Skip to main content
sharethis

 

ปัญหาการแย่งที่ดินทำกินของชาวบ้าน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในนามของการพัฒนา ทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาครัฐร่วมกับเอกชน กลายเป็นปัญหาที่ระบาดลามไปทั่ว ไม่เว้นกระทั่งสถาบันการศึกษา ก็ยังเกิดปัญหานี้กับชาวบ้าน

กรณีพิพาทแย่งที่ดินระหว่างมหาวิทยาลัยทักษิณกับชาวบ้านไสกลิ้ง ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และมหาวิทยาลัยทักษิณกับชาวบ้านทุ่งลานโย ตำบลบ้านพร้าว อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง นับเป็นกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจยิ่ง

“ยุทธนา ทองวัตร” หนึ่งในแกนนำชาวบ้านไสกลิ้ง ที่ลุกขึ้นมาเป็นคู่กรณีกับมหาวิทยาลัยทักษิณ บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ได้รับรู้กันทั่วหน้า ดังต่อไปนี้
 
0 0 0
 
คนที่ทำมาหากินอยู่ในทุ่งสระ บ้านไสกลิ้ง ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ที่เป็นเกิดกรณีพิพาทระหว่างชาวบ้านกับมหาวิทยาลัยทักษิณ ล้มหายตายจากกันไปหลายคนแล้ว คนแก่ๆ ที่ยังมีชีวิตเป็นลูกหลานรุ่นที่ 2 รุ่นที่ 3 แล้ว ส่วนคนแก่ที่เกิดที่นี่ อยู่ที่นี่ เท่าที่ยังมีชีวิตอยู่อายุมากสุดก็ 96 ปี ตอนนี้ เป็นอัลไซเมอร์จำอะไรไม่ได้แล้ว เกิดที่นี่เลย
 
พวกเราสืบทอดมรดกมาจากรุ่นปู่รุ่นย่า ที่เข้ามาอยู่ตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนแล้ว ปู่ย่าเล่าให้ฟังเจออุปสรรคทั้งลิง ทั้งค่าง ช้างป่า เสือ เข้ามากินพืชผล ควายป่าเข้ามาขวิดคนตายไปหลายศพ แต่ปู่ย่าเราก็ต้องทำกินอยู่ในทุ่งนี้ เพราะไม่รู้จะไปทำกินที่ไหน
 
คนหนึ่งมีที่ทำกินในทุ่งสระไม่เกิน 10 ไร่ ของผมแค่ 3 ไร่ ไม่น่าไปประท้วงเลย เสียเวลา แต่จำเป็นเพราะเราไม่มีที่ทำกินจริงๆ พวกที่จะเอาที่ดิน ก็เลือกจะเอาเฉพาะที่ทำกินของชาวบ้าน ของญาติพี่น้องตัวเองไม่เอา ที่สำคัญ คือ เขาเป็นคนที่นี่ เป็นที่รู้จักของคนในหมู่บ้านดี
 
ที่สาธารณประโยชน์ทั้งหมด 9,000 กว่าไร่ เป็นที่ทำกินของชาวบ้านประมาณ 1,450 ไร่ ทำกันมาจนโล่งเตียน น่าจะออกเอกสารสิทธิ์ให้ได้แล้ว แต่ไม่มีใครทำให้ ตอนแรกเริ่มเขาจะเอาหมดเลยทั้ง 1,450 ไร่ แต่เขาไม่เอาพื้นที่ที่เหลือ เพราะยังเป็นป่ารก เป็นป่าพรุ อยู่ดีๆ มหาวิทยาลัยทักษิณก็เข้ามา โดยที่ชาวบ้านไม่รู้เรื่องมาก่อน
 
ตอนแรก ชาวบ้านก็ยอม เพราะหวังว่าถ้ามหาวิทยาลัยทักษิณมาเปิด มีนักศึกษามาอยู่ที่นี่เศรษฐกิจจะดีขึ้น จะได้หันไปขายข้าวขายน้ำ ทำหอพัก พอเอาเข้าจริงเขาก็ย้ายไปเปิดวิทยาเขตที่อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง แต่ก็ไม่ยอมคืนที่ดินทุ่งสระให้กับชาวบ้าน อยู่มาวันดีคืนดีมหาวิทยาลัยทักษิณก็กลับมาเอาที่ดินของเราไปทำวิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน และทางจังหวัดพัทลุงก็ขอที่ดินตรงนี้บางส่วนจากมหาวิทยาลัยทักษิณ จะนำไปสร้างพุทธมณฑลอีก
 
กลับมาคราวนี้ ไม่ยอมให้ชาวบ้านเข้าไปทำมาหากิน เขาขู่ว่าถ้าใครเข้าไปถือว่าบุกรุก จะแจ้งความดำเนินคดี ชาวบ้านกลัวมาก แต่มีบางคนไม่รู้จะไปทำมาหากินที่ไหน ยังเข้าไปเลี้ยงวัวอยู่เหมือนเดิม
 
พวกเราคัดค้านไม่เอาวิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน ไม่เอาพุทธมณฑล เพราะไม่มีนักศึกษามาเรียนประจำ มีแต่อาคาร ชาวบ้านที่สูญเสียที่ดินทำกินไม่มีรายได้ จะหันไปทำอาชีพใหม่ ก็ไม่มีนักศึกษารองรับ มันผิดวัตถุประสงค์เดิม ที่มหาวิทยาลัยทักษิณเคยขอที่ดินไปใช้
 
ประมาณปี 2550 เขาเลยนัดชาวบ้านประชุม ประชุมกันหลายครั้ง ทุกครั้งพูดกันแต่เรื่องจะเอาที่ดินชาวบ้านอย่างเดียว ไม่ได้ถามชาวบ้านว่า จะอยู่กันอย่างไร จะแก้ปัญหาให้ชาวบ้านที่ถูกยึดที่ดินทำกินอย่างไร
 
มีอยู่ครั้งหนึ่งนายอำเภอควนขนุนมาด้วย ชาวบ้านก็ไปกันเยอะมีมติว่า ให้ถอยกันคนละก้าว เราก็ยอม หลังจากนั้นทางจังหวัดพัทลุงก็เข้ามาตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นมาพิจารณา เราก็ขอให้เขากันที่ดินให้สัก 300 ไร่ พอได้ทำนา ปลูกผัก หาปลา เลี้ยงวัว เขาก็ให้เอาตามแนวเส้นที่เขาวัดไว้ก่อนแล้ว บอกว่าขาดเกินไม่กี่ไร่ ชาวบ้านเลยบอกว่าต้องไปวัดที่ก่อน พอวัดจริงๆ ชาวบ้านได้แค่ 210 ไร่ มหาวิทยาลัยได้ไป 635 ไร่ ชาวบ้านก็ไม่ยอม เลยกลับไปคัดค้านกันที่สำนักงานวิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน ที่ทุ่งสระ ชาวบ้านก็เริ่มประท้วงมาตั้งแต่นั้นมาจนปัจจุบัน
 
ที่ดินที่เขาใช้จริงไม่กี่ไร่หรอก เขามาขุดเป็นหลุมเป็นบ่อ อ้างว่าปรับภูมิทัศน์เสียเต็มพื้นที่
 
ตอนที่เขาจะแบ่งที่ดินให้ชาวบ้าน 210 ไร่ มหาวิทยาลัยทักษิณบอกว่า ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ที่เพิ่ม ก็จะขอเพิ่มเติมอีก ถ้าเป็นแบบนี้ วันดีคืนดีเขามาเอาที่ดินอีก ชาวบ้านจะทำอย่างไร
 
ตอนนี้พื้นที่ที่จะแบ่งให้ชาวบ้าน 210 ไร่ เขากำลังล่าลายเซ็น นำไปสร้างพุทธมณฑลอีก ที่เขามาล่าลายเซ็น เขาไม่ได้ชี้แจงว่าจะเอาไปทำอะไร เข้ามาขอลายเซ็นอย่างเดียว ก่อนหน้านี้ วางแผนกันถึงขั้นจะทำพิธีปลุกเสกจตุคามรามเทพ เพื่อหารายได้สมทบทุนสร้างพุทธมณฑล พอชาวบ้านคัดค้านเรื่องเงียบไปพักใหญ่ ตอนนี้ทำท่าจะกลับมาอีกแล้ว
 
บางคนไม่มีที่ทำกินอื่นเลย บางคนมีที่ดินอื่นก็พออยู่ได้ เราจะปล่อยเลยตามเลยได้อย่างไร ก็ต้องช่วยกัน เพราะทำมาหากินด้วยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไปขอความช่วยเหลือหน่วยงานต่างๆ เขาก็บอกว่า ชาวบ้านบุกรุกที่สาธารณะ ไปขอความช่วยเหลือจากที่ไหน ก็ไม่มีหน่วยงานไหนช่วย ชาวบ้านไปแจ้งความมหาวิทยาลัยทักษิณ บุกรุกที่ทำกินชาวบ้าน เพราะเข้ามาก่อสร้างโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่สถานีตำรวจภูธรทะเลน้อยไม่ยอมรับแจ้งความ
 
พวกเราไม่รู้จะพึ่งใคร เลยไปยื่นหนังสือกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตอนที่เขาลงมาประชุมที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี
 
ทางองค์การบริหารส่วนตำบลพนางตุงเอง ไม่กล้าแสดงออกชัดเจน แต่ดูท่าทีแล้ว โน้มเอียงไปทางมหาวิทยาลัยทักษิณ
 
มหาวิทยาลัยทักษิณบอกว่า จะจ่ายผลอาสินให้กับผู้ปลูกต้นไม้ แบบนี้คนทำไร่ทำนาปลูกข้าว ก็ไม่ได้อะไรเลย ตอนแรกเขาบอกว่า คนที่ทำมาหากินตรงนี้ มหาวิทยาลัยทักษิณจะรับเข้าทำงานทุกคน ถ้ามีการสอบเข้าจะพิจารณาชาวบ้านที่นี่เป็นอันดับแรก
 
เอาเข้าจริง คนที่เอาเข้าไปทำงาน ก็มีแต่ลูกหลานของเขา เขาพูดเลยว่า คนจากหมู่ที่ 6 บ้านไสกลิ้ง ตำบลพนางตุงไม่ต้องไปสมัคร เพราะยังไงเขาก็ไม่เอาคนที่คัดค้านการดำเนินงานของเขาไปทำงานด้วย
 
ในการประชุมร่วมแต่ละครั้ง คนที่ได้รับเชิญส่วนใหญ่ 90 – 95% เป็นคนของเขา เชิญพวกผมไป 3 คน ถามความเห็นที่ประชุม ที่ประชุมก็เห็นด้วยกับเขา เราแค่ 3 คน จะมีน้ำหนักอะไร เหมือนตอนนี้ มีการล่าลายเซ็นสนับสนุนการสร้างพุทธมณฑล เขาไปขอลายเซ็นเฉพาะผู้ที่เห็นด้วย คนที่ไม่เห็นด้วย เขาก็ไม่มาขอลายเซ็น ทำแบบนี้ก่อให้เกิดความแตกแยกชัดๆ
 
การเข้ามาดูแลชุมชนของมหาวิทยาลัยทักษิณก็มีอยู่บ้าง แต่ดูแลเฉพาะบางกลุ่ม กลุ่มไหนได้รับ จะรู้กันเฉพาะกลุ่มนั้นๆ กลุ่มอื่นไม่รู้เรื่อง
สรุปคือ ชุมชนไม่มีส่วนร่วมอะไร วันนี้ไม่ใช่ศัตรูก็เหมือนศัตรู มันเกิดจากเขาคิดสวนทางกับชาวบ้าน
 
การล่าลายเซ็นสร้างพุทธมณฑล ควรจะมาที่หมู่ 6 ก่อน เพราะเป็นชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และควรจะสอบถามความเห็นว่า ถ้าเขาจะทำแบบนี้ ชุมชนจะคิดยังไง แต่เขากลับไปล่าลายเซ็นจากหมู่บ้านอื่น ซึ่งไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ผมถามว่ามันถูกต้องหรือเปล่า สรุปว่าหน่วยงานทุกระดับอ้างว่า ชุมชนไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะเขาว่าถ้าคนในตำบลพนางตุงคัดค้าน เขาจะยอม แต่คนส่วนใหญ่ในพนางตุงไม่ได้เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อน คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ คนในหมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 6 เพราะเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนนั้น ส่วนอีก 11 หมู่บ้าน ไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย
 
มีบางกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์ก็ออกมาชักจูงชาวบ้านให้เห็นดีเห็นงามไปด้วย แต่ส่วนหนึ่งในพื้นที่เดียวกัน คัดค้านแต่ก็ไม่กล้าแสดงออก ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันก็มาร่วมคัดค้านกับเราด้วย
 
ผมเคยถามว่า เพราะผมเห็นว่ามหาวิทยาลัยบางมหาวิทยาลัย มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด แต่ก็สอนให้นักศึกษาจบออกมาอย่างมีคุณภาพได้ แต่ทำไมมหาวิทยาลัยทักษิณ ถึงต้องการที่เยอะขนาดนี้ มันหมายความว่ายังไง มาขุดคูกันพื้นที่ไว้โดยไม่ทำอะไร แค่กลัวชาวบ้านเข้าไปทำมาหากิน ท้องถิ่นเองก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไร เพราะเขาไม่ต้องจ่ายภาษีให้รัฐ เพราะมหาวิทยาลัยทักษิณออกนอกระบบแล้ว ก็เท่ากับว่ากลายเป็นทรัพย์สินส่วนตัว และมหาวิทยาลัยสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง ทางเทศบาลเองก็ยังไม่ค่อยกล้า สมาชิกบางคนก็พยายามค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
 
เขาจะทำโรงงานน้ำส้มควันไม้ ทำไมใช้พื้นที่เป็นร้อยไร่ บางแห่งที่เขาทำประสบความสำเร็จ ใช้แค่ถังเพียงใบเดียว พื้นที่แค่ 1 ไร่ ก็เพียงพอแล้ว เวลาที่ชาวบ้านถามว่า จะเอาพื้นที่ตรงนี้ไปทำอะไร เขาก็อึ้งไปพักหนึ่ง ตอบไม่ได้ มีอีกหลายเรื่องที่ชาวบ้านยังไม่รู้เรื่อง ตอนที่ไปประชุมที่จังหวัด กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็ลงมาประชุมด้วย
 
ที่อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง พื้นที่ 3,000ไร่ก็ยังสร้างไม่เต็มพื้นที่ ทางมหาวิทยาลัยทักษิณยังไปเอาที่ สปก. ของชาวบ้านไปอีกหลายร้อยไร่ ดูตัวอย่างที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา เขาสร้างโรงแรมหารายได้ ต่อไปถ้ามหาวิทยาลัยทักษิณจะทำบ้างก็ทำได้ เพราะเขาออกนอกระบบแล้ว และอยู่ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทะเลน้อยด้วย อาคารแค่หลังเดียวใช้งบประมาณ 90 กว่าล้านบาท ตามแผนเขาจะสร้างเป็นอาศรมทั้งหมด 6 อาศรม ในเนื้อที่ 600 กว่าไร่ อาศรมละร้อยกว่าไร่ แล้วแผนแม่บทมันปรับเปลี่ยนตลอด พอมาถึงวันนี้เขาบอกว่า ไม่สามารถปรับได้อีกแล้ว
 
คนที่เดือดร้อนประมาณ 150 ครัวเรือน นับรวมลูกเล็กเด็กแดง เพราะเมื่อพ่อแม่เดือดร้อน ก็ส่งผลกระทบต่อลูก เมื่อพ่อแม่ไม่สามารถเข้าไปทำมาหากินในที่ที่เคยทำกินได้ มีเด็กหลายคนต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน เด็กๆ ในหมู่บ้านเรียนจบปริญญาตรีไม่กี่คน
 
คนที่นี่ส่วนใหญ่มีอาชีพ ทำนา ปลูกผัก พอไม่มีที่ให้ปลูกผัก ก็ไม่มีรายได้ วัยรุ่นคนหนุ่มสาวก็ทยอยออกไปอยู่ข้างนอก คนที่ยังอยู่ในหมู่บ้าน ก็ไปทำงานโรงงาน มีรถรับส่งทุกวัน ในหมู่บ้านจึงมีแต่คนแก่ๆ คนที่พอทำงานได้ ก็ออกไปรับจ้างกรีดยางที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี จังหวัดสตูล จังหวัดสงขลา ฯลฯ
 
คนป่าพะยอมสู้กับมหาวิทยาลัยทักษิณง่ายกว่าเรา เพราะที่นั่นมหาวิทยาลัยทักษิณไปทับที่ดิน สปก. ของชาวบ้าน ที่พนางตุงเราสู้แค่รักษาที่ทำกินเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงเอกสารสิทธิ์
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net