ที่ น่าสนใจอีกรูปแบบหนึ่ง ของการจัดการทรัพยากรของชุมชนบ้านแม่แพม ต.เมืองแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ก็คือ ระบบการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นและคือหัวใจของระบบการผลิตแบบยั่งยืนของชาวปวาเก่อญอ
ระบบการทำไร่หมุนเวียน คือหัวใจของระบบการผลิตแบบยั่งยืน
เป็น ที่รับรู้กันทั่วไปว่า พี่น้องชนเผ่าปวาเก่อญอหรือที่คนพื้นราบเรียกว่า กะเหรี่ยงนั้น ถือได้ว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีผูกพันอยู่ร่วมสอดคล้องกับผืนดินผืน ป่ากันมาช้านาน ทั้งในด้านการจัดการเรื่องระบบการผลิตและวิถีชีวิตในลักษณะพึ่งพากับ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ภูมิปัญญาที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของชาวปวาเก่อญอก็คือ ‘ระบบการทำไร่หมุนเวียน’ ซึ่งถือว่าเป็นระบบที่พัฒนาขึ้นและสืบทอดกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน
โดย ที่ชาวปวาเก่อญอได้ออกมาพูดย้ำๆ ว่า การทำไร่หมุนเวียน ไม่ใช่ทำไร่เลื่อนลอย ไม่ได้ทำลายป่า แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับป่าอย่างสอดคล้องและสมดุล
การ ทำไร่หมุนเวียน นั้น ชาวบ้านครอบครัวหนึ่ง จะมีพื้นที่ในการทำไร่ครอบครัวหนึ่ง จะมีไร่อยู่หลายแปลง (ประมาณ 3-5 แปลง ซึ่งแต่ละแปลงนั้น จะมีพื้นที่มากน้อยแล้วแต่ขนาดของครอบครัว) โดยหลังจากมีการทำไร่แปลงหนึ่งในปีนั้นๆ เสร็จแล้ว ก็จะทำการปล่อยทิ้งไว้ปล่อยทิ้งให้รกเรื้อไว้เป็นไร่ซาก เพื่อปล่อยให้พื้นดินมีโอกาสฟื้นตัวอย่างน้อย 3-5 ปี
ครั้น เมื่อปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 3-5 ปี ไร่ซากซึ่งเคยใช้ทำไร่มาครั้งก่อนนั้น ก็จะทำให้ดินกลับคืนมาฟื้นอุดมสมบูรณ์ด้วยปุ๋ยแร่ธาตุตามธรรมชาติ ชาวบ้านก็จะวนกลับมาทำไร่ผืนเดิม ผืนนั้น โดยที่ ไม่ต้องไปทำการบุกรุกพื้นที่ใหม่เพิ่มแต่อย่างใด นอกจากนั้น ชาวบ้านจะมีข้อห้ามกันเองว่า ไม่ให้มีการตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในไร่ แต่จะปล่อยไว้เป็นร่มเงาและที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อยในไร่
เหมือนกับที่คำสอนของบรรพบุรุษปวาเก่อญอได้สั่งสอนเอาไว้...
เส่กลอ เหน่ กลอ เหลอะ เตอะเก ปะ เหน่ บิเบโหม่ จ่อ เก
ตัดไม้อย่าตัดหมด เหลือไว้ให้นกพญาไฟมาเกาะ
แพะ คึ ขุ ซี เส่ เตอะ เก แพะ คึ ขุ ซี หว่า เตอะ เก
ถางไร่อย่าฟันไม้ให้ตาย ฟันไร่อย่าถางไผ่ให้ตาย
เส่ หว่า เมะ ลอตุ ลอเช เปอะ บะ กอวี บะ กอเจ
หากไม้และไผ่หมดไป เราจะอดน้ำอดข้าวตาย
และ ที่น่าสนใจ ก็คือ ภายในไร่หมุนเวียนนั้น ถือได้ว่าเป็นการทำไร่แบบผสมผสาน โดยหลังจากชาวบ้านปลูกข้าวไร่ลงไปแล้ว ก็จะปลูกพืชผักหลากหลายพันธุ์ลงไปในแปลงบริเวณเชิงเขา เพราะพืชผักบางชนิดเป็นตัวล่อแมลงเพื่อเป็นอาหารของแมลงอีกชนิด ถือเป็นภูมิปัญญาของกะเหรี่ยงในเรื่องกำจัดแมลง และยังเป็นรักษาสิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่งด้วย โดยไม่ต้องใช้สารเคมีกำจัดแมลง สำหรับผลผลิตส่วนใหญ่เก็บไว้ใช้บริโภคภายในครัวเรือน โดยเฉพาะข้าว ส่วนพริกและผักอื่นๆ อาจแบ่งขายบ้างตามสมควร
ภายในไร่หมุนเวียนนั้น ยังมี ‘ห่อวอเนอมู’ พันธุ์พืชพันธุ์หนึ่งซึ่งอยู่ในตระกูลเครื่องเทศ เครื่องปรุงของชาวปวาเก่อญอ ที่ขึ้นแซมในไร่ข้าวให้เราเห็นอยู่ทั่วไป
หลาย ครั้งที่มีการเปรียบ ห่อวอเนอมู เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของคนปวาเก่อญอ ซึ่งคนในเมืองอาจมองว่า ห่อวอเนอมู เป็นเพียงหญ้าป่า เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ใครๆ เขาไม่ต้องการ เป็นวัชพืชที่ดูด้อยค่า ต้องตัดมันให้ขาด ต้องถางมันให้สิ้น แต่เขาอาจไม่เคยรับรู้เลยว่า แท้จริงแล้ว ห่อวอเนอมู เป็นพืชพันธุ์ที่มีคุณค่าสำหรับคนบนภูเขา
ไร่ หมุนเวียน จึงเริ่มได้รับการยอมรับจากสังคมภายนอกมากยิ่งขึ้น จนนักวิชาการต่างออกมายอมรับกันว่า นี่คือภูมิปัญญาของชาวปวาเก่อญอ นี่คือองค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรอยู่อย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง
กระนั้น ก็ยังถูกคนอีกหลายกลุ่มหลายฝ่ายจดจ้องมองด้วยสายตาจับผิด ระแวง ไม่ไว้ใจ โดยเฉพาะสายตาของเจ้าหน้าที่รัฐมักมองว่า การทำไร่หมุนเวียน คือการทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งค้านกับความรู้สึกของชาวบ้าน รวมทั้งนักวิชาการที่ทำงานวิจัยในเรื่องนี้ จนต้องออกมาชี้แจงกันอย่างต่อเนื่อง
จากการศึกษาวิจัย เรื่อง ระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน : สถานภาพและการเปลี่ยนแปลง โดย ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ หัวหน้าโครงการฯ พบว่า มีความเข้าใจผิดของหน่วยงานรัฐและสังคมต่อระบบไร่หมุนเวียนหลายประการ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขให้ถูกต้อง ดังนี้
1.การ ทำไร่หมุนเวียนไม่ใช่การตัดไม้ทำลายป่า แต่เป็นเกษตรกรรมบนพื้นฐานขององค์ความรู้พื้นบ้าน มีเป้าหมายเพื่อการปลูกการปลูกพืชอาหารยังชีพเป็นหลัก มีรูปแบบที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ระบบนิเวศ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ ผลกระทบจึงแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่าง ๆ ด้วย
2.เมื่อ เปรียบเทียบกับกิจกรรมการใช้พื้นที่ป่าในรูปแบบอื่น ๆ รวมทั้งการทำเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์ เช่นการปลูกไม้ดอกและพืชผักเมืองหนาว การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ การทำไร่หมุนเวียนส่งผลต่อระบบนิเวศน้อยกว่าอย่างมาก ทั้งนี้ผลกระทบดังกล่าวได้แก่การสูญเสียพื้นที่ป่าอย่างถาวร การชะล้างพังทลายของหน้าดิน การเกิดสารพิษตกค้างในดิน น้ำ อากาศ เป็นต้น
3.พื้นที่ ไร่หมุนเวียน(รวมทั้งพื้นที่ไร่เก่าที่ปล่อยทิ้งไว้ให้พักตัว)มีสัดส่วนน้อย มาก เมื่อเทียบกับพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ในชุมชนที่ทำการศึกษา เช่น ป่าชุมชน ที่อยู่อาศัย รวมทั้งป่าอนุรักษ์ที่ชุมชนกำหนดไว้ให้เป็นพื้นที่ป่าถาวร ซึ่งจะไม่มีการเข้าไปแผ้วถางทำกินเด็ดขาด เว้นแต่การเก็บหาผลิตผลมาใช้ประโยชน์ ภายใต้กฎป่าชุมชน
“ทุก วันนี้ ทางบ้านแม่แพม จะไม่มีการขยายพื้นที่ทำกิน ส่วนไร่หมุนเวียนนั้น เราจะหมุนเวียนกัน 4-5 ปี แต่ในส่วนที่จะขยายนั้นเราจะไม่สนับสนุน แต่ถ้ามีหน่วยงานรัฐมาบอกว่า ชาวบ้านขยายพื้นที่ เราก็สามารถที่จะนำแผนที่ที่เราจัดทำไว้นั้นเข้ามาต่อรองกับเจ้าหน้าที่รัฐได้...” สังวร พะเกะ ชาวบ้านแม่แพม บอกย้ำกับเรา
ป่าคือแหล่งความมั่นคงทางอาหาร
สร้างรายได้มีมูลค่าสูงถึง 1,610,549 บาทในรอบปี
ในขณะที่โลกในขณะนี้กำลังใกล้วิกฤติเรื่องความมั่นคงทางอาหาร
ในขณะที่หลายชุมชนกำลังเจอกับวิกฤติปัญหาการขาดแคลนอาหาร
แต่เมื่อหันกลับไปมองดูชุมชนบ้านแม่แพม ชาวบ้านที่นี่กลับอุดมสมบูรณ์ ไม่เคยขาดแคลนเรื่องอาหารการกิน
อาจ เป็นเพราะทุกคนรู้ดีว่า มีวิถีชีวิตอยู่ร่วมกับผืนดินผืนป่าและสายน้ำมายาวนาน ป่าที่พวกเขาได้ช่วยกันรักษาเอาไว้นั้น คือฐานทรัพยากรอันมีค่า คือแหล่งความมั่นคงทางอาหารที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของคนในหมู่บ้าน
ถ้า เราเดินไปรอบๆ ชุมชนบ้านแม่แพมนั้น จะเห็นชัดเลยว่า ที่ทรัพยากรดิน น้ำ ป่านั้นมีความอุดมสมบูรณ์นั้น ก็เพราะชาวบ้านได้ใช้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของตนเป็นตัวกำกับดูแลให้สอดคล้อง กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย
“ในเรื่องของการหาของป่ามาทำอาหาร ผู้หญิงจะมีบทบาทมากกว่าผู้ชาย ก็มีอยู่หลายอย่าง เช่น การขุดหน่อ เห็ด และของป่าที่จะต้องนำมากิน อย่างการหาฟืนก็จะไปหาไม้ฟืนที่แห้งและตายแล้ว เราก็สามารถนำมาใช้ได้ ส่วนเรื่องของเห็ด ก็จะมีเห็ดตามฤดูกาล” นาง
ชาว บ้านได้ไล่เรียงชื่อ พืชผักซึ่งเกิดขึ้นเองในป่า ในแต่ละฤดูกาลตลอดปี เช่น ผักกูด บอน ผักเฮือด เขือง หน่อหวาย จะค่าน หยวก หน่อกุ๊ก เหล่านี้จะขึ้นอยู่ตามริมห้วยและมีตลอด
ส่วน ผักส้มปี้ ดอกด้าง ดอกเลา อีง้อ มีในฤดูหนาวถึงต้นฤดูฝน เห็ดต่าง ๆ เช่น เห็ดแดง เห็ดขาว เห็ดโคน เห็ดหอม เห็ดน้ำแบ้ง เห็ดไข่ห่าน เห็ดลม เห็ดหูหนู หน่อไม้ เช่น หน่อไม้บง หน่อไม้ซาง จะมีในช่วงฤดูฝน และยังมีที่เป็นผลไม้อีก เช่น มะแฟน มะไฟ มะม่วงป่า มันป่า มะกอกป่า เป็นต้น
ใน ด้านสัตว์ใหญ่สัตว์น้อยที่อาศัยอยู่ในผืนป่าที่ชาวบ้านนำมาเป็นอาหารในแต่ละ ฤดูกาลนั้น ส่วนใหญ่จะเป็ฯสัตว์จำพวกนก เช่น นกกระทา นกเป้า นกจอก นกผีด นกกวิด นกยาง นกกระถาบ นกเอี้ยง ฯลฯ
นอกจากนั้น ก็ยังมีสัตว์เล็กๆ ชนิดอื่นๆ เช่น ต่อ แตน ผึ้ง อ้น ตุ่น หนู เก้ง หมูป่า ไข่มดแดง มดหี้ กว่าง เป็นต้น
ป่า คือแหล่งผลิตสมุนไพรหลากหลาย
ชาวบ้านยังมองป่าคือแหล่งผลิตสมุนไพร ซึ่งในชุมชนแม่แพม จะมี พะตีกิลอ กะพอ เป็นหมอสมุนไพร บอกกับเราว่า สมุนไพรในป่ามีอีกมาก มีเกือบทุกชนิดและหาได้ทุกฤดูกาล
“ใน ป่า เรายังใช้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพรรักษาโรคด้วย เช่น นำเซย่าเหล่า มือคาวะ มะนาว ตะไคร้ ขิง ข่า ตำให้ละเอียดผสมกันกรองเอาเฉพาะน้ำใช้กันหรือดมแก้เมาหรือหน้ามืดตาลาย เป็นลม”
“เก้อมาโปร่ว ต้นถอดพาน นำมาต้มอาบให้เด็กรักษาอาการผิดสำแดง”
“ผะเถอะตี่ เซวะวา มะกอกเบะ พอเต่อเบอะ ชุ่ยโพคะล่ะด่อ ใช้ต้มฮมหรืออบรักษาอาการผิดสำแดง”
“ส่าญอ (ขมิ้น) เซเค่ไบ (ขิง) เป่อเซอ (กระเทียม) เก้อแนโอ๊ะ (น้ำผึ้ง) เอาทุกอย่างตากแห้งโขลกให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นพอหมาด เป็นลูกกลม ๆ กินเป็นประจำรักษาโรคกระเพาะ”
ตัวยาเหล่านี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างของชาวบ้านเท่านั้น ซึ่งจริง ๆ แล้วเชื่อว่ายังมีอีกเป็นจำนวนที่ยังไม่ได้มีการศึกษาค้นคว้า
เมื่อเราเอ่ยถามว่า ที่ผ่านมาหมู่บ้านเรานั้นได้มีการทำวิจัยหรือสำรวจเรื่องของสมุนไพรหรือไม่อย่างไร
นาย
“ใช่ มีคนญี่ปุ่นที่เข้ามาพร้อมกับนักวิจัย” พะตีกิลิ กะพอ หมอสมุนไพร บอกเสริมให้เรา
“และ การวิจัยที่กำลังจะเข้ามา หรือที่ผ่านมาเรานั้นได้มีการประชาคมหมู่บ้าน หรือพูดถึงเรื่องการจดทะเบียนของสมุนไพรหรือไม่เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการ เป็นต้นแบบของสมุนไพรท้องถิ่นเรา” เราตั้งคำถามด้วยความรู้สึกห่วงใย หลังยินข่าวมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาศึกษาเรื่องสมุนไพรถึงในป่าผืนนี้
ทำให้ ชาวบ้านหลายคน เริ่มหันมาให้ความสำคัญในเรื่องสมุนไพรกันมากขึ้น ว่าต่อไป น่าจะมีการถอดองค์ความรู้เรื่องสมุนไพรไว้ในหมู่บ้าน เพื่อจะเก็บข้อมูลให้กับคนภายนอกได้รับรู้และอาจมีการศึกษาวิจัยไปจนถึงขั้น การจดสิทธิบัตรยา เป็นภูมิปัญญาของชุมชนของตนเองได้ในอนาคต
พะตีกิลิ บอกอีกว่า “ทุก วันนี้ยานี้เราได้มีการจดบันทึกเอาไว้ ว่าตัวไหนรักษาโรคอะไร ก็ได้มีการถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรให้กับผู้ที่สนใจในหมู่บ้าน ส่วนวัยรุ่นไม่ค่อยที่จะสนใจเท่าไหร่นัก”
แน่นอนว่า เมื่อมีการพูดถึงเรื่องการหาของป่า การหาอาหารจากป่า ย่อมมีหลายคนตั้งคำถามต่อไปว่า “แล้วมันไม่สูญพันธุ์หรือหมดจากป่าหรือ!?”
สมศักดิ์ ตะวุ ผู้ใหญ่บ้านแม่แพม และพะตีกิลอกะพอ หมอสมุนไพร
ชาวบ้านแม่แพม จะพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ในการใช้ประโยชน์จากป่านั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับชาวบ้าน เพราะชาวบ้านรู้จักใช้และดูแลรักษาไปพร้อม ๆ กัน
“ยอมรับ ว่าสมุนไพรในป่าเรานั้นมีมาก แต่ถ้าพูดถึงสมุนไพรในเชิงพาณิชย์เหล่านี้ก็อาจจะหมดไป ซึ่งเราไม่อยากให้มีแบบนั้น อยากให้ไว้ใช้เฉพาะคนในชุมชน”
“ยก ตัวอย่าง เช่น ชาวบ้านมีความเชื่อเรื่องขวัญของต้นไม้ ดังนั้นจะบอกลูกหลานไม่ควรเก็บหน่อไม้มาทั้งหมด หรือการเก็บน้ำผึ้งก็จะเอาแค่ครึ่งส่วน เอาเฉพาะน้ำหวาน แต่ปล่อยให้เหลือไว้ให้ผึ้งได้ขยายพันธุ์ต่อไป อีกทั้งยังกำหนดให้เก็บน้ำผึ้งได้ 20 รังต่อปี อย่างนี้เป็นต้น”
ตะลึง! ปริมาณรายได้อาหาร-สมุนไพรจากป่ามหาศาล
เมื่อ เราเปิดดูข้อมูลการสำรวจของทีมวิจัยชาวบ้านและคณะกรรมการป่าชุมชน ที่ได้เคยมีการสำรวจเอาไว้ ซึ่งคิดเป็นปริมาณและรายได้จากการเก็บผลผลิตจากป่า ทั้งประเภทพืช เห็ด สัตว์ป่า และสมุนไพร ในเขตพื้นที่ป่าชุมชนบ้านแม่แพม รวมกันแล้วมีปริมาณมูลค่าคิดเป็นจำนวนเงินมหาศาล
ปริมาณและรายได้จากการเก็บผลผลิตจากป่า ประเภทพืช 164,684 บาท
ปริมาณและรายได้จากการเก็บผลผลิตจากป่า ประเภทเห็ด 369,780 บาท
ปริมาณและรายได้จากการเก็บผลผลิตจากป่า ประเภทสัตว์ป่า 855,000 บาท
ปริมาณและรายได้จากการเก็บผลผลิตจากป่า ประเภทสมุนไพร 221,085 บาท
เมื่อรวมกันแล้ว มีมูลค่าสูงถึง 1,610,549 บาทในรอบปี ซึ่งถือว่าป่าได้สร้างรายได้จำนวนมากแก่ชุมชนแห่งนี้
จาก ข้อมูลนี้ ได้ทำให้ชาวบ้านแม่แพม รู้สึกรักและหวงแหนป่าผืนนี้มากยิ่งขึ้น เพราะนี่แหละคือ แหล่งความมั่นคงทางอาหาร ที่จะคอยปกป้องคุ้มครองดูแลชีวิตผู้คนที่นี่ให้อยู่รอดได้ อย่างมั่นคงและยั่งยืน!
ปริมาณและรายได้จากการเก็บผลผลิตจากป่า ประเภทพืช ในเขตพื้นที่ป่าชุมชนบ้านแม่แพม ปริมาณที่เก็บเป็นอาหาร ปริมาณที่เก็บมาจำหน่าย
(ที่มา การสำรวจของทีมวิจัยชาวบ้านและคณะกรรมการป่าชุมชน) ปริมาณและรายได้จากการเก็บผลผลิตจากป่า ประเภทสัตว์ป่า ในเขตพื้นที่ป่าชุมชนบ้านแม่แพม ปริมาณที่เก็บเป็นอาหาร ปริมาณที่เก็บมาจำหน่าย
ปริมาณและรายได้จากการเก็บผลผลิตจากป่า ประเภทเห็ด ในเขตพื้นที่ชุมชนบ้านแม่แพม ปริมาณที่เก็บมาเป็นอาหาร ปริมาณที่เก็บมาจำหน่าย
ปริมาณและรายได้จากการเก็บผลผลิตจากป่า ประเภทสมุนไพร ในเขตพื้นที่ป่าชุมชนบ้านแม่แพม ปริมาณที่เก็บมาเป็นอาหาร ปริมาณที่เก็บมาจำหน่าย
(ที่มา :การสำรวจของทีมวิจัยชาวบ้านและคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านแม่แพม) |
ติดตามตอนหน้า ฟังความเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการจัดการฐานทรัพยากรบ้านแม่แพม
* * * * * * * * * * * *
ที่มาข้อมูล : หนังสือ’ไปเรียนรู้วิถีพึ่งพาอย่างยั่งยืน การอยู่ร่วมดิน น้ำ ป่า ของคนแม่แพม’,ตี พิมพ์ครั้งแรก เมษายน 2552 ,สถาบันการจัดการทางสังคม(สจส.) 225/112 หมู่บ้านสินธนา ต.สันพระเนตร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 50210 โทร.053-380-566
ข้อมูลประกอบ
-ข้อมูลสัมภาษณ์ผู้นำหมู่บ้านและชาวบ้านแม่แพม ต.เมืองแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่,มกราคม 2552
-โครงการศึกษาวิจัยเรื่อง ระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน : สถานภาพและการเปลี่ยนแปลงโดย ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ หัวหน้าโครงการฯ ดร.
-ไร่หมุนเวียน–ไร่เลื่อนลอย ความเลื่อนลอยของใคร? ธัญกานต์ ทัศนภักดิ์ :โครงการพื้นที่ทางสังคมและสื่อทางเลือก ,ไทยเอ็นจีโอ 1 ส.ค. 46
-เพียรพร ดีเทศน์, เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้,โครงการแม่น้ำเพื่อชีวิต http://www.livingriversiam.org
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
รายงาน : ไปเรียนรู้วิถีพึ่งพา ดิน น้ำ ป่า คนปวาเก่อญอบ้านแม่แพม (ตอน 1)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)