ที่โรงแรมฮอลิเดย์การ์เด้น จ.เชียงใหม่เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ที่ผ่านมา ศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง (ศปส.)  มีการจัดเวทีพัฒนายุทธศาสตร์เครือข่ายพี่น้องชนเผ่าภาคเหนือ โดยมีผู้เข้าร่วมจากสมาคมอิมเปค, สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เครือข่ายลุ่มน้ำสาละวิน เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ และตัวแทนของแต่ละเผ่าฯลฯ

นายสรศักดิ์ เสนาะพรไพร ผู้ประสานงานเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) กล่าวว่า เดิมทีการเคลื่อนไหวขององค์กรชาวบ้านร่วมในนามเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือหรือ คกน. ที่ผ่านมาเป็นการรวมกลุ่มที่มาจากหลากหลายปัญหา ที่ดูแล้วมีพลังในในการต่อรองกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหา หลังจากนั้นก็เกิดกลุ่มเครือข่ายต่างๆ เช่นปัญหาที่ดิน หนี้สิน เขื่อน สมัชชาชนเผ่า มีแนวร่วมเกษตรกรภาคเหนือ (นกน.) และเครือข่ายป่าชุมชน เป็นต้น

อย่างไรก็แล้วแต่แม้จะแยกเครือข่ายแต่ก็มีความคิดว่ายังต้องทำงานช่วยเหลือกัน ก็ยังคอยประสานงานกันตลอด เนื่องจากแต่ละเครือข่ายมีแนวคิดหลักคือ การเกษตรกรรมและเกษตรกรรายย่อยเป็นฐานการผลิต และเป็นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจของสังคมไทย การที่เกษตรกรรายย่อยทุกคนมีที่ดินเป็นของตนเอง และมีความมั่นคงในการถือครองที่ดินเป็นหลักประกันเบื้องต้นของการพัฒนาการเกษตร ให้เป็นแหล่งอธิปไตยทางอาหารให้กับคนในชาติ และในการทำโฉดชุมชนจะเป็นแนวทางที่สามารถเป็นหลักประกันถึงความมั่นคง เป็นการให้ความคุ้มครองพื้นที่ให้กับเกษตรกรให้เกิดความยั่งยืน และที่สำคัญจะเป็นการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม

ในขณะที่ปัจจุบันการจัดการที่ดินรูปแบบของธนาคารที่ดินและโฉนดชุมชน ในมิติของชนเผ่านั้น จากบทเรียนที่ได้ ชนเผ่าน่าจะมีบทบาทของกระบวนการในการสร้างพื้นที่ในการกระจายอำนาจในการเมืองท้องถิ่นในมิติของความเป็นชาติพันธุ์เพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินทำกินอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการทำโฉนดที่ดินชุมชนที่กำลังดำเนินการอยู่ ในขณะเดียวกันจะต้องใช้ยุทศาสตร์การทำโฉนดชุมชนเป็นเครื่องมือในการจัดขบวนชนเผ่าอีกครั้ง

นายสุริยัน ทองหนูเอียด จากศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง (ศปส.) กล่าวว่าในชนเผ่าเองต้องคำนึงถึงการพัฒนาศักยภาพผู้นำโดยเฉพาะในกองเลขาเอง โดยส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีการจัดการอบรมรอบหนึ่งทั้ง พื้นฐานการเจรจาต่อรองและการพูดต่อหน้าสาธารณะ
 
ในขณะที่ประเด็นการจัดงานวันชนเผ่าสำหรับปี 2552 นี้ ส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะจัดในส่วนกลาง (กทม.) และเน้นการรณรงเป็นหลัก ดังนั้นแต่ละเผ่าอาจจะส่งแกนหลักในการจัดงานที่กรุงเทพฯ โดยปีนี้คาดว่า กระทรวงต่างประเทศจะให้การสนับสนุน ส่วนรายละเอียดคงคุยกันอีกครั้งที่จะมีแกนนำชุมชนละ 2 คนเข้าร่วม ในวันที่ 17 มิ.ย.นี้