาน ซึ่งบุคลากรของแบงก์นั้นมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาเอาไว้ แต่ต้องเพิ่มความรู้เพิ่มเติมให้กับพนักงาน ช่วงนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพราะในภาวะที่ไม่ดีควรเพิ่มความรู้ให้กับ พนักงาน
สำหรับ เรื่องการลดเงินส่งสมทบให้กับสถาบันประกันเงินฝาก เพื่อนำเงินมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หรือลดดอกเบี้ยเงินกู้นั้น นายอภิศักดิ์ กล่าวว่าขณะนี้ไม่สามารถดำเนินการได้ แนวทางที่จะดำเนินการได้คือธนาคารต้องหันมาให้ความช่วยเหลือลูกค้า ด้วยวิธีการต่างๆ เช่นลดดอกเบี้ย ยืดอายุการชำระหนี้ ส่วนลูกค้าก็ต้องจัดทำแผนมาให้ธนาคารพิจารณาด้วย โดยไม่จำเป็นต้องส่งรายละเอียดไปให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เพราะแบงก์ เองก็ต้องดำเนินการจัดชั้นหนี้อยู่แล้ว เรื่องนี้ธนาคารกรุงไทยได้ดำเนินการมาตลอด เพราะเป็นแบงก์รัฐ ต้องมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว
ที่มา: http://www.thairath.co.th
BOIโหมสัมมนากระตุ้นลงทุนอีสาน สี่เดือนยื่นขอส่งเสริม45โครงการ 8 พันล้าน
ศูนย์ข่าวนครราชสีมา – “บีโอไอ” โหมจัดสัมมนาผลักดันการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอีสาน ครั้งใหญ่ 29 พ.ค. “ชาญชัย” รมว.เป็นประธานเปิดงานพร้อมถก “ทิศทางใหม่ลงทุนอีสาน” ร่วม นักธุรกิจไทย-ต่างประเทศ เผยภาวะลงทุน 19 จว.อีสาน 4 เดือนแรกยื่นขอส่งเสริมแล้ว 45 โครงการ ร่วม 8,000 ล้านบาท อนุมัติแล้ว 24 โครงการ มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท จ่อไฟเขียวอีกร่วม 4,000 ล้านบาท ส่วนอุตสาหกรรมดาวเด่นยังอยู่ที่ อุตฯ เกษตร และ พลังงานทดแทน
นาย สุวิชช์ ฉั่ววิเชียร ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 2 (จ.นครราชสีมา) คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผย ว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้กำหนดจัดการสัมมนา เรื่อง “ผลักดันการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ใน วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม ตั้งแต่ เวลา 09.00 - 14.00 น. ณ ห้องสีมาธานีบอลรูม โรงแรมสีมาธานี อ.เมือง จ.นครราชสีมาโดยมี นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน พร้อมปาฐกถาพิเศษ
วัตถุประสงค์ หลักของการจัดสัมมนากระตุ้นเศรษฐกิจการลงทุนครั้งใหญ่ในภาคอีสาน เพื่อให้นักธุรกิจนักลงทุนทั้งชาวไทย ต่างประเทศและผู้เข้าร่วมงานได้ทราบถึงมาตรการกระตุ้นการลงทุนใหม่ๆ รวมทั้งนโยบายและทิศทางการส่งเสริมการลงทุนในอนาคตของภาคอีสาน ซึ่งจะมีการอภิปรายในหัวข้อเรื่อง “ทิศทางใหม่ของการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” โดย นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย รวมทั้งเปิดรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะและตอบข้อซักถาม ของนักลงทุนท้องถิ่นและนักลงทุนต่างประเทศ ด้วย
 “การ สัมมนาดังกล่าวจะมีผู้เข้าร่วมงาน ประกอบด้วย นักลงทุนไทย นักลงทุนต่างประเทศ หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม และ หอการค้าจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมกว่า 500 คน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น และ ผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 2 ภายในวันที่ 25 พฤษภาคม นี้” นายสุวิชช์ กล่าว
นาย สุวิชช์ กล่าวต่อว่า สำหรับภาวะการส่งเสริมการลงทุนภาคอีสาน 19 จังหวัดในช่วง 4 เดือนแรก (มกราคม-เมษายน) ปี 2552 ล่าสุด มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้วรวมทั้งสิ้น 45 โครงการ รวมเงินลงทุน 7,913 ล้านบาท จะเกิดการจ้างงานกว่า 6,600 คน ในจำนวนนี้มีโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนแล้วในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมารวมทั้งสิ้น 24 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 4,011 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงาน 4,817 คน จึงเหลือโครงการที่อยู่ระหว่างการรอพิจารณาอีก 21 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 3,902 ล้านบาท จะเกิดการจ้างงาน 1,765 คน
โครงการ ที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเกษตรและเกษตรแปรรูป ได้แก่ กิจการเลี้ยงสัตว์ (ไก่เนื้อ ไข่ไก่) กิจการผลิตสิ่งปรุงแต่งอาหาร กิจการคัดคุณภาพข้าว และอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค ได้แก่ กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากชีวมวล กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ กิจการเขตอุตสาหกรรม กิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลาง
อย่างไร ก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา พบว่า จำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุนที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนลดลงเล็ก น้อย คือ ช่วง 4 เดือนแรกปี 2551 ภาคอีสานได้รับส่งเสริมการลงทุน 34 โครงการ รวมเงินลงทุน 4,295 ล้านบาท
สำหรับ โครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน ล่าสุดในเดือน เมษายน ที่ผ่านมา มีทั้งหมด รวม 3 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 530 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 85 คน อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 2 (จ.นครราชสีมา) จำนวน 2 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนร่วม 490 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ จ.นครราชสีมา และ อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของ ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 3 (จ.ขอนแก่น) จำนวน 1โครงการมูลค่าการลงทุน 40 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ จ.มุกดาหาร
ประกอบ ด้วย1. โครงการเลี้ยงสัตว์(ไก่เนื้อ) ของ บริษัท เอสพีพี ฟาร์ม จำกัด มีกำลังการผลิตไก่เนื้อปีละประมาณ 1,368,600 ตัว/ปี เงินลงทุน 40 ล้านบาท เป็นหุ้นไทยทั้งสิ้น เกิดการจ้างงาน 18 คน ที่ตั้ง จ.บุรีรัมย์2. โครงการผลิตชิ้นส่วนอะลูมิเนียมที่ใช้สำหรับยานยนต์ ของ บริษัท ฮอนด้า เฟาดรี (เอเซียน) จำกัด มีกำลังการผลิตชิ้นส่วนอะลูมิเนียมฯ ปีละประมาณ 210,000 ชิ้น/ปี เงินลงทุน 449.7 ล้านบาท เป็นการร่วมหุ้นระหว่างไทยและญี่ปุ่น เกิดการจ้างงาน 46 คน ที่ตั้ง จ.นครราชสีมา
3.โครงการพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ ของ บริษัท พรีเมียร์ไบโอเอนเนอร์จี จำกัด มีกำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ ปีละประมาณ 1,000 กิโลวัตต์ เงินลงทุน 40 ล้านบาท เป็นหุ้นไทยทั้งสิ้น เกิดการจ้างงาน 21 คน ที่ตั้ง จ.มุกดาหาร
ที่มา: ASTV ผู้จัดการรายวัน
กู้ยุ่น1.6พันล.ขยายกำลังผลิตประปา
 “ไจก้า” ไฟเขียว หนุนกปน.ขยายผลิตน้ำรับอนาคตเพิ่มวันละ 4 แสนลบ.ม.ในกทม.และปริมณฑลให้เพียงพอความต้องการ ก.คลังชี้งานนี้ได้หลายเด้ง ทั้งกู้เศรษฐกิจประเทศ-กปน.ได้เซฟคอร์ส-คนใช้น้ำยังได้ลุ้นค่าน้ำลด
นาย ศักดา ปโรสิยานนท์ รองผู้ว่าการการประปานครหลวง (กปน.) เปิดเผยว่า ขณะนี้องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่นหรือไจก้า ได้ประเมินความเหมาะสมและลงนามข้อตกลงให้การสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ก ปน.จำนวน 4,462 ล้านเยน หรือประมาณ 1,600 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ย 0.8% ต่อปี เพื่อนำมาใช้ในการขยายระบบผลิตและส่งน้ำตามโครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ 8 ซึ่งประกอบด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำที่โรงงานผลิตน้ำบางเขนอีกวันละ 400,000 ลูกบาศก์เมตร ก่อสร้างถังเก็บน้ำใสในสถานีสูบจ่ายน้ำเพชรเกษมและสถานีสูบจ่ายน้ำราษฎร์บูรณะอีกแห่งละ 4 หมื่นลูกบาศก์เมตร พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่ม
ทั้งนี้ งานดังกล่าวจะส่งผลให้ กปน. มีกำลังการผลิตและสามารถสูบจ่ายน้ำได้ทันต่อความต้องการของประชาชนที่เพิ่ม ขึ้น ในพื้นที่รับผิดชอบให้บริการน้ำประปาของ กปน.ได้แก่ มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง บางบัวทอง บางใหญ่ บางกอกน้อย ตลิ่งชัน เพชรเกษม หนองแขม ราษฎร์บูรณะ พระประแดง ฯลฯ เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวมีการเติบโตของชุมชนอย่างรวดเร็วและต่อ เนื่อง กปน.จึงจำเป็นต้องวางแผนเพิ่มกำลังผลิตน้ำไว้ล่วงหน้าเพื่อรองรับความ ต้องการใช้น้ำ โดยการดำเนินงานจะเริ่มปี 53 แล้วเสร็จปี 55-57 และคาดจะมีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับอุปโภคบริโภคไปจนถึงปี 60
สำหรับ การกู้เงินดังกล่าวก.คลังได้เห็นชอบ เพราะนอกจากจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจประเทศแล้ว อัตราดอกเบี้ยยังต่ำ ระยะเวลาปลอดการคืนเงินต้น 5 ปีรวมทั้งจ่ายคืนเงินกู้นานถึง 15 ปี ทำให้ต้นทุนลงทุนโครงการของกปน.ต่ำลงซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ใช้น้ำด้วย
ที่มา: http://www.siamrath.co.th
 
สังคม-คุณภาพชีวิต-สิ่งแวดล้อม
สสส.ชงโครงการใช้เงินบาปหลังขึ้นภาษีเหล้าบุหรี่
วาน นี้ (12 พ.ค.) ทพ.สุปรีดา อดุลยานนท์ รองผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวว่า การที่รัฐบาลจัดเก็บอัตราภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น ถือว่าได้ทั้ง 2 ทาง คือ รัฐบาลได้งบประมาณเพิ่มขึ้นและช่วยให้การบริโภคเหล้าและบุหรี่ลดลง ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งที่องค์การอนามัยโลก(WHO) สนับสนุน ให้ประเทศต่างๆ ขึ้นภาษีเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องเหมาะสม รวมทั้งต้องคิดอัตราภาษีตามภาวะเงินเฟ้อเพื่อไม่ให้เหล้าและบุหรี่มีราคาถูก ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายสำหรับการขึ้นภาษีครั้งนี้ กรมสรรพสามิตรจะสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น 6 พันล้านบาท ในระยะเวลา 1ปี โดยธุรกิจแอลกอฮอล์และบุหรี่จะต้องจ่ายเพิ่มอีก 2% สำหรับเข้ากองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือเป็นจำนวน 120 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับ 3-4% ของงบประมาณที่สสสได้รับ คือ ประมาณ 2,700 ล้านบาท โดยในแต่ละปีจะไม่เท่ากันเนื่องจากตามกฎหมายรายรับของสสส.จะผูกติดกับรายได้ ของกรมสรรพสามิตร ซึ่งรายได้ที่เพิ่มเข้ามาถือเป็นจำนวนที่ไม่มาก นอกจากนี้บริษัทเหล้าและบุหรี่ จะต้องจ่ายเงินสนับสนุนสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย (ไทยพีบีเอส) อีกประมาณ 1.5% หรือ 90 ล้านบาท โดยที่งบประมาณส่วนนี้จะไม่ได้ทันทีแต่0tได้รับหลังจากนี้1 ปี
ดร.สุ ปรีดา กล่าวว่า ขณะนี้ คณะกรรมการของสสส.อยู่ระหว่างการประชุมเพื่อจัดทำแผนงบประมาณ รวมถึงงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เพื่อนำมาสร้างสุขภาพของประชาชนให้ดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดในแต่ละโครงการได้ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามาตรการลดการบริโภคแอลกฮอล์หลังจากมีการประกาศใช้พ.ร. บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น มีการสนับสนุนเสริมสร้างความเข้มแข็งในระดับจังหวัดและจะขยายสู่ภูมิภาค ต่างๆ มากขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมให้ครอบครัว ชุมชน มีความเข้มแข็ง สร้างลานกีฬาเพื่อสุขภาพ เป็นต้น
ที่มา: http://www.thairath.co.th
เผยไข้หวัดใหญ่2009มีสิทธิแปลงสายพันธุ์แนะเร่งผลิตวัคซีน
ผู้ อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากทางทฤษฎีแม้จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นแต่ก็มองข้ามไป ไม่ได้เพราะนักวิทยาศาสตร์มองว่าการจะก่อให้เกิดความ รุนแรงหรือไม่มาจากความหลากหลายของยีน
วาน นี้ (12 พ.ค.) ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จ.นครปฐม มีการเสวนาเรื่อง "ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่" โดยน.พ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากแต่สามารถเกิดขึ้นได้หากมีการระบาดอย่างรุนแรง ซึ่งจะเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีคนอยู่อย่างแออัดซึ่งจะทำให้ไวรัสเพิ่มจำนวน มากขึ้นอย่างรวดเร็วและเมื่อไปผสมกับเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่มีอยู่ในคนอยู่แล้ว จะทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่อีกซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดอะไรขึ้น เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากมากและเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเพราะตัวของ ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น จะไม่มียีนที่มีความรุนแรงเหมือนในไวรัสไข้หวัดใหญ่ปกติ แต่ถ้าเกิดมีการผสมกันแล้วจะทำให้ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009ได้รับยีนดังกล่าว และจะทำให้มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมาได้ โดยยีนดังกล่าว ชื่อว่า PB1F2 ซึ่งจะอยู่ในไวรัสไข้หวัดในตัวคนซึ่งทางทฤษฎีแม้จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นแต่ก็ เป็นเรื่องมองข้ามไปไม่ได้เพราะนักวิทยาศาสตร์มองว่าการจะก่อให้เกิดความ รุนแรงหรือไม่มาจากความหลากหลายของยีนอย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากมีการระบาด คงจะไม่รุนแรงเท่าไข้หวัดนก
นพ.ประเสริฐ กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องการผลิตวัคซีนป้องกันนั้นจะต้องใช้เทคโนโลยีเดียวกับการผลิต วัคซีนไข้หวัดใหญ่และการพัฒนาวัคซีนไข้หวัดนกซึ่งจะใช้วิธีการเลี้ยงไวรัสใน ไข่ไก่ฟักแล้วนำไวรัสมาฆ่าเชื้อผ่านการทำให้บริสุทธิ์เพื่อให้ได้โปรตีนHA และNA ใน การเปลี่ยนสายพันธุ์วัคซีนเพื่อการผลิตวัคซีนชนิดใหม่ โดยจะต้องใช้เวลาประมาณ 4 เดือนในการผลิต โดยในการผลิตวัคซีนดังกล่าวจะต้องทำจากเชื้อเป็นโดยขณะนี้มีเพียง 2 บริษัทเท่านั้นที่สามารถทำได้คือ บริษัทในสหรัฐอเมริกาและในประเทศรัสเซียแต่การผลิตวัคซีนจากเชื้อเป็นจะต้อง มีความเข้มงวดกว่าการผลิตวัคซีนจากเชื้อตายซึ่งขณะนี้องค์การเภสัชกรรม(อภ.) อยู่ระหว่างการหารือกับ WHO ในการไปเจรจากับทั้ง 2 บริษัท ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มกำลังผลิตวัคซีนได้ 30 เท่า เพื่อรองรับหากเกิดการระบาดอย่างรุนแรงในอนาคต
ที่มา: http://www.thairath.co.th
ผลตรวจระบุ2คนไทยติด'หวัดใหญ่2009'จากเม็กซิโก
 วันนี้(12 พ.ค.) พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมแก้ไข สถานการณ์การระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช1เอ็น1 หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 แถลงข่าวยืนยันว่า พบคนไทยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จำนวน 2 ราย
ด้าน นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงฯได้ประกาศขึ้นทะเบียนผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในประเทศไทยจำนวน 2 ราย โดยยืนยันว่าไม่ได้ติดเชื้อระหว่างอยู่ในประเทศไทย แต่เป็นผู้ป่วยที่เดินทางกลับมาจากประเทศเม็กซิโก โดยรายแรกได้ขึ้นทะเบียนสงสัยเป็นผู้ติดเชื้อ ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย แต่อาการไม่รุนแรง โดยแพทย์นำตัวไปดูแลในห้องปลอดเชื้อ ให้ยาต้านไวรัสครบชุด และส่งเชื้อไปตรวจยืนยันที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับแจ้งจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคอเมริกาแล้วว่า ผู้ป่วยติดเชื้อหวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 จริง ซึ่งถือเป็นผู้ป่วยรายแรกของประเทศไทย แต่ขณะนี้อาการเป็นปกติแล้วและสามารถทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้
นายวิทยา กล่าวว่า ส่วนรายที่ 2 มีอาการไข้เล็กน้อยหลังจากเดินทางกลับจากเม็กซิโกได้ 3 วัน ซึ่งแพทย์ให้ยาต้านไวรัสครบชุดเช่นกัน โดยผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันว่าติดเชื้อหวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่ขณะนี้หายเป็นปกติแล้ว
นาย วิทยา กล่าวว่า ทั้งนี้ ทางกระทรวงฯต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้ป่วย โดยการไม่เปิดเผยชื่อ นามสกุล เพศ หรืออายุ เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นในเชิงวิชาการ ในขณะที่ญาติของผู้ป่วยเองก็ร้องขอกระทรวงสาธารณสุขให้ช่วยปกปิด ทางผู้ป่วยก็ไม่พร้อมจะให้ข้อมูล
ที่มา: www.dailynews.co.th
ต่างประเทศ
แฉทัพศรีลังกายิงใส่รพ. ชาวบ้านตายครึ่งร้อย
บาดเจ็บกว่า 50 คน เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนไข้ที่บาดเจ็บจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่ของรัฐบาลเมื่อ 2 วันก่อน ซึ่งกบฏกล่าวหาว่าการโจมตีครั้งนั้นทำให้พลเรือนเสียชีวิตกว่า 2,000 คน แต่รัฐบาลปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (12 พ.ค.)โดยอ้างถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐบาลศรีลังกาและโฆษกกลุ่ม กบฏ พยัคฆ์ทมิฬอีแลม (แอลทีทีอี) ว่า ในเช้าวันเดียวกันนี้ กองทัพรัฐบาลศรีลังกายิงปืนใหญ่ถล่มโรงพยาบาลชั่วคราวในเมืองมัลลิไวคัลทาง ภาคเหนือระหว่างการรุกโจมตีกบฏทมิฬ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 49 คน บาดเจ็บกว่า 50 คน เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนไข้ที่บาดเจ็บจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่ของรัฐบาลเมื่อ 2 วันก่อน ซึ่งกบฏกล่าวหาว่าการโจมตีครั้งนั้นทำให้พลเรือนเสียชีวิตกว่า 2,000 คน แต่รัฐบาลปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง
ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมชาวทมิฬอพยพประมาณ 5,000 คน ในเมืองโตรอนโตของแคนาดา ชุมนุมกันหน้าทำเนียบรัฐบาลและสถานทูตศรีลังกาประจำแคนาดาเมื่อ 11 พ.ค.พร้อมจุดเทียนไว้อาลัยแก่ประชาชนชาวทมิฬผู้เสียชีวิตในสงครามกลางเมือง ระหว่างกองทัพรัฐบาลศรีลังกาและกลุ่มกบฎพยัคฆ์ทมิฬอีแลมในภาคตะวันออกเฉียง เหนือของศรีลังกา การชุมนุมดำเนินไปอย่างสงบก่อนผู้ชุมนุมจะแยกย้ายกันไป ต่างจากการชุมนุมครั้งแรกเมื่อ 10 พ.ค.ซึ่งก่อความวุ่นวายอย่างหนักเพราะผู้ชุมนุมปิดถนนย่านธุรกิจในโตรอนโต เป็นเวลานานกว่า 6 ช.ม.ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถเดินทางเข้าและออกนอกเมืองได้ วันเดียวกัน ผู้ชุมนุมชาวทมิฬอพยพหลายร้อยคนในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ เดินขบวนประท้วงไปตามถนนล้อมรอบรัฐสภา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษกดดันรัฐบาลศรีลังกาหยุดโจมตีชาวทมิฬใน พื้นที่ หลังมีรายงานว่าประชาชนราว 370 คนถูกลูกหลงเสียชีวิต ทำให้เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปราบปรามจลาจลชาวอังกฤษ และมีผู้ถูกจับกุม 36 ราย
ขณะ ที่ นายบัน กี-มูน เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์ขอความร่วมมือจากรัฐบาลศรีลังกายุติเหตุการณ์นองเลือดโดยเร็ว ที่สุด พร้อมเปิดเผยตัวเลขเด็กที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้มีมากกว่า 100 ราย ด้านนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ แห่งอังกฤษ เผชิญแรงกดดันของกลุ่มผู้ชุมนุมชาวทมิฬและถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อข้อมูล การนำเงินรัฐบาลไปใช้ในเรื่องส่วนตัวหลุดออกสู่สาธารณะ เป็นเหตุให้คะแนนนิยมตกต่ำ จึงจัดแถลงข่าวเมื่อ 12 พ.ค.เพื่อกล่าวคำขอโทษประชาชนอย่างเป็นทางการ
ที่มา: http://www.thairath.co.th
กัมพูชาทวงค่าเสียหายจากไทย
 วันนี้(12 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีรายงานข่าวจากเว็บไซต์ทางการกัมพูชา www.mfaic.gov.kh/ นำบันทึกข้อความถึงกระทรวงต่างประเทศของไทย ลงวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา มาเผยแพร่ทางเว็บไซต์ดังกล่าว ให้ไทยจ่ายค่าชดใช้ความเสียหายเป็นเงินกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 70 ล้านบาท จากเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาที่บริเวณใกล้เขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยเอกสารดังกล่าวระบุว่าทหารไทยใช้อาวุธหนักในการโจมตีในเขตแดนกัมพูชา สร้างความเสียหายหนัก และทำให้ตลาดแห่งหนึ่งในเขตแดนกัมพูชาเกิดไฟไหม้ ส่งผลกระทบต่อ 319 ครัวเรือนที่ต้องสูญเสียวิถีในการดำรงชีวิต คิดเป็นมูลค่า 2,150,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 74 ล้านบาท จึงขอให้รัฐบาลไทยรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากฝีมือของทหารไทย ทั้งหมด และจ่ายค่าชดใช้ต่อความเสียหายข้างต้นอย่างเหมาะสม
ด้าน นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า จุดที่เกิดเหตุเป็นดินแดนไทย แต่มีชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่ในพื้นที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไทยยอมผ่อนปรน เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีและมนุยธรรม ทั้งนี้ พื้นที่ที่มีการปะทะเป็นดินแดนไทย ซึ่งฝ่ายไทยจะดำเนินการตามกฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณดังกล่าวไป ตามปกติ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมีหนังสือแจ้งกับกัมพูชาถึงท่าทีของไทยซึ่งก่อน หน้านี้ได้ยืนยันมาแล้วหลายครั้งว่าดินแดนดังกล่าวเป็นดินแดนของไทย
เมื่อ ถามย้ำว่าไทยจะจ่ายค่าเสียหายตามที่กัมพูชาเรียกร้องหรือไม่ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า ไทยกำลังประเมินถึงความเสียหายจากเหตุปะทะดังกล่าว ซึ่งต้องหยิบยกเรื่องนี้หารือกันต่อไป เมื่อถามต่อว่าไทยจะแจ้งความเสียหายของไทยต่อกัมพูชาหรือไม่ นายธฤต กล่าวว่า กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศกำลังดูวิธีการดำเนินการอยู่
ที่มา: www.dailynews.co.th
แรงงาน
ร้องบ.อิเล็คทรอนิกส์ปลด7คนงานท้อง อ้างยอดสั่งซื้อลด
นาย จรัญ ก่อมขุนทด ที่ปรึกษากลุ่มเครือข่ายสหภาพแรงงานภาคตะวันออก เปิดเผยเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่าบริษัท เอ็นทีเอ็น นิเด็ค (ไทยแลนด์) จำกัด ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอิสเทิร์น ซีบอร์ด จ.ระยอง ผลิตชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ มีเจ้าของบริษัทเป็นชาวญี่ปุ่น มีพนักงานทั้งหมด 1,500 คน ได้เลิกจ้างพนักงานจำนวนมากโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ในจำนวนนี้เป็นคนงานตั้งครรภ์ 7 ราย อ้างเหตุผลยอดการสั่งซื้อลดลงจำนวนกว่าครึ่ง
นาย อาทิตย์ อิสโม รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า บริษัท เอ็นทีเอ็นไม่ชี้แจงให้พนักงานที่ถูกปลดออกทราบล่วงหน้า กสร.จึงไปเจรจาและให้จ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย ในส่วนพนังงานตั้งครรภ์ ต้องพิสูจน์ว่านายจ้างทราบหรือไม่ว่าตั้งครรภ์อยู่ หากไม่ทราบทางนายจ้างก็ไม่ผิด แต่หากทราบแล้วยังปลดออกจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่มา: www.matichon.co.th   
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท