เมื่อวันที่ 21 พ.ค.52 ที่ ศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กลุ่มเครือข่ายองค์กรชาวบ้านหลายสิบองค์กร กว่า 70 ชีวิตจากทุกภาค ได้เดินทางมาร่วมประชุมปรึกษาหารือถึงทิศทางการแก้ไขปัญหาโลกร้อนเพื่อหาจุดยืนและข้อเสนอของภาคประชาชนระหว่างวันที่ 20-21 พฤษภาคม 2552
นางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง กลุ่ม รณรงค์และศึกษามลภาวะอุตสาหกรรม และเครือข่ายลดโลกร้อนอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดประชุม กล่าวว่า การแก้ปัญหาโลกร้อนในช่วงผ่านมา ภาคประชาชนไม่มีโอกาสเข้าไปร่วม การกำหนดนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกถูกกำหนดโดยคนเพียงหยิบมือเดียวในภาครัฐและภาคธุรกิจที่มีผลประโยชน์ แนวทางที่ผ่านมามีแนวโน้มก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม
“ที่สำคัญ ในเดือนธันวาคมปีนี้ จะมีการประชุมของ UNFCCC ซึ่ง จะมีการกำหนดสาระสำคัญที่จะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน หลังมีพิธีสารเกียวโต เราไม่เห็นว่ามีการลดการปล่อยก๊าซจริง แต่กลับเกิดกลไกตลาดเสรีเพื่อเป็นเครื่องมือผลักดันความรับผิดชอบที่ประเทศ พัฒนาแล้วก่อให้กับสิ่งแวดล้อม โดยกลไกคาร์บอนเครดิต REDD ซีดีเอ็ม มาตรการเหล่านี้ยังไม่มีความโปร่งใส และยังไม่ทราบว่าเมื่อนำกลไกเหล่านี้มาใช้จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมทางสังคมมากขึ้นไปอีกหรือเปล่า”
“กลุ่ม ประชาชนที่พึ่งพิงทรัพยากร มีชีวิตอยู่กับป่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเกษตรกร ชนเผ่า ชาวประมง ชาวบ้าน ฯลฯ จะต้องเข้ามารับรู้เรื่องนี้และตามให้ทันการเจรจาบนเวทีโลกที่จะมีขึ้นในไม่ กี่เดือนข้างหน้า เพราะเขาจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากกฎกติกาที่จะเกิดขึ้น ประสบการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าถ้าเราปล่อยให้การออกแบบมาตรการกลไกเหล่า นี้อยู่ในมือคนไม่กี่คน เชื่อว่าแก้ไขปัญหาไม่ได้ เรา มีมติร่วมกันว่าทิศทางพัฒนาเป็นเรื่องที่สำคัญ ต้องเร่งส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม การเคารพสิทธิและการเข้าถึงทรัพยากร ความโปร่งใสในการกำหนดนโยบาย และเราไม่เห็นด้วยกับการผลักภาระความรับผิดชอบต่อปัญหาให้กับประเทศกำลัง พัฒนา ประเทศผู้ก่อปัญหาควรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบลดการปล่อยก๊าซภายในประเทศของ ตนเอง” นางสาวเพ็ญโฉมกล่าว
ส่วน นางสาวสุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล กลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก จังหวัดประจวบฯ กล่าวถึงข้อเสนอของภาคประชาชนในส่วนภาคพลังงาน การขนส่งและอุตสาหกรรมว่า “ขอเรียกร้องรัฐบาลไทยให้เป็นผู้นำลดคาร์บอนอย่างสมัครใจ ปรับปรุงการวางแผนพลังงานใหม่โดยหน่วยงานอิสระ เพื่อตัดตอนการหาผลประโยชน์ทับซ้อนจากแผนพีดีพี ก่อนจะนำพาประเทศสู่กับดัก หยุดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จะใช้เป็นทางออกโลกร้อนไม่ใช่ทางออกที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนโดยเฉพาะกากนิวเคลียร์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน”
นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี เครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม จังหวัดสระบุรี กล่าวเสริมว่า “อุตสาหกรรมสกปรก อุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงานมาก และอุตสาหกรรมที่เราไม่มีทรัพยากรเป็นของตัวเอง คือ ต้องนำเข้าทั้งหมด อุตสาหกรรมเหล่านี้นำไปสู่การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นและการก่อมลพิษ รัฐบาลต้องทบทวนเรื่องนโยบายอุตสาหกรรม หยุดสนับสนุนอุตสาหกรรมสกปรก รัฐบาลและบีโอไอควรต้องทบทวนนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของประเทศ”
นายธนเทพ กมศิลป์ สมาคมเพื่อนสิ่งแวดล้อม จังหวัดชุมพร ในนามกลุ่มอนุรักษ์ทะเลอ่าวไทย ซึ่งอยู่ในวงการประมงพื้นบ้านมาอย่างยาวนาน กล่าวว่า แผนพัฒนาขนาดใหญ่มักใช้ทะเลเป็นเส้นทางลำเลียงวัตถุดิบ เป็นการทำลายการวางไข่ของปลาสร้างผลกระทบต่อนิเวศน์ทางทะเล ชาวประมงพื้นบ้านได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง สิ่งกีดขวางในทะเลจากโครงการเหล่านี้ยังทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง สัตว์น้ำเคลื่อนย้ายที่อยู่ ทำลายวิถีชีวิตและความสามารถของชาวประมงในการพึ่งพาตนเอง และโครงการเหล่านี้ยังเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้ปัญหาโลกร้อนแย่ลง
ในประเด็นเกษตรกรรม นาง ผา กองธรรม สมัชชาคนจนกลุ่มเครือข่ายอนุรักษ์ป่าทามแม่น้ำมูล จังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่าโครงการขนาดใหญ่มีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติ ทำลายแหล่งป่าไม้ที่เป็นแหล่งดูดซับ และทำลายระบบเกษตรพื้นบ้านซึ่งเป็นฐานทรัพยากรด้านอาหารและเป็นฐานสำคัญของการรักษาระบบนิเวศน์และความอุดมสมบูรณ์ของป่า รัฐควรต้องพิจารณาทุกโครงการที่ส่งผลต่อชุมชนและ สิ่งแวดล้อม ต้องมีมาตรการเก็บภาษีจากโครงการขนาดใหญ่ให้กับกลุ่มคนหรือชุมชนที่เสียประโยชน์ เช่น กรณีเขื่อนปากมูลผลิตไฟฟ้า ทั้งๆที่ชาวบ้านเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน แต่ค่าไฟ ชาวบ้านยังต้องจ่าย
“ภาครัฐควรสนับสนุนให้เกษตรรายย่อยทำเกษตรแบบยั่งยืนให้เป็นตัวอย่างของชาติ ส่งเสริมให้ชาวบ้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมและการเกษตรขนาดเล็กในพื้นที่นั้นๆ มีกฎหมายรองรับสิทธิชุมชนในการจัดการและตัดสินใจ ส่วนคาร์บอนเครดิตเป็นเรื่องที่ชาวบ้านยังไม่เคยรับรู้ และโครงการต่างๆที่เข้ามาอาจจะกระทบกับชาวบ้านโดยที่ยังตั้งรับไม่ทัน”
นายนวพล คีรีรักษ์กุล เครือข่ายชนเผ่า จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า “ในที่ประชุม เรา ไม่เห็นด้วยกับการนำกลไกตลาดมาใช้ในการจัดการป่า การจัดการทรัพยากรต้องให้อำนาจสิทธิชุมชน ปลดล็อคกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กฎหมายป่าสงวนและป่าอุทยาน ไม่ได้หมายความว่าต้องยกเลิกทั้งหมด แต่ควรจัดการโดยระบบโฉนดชุมชน และให้สิทธิกับชุมชน”