Skip to main content
sharethis

11 ก.ย. 52 เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและเมือง (คปสม.) และเครือข่ายการแก้ปัญหาคืนสัญชาติคนไทย ระนอง ประจวบ ชุมพร ทำหนังสือประท้วงรัฐบาล ถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 9 ก.ย.52 ระบุ ถูกสกัดไม่ให้เดินทางร่วมประชุม กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องสิทธิ กระบวนการและข้อกฎหมายการคืนสัญชาติไทย โดยไม่มีการชี้แจงและไม่ให้เหตุผลใดๆทั้งสิ้น ทั้งๆที่เครือข่าย ฯ ได้ทำหนังสือพร้อมแนบรายชื่อผู้เดินทาง แจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมาเรียบร้อยแล้ว จนเป็นเหตุให้เวทีประชุม ฯ ที่จังหวัดประจวบ ฯ ต้องล้มเลิกไปในที่สุด ชี้เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รุนแรง ไร้เหตุผล และไม่คำนึงถึงแนวทางการแก้ปัญหาตามกระบวนการประชาธิปไตย ที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน และการสร้างสันติสุขในสังคมไทย ทั้งยังเป็นการละเมิดต่อกฎบัตรสิทธิมนุษยชนอาเซียน ที่ประเทศเป็นแกนนำในการเสนอ

ทั้งนี้ในหนังสือประท้วงดังกล่าว ระบุว่า ตามที่เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) เสนอการแก้ไขปัญหาของเครือข่าย ฯ ต่อรัฐบาล และนายกได้รัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 165 / 2552 โดยปัญหาคนไทยพลัดถิ่น คนไร้สัญชาติที่ถูกกดขี่เอาเปรียบ เป็นเรื่องหนึ่งในปัญหาดังกล่าว และทุกฝ่ายมีความเห็นร่วมกันว่าควรเร่งแก้ปัญหาคนไทยพลัดถิ่น โดยการแก้ไขเพิ่มเติม พรบ.สัญชาติ ให้มีการคืนสัญชาติไทย แก่คนไทยพลัดถิ่นที่ย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนานแล้ว
 
ซึ่งคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชนและการสื่อสารมวลชน โดยนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ เป็นประธาน ฯ ได้ตั้งคณะทำงานร่วมหลายฝ่าย ฯ เพื่อยกร่าง แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.สัญชาติแล้วเสร็จ และกำลังเตรียมการเพื่อผลักดันเข้าพิจารณาในสภา ฯ นั้น
 
ในการนี้ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2552 เครือข่ายการแก้ปัญหาคืนสัญชาติคนไทยได้จัดเวทีประชุมร่วมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ) เพื่อทำความเข้าใจเรื่องสิทธิ กระบวนการและข้อกฎหมายการคืนสัญชาติไทย ณ วัดประชาสนธิ จังหวัดประจวบ แต่การเดินทางของผู้แทนคนไทยพลัดถิ่นจังหวัดระนองจำนวน 42 คน ถูกสกัดไม่ให้เดินทางออกนอกจังหวัด ณ บริเวณด่าน จปร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ตั้งแต่เวลา 14.00 น.ถึงเที่ยงคืนของวันที่ 8 กันยายน 2552 ทั้งๆ ที่เครือข่ายฯ ได้ทำหนังสือพร้อมแนบรายชื่อผู้เดินทาง แจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมาเรียบร้อยแล้ว จนเป็นเหตุให้เวทีประชุม ฯ ที่จังหวัดประจวบ ฯ ต้องล้มเลิกไปในที่สุด
 
โดยการสกัดการเดินทางเพื่อไปประชุมของคนไทยพลัดถิ่น ของผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ไม่มีการชี้แจงและไม่ให้เหตุผลใดๆทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รุนแรง ไร้เหตุผล และไม่คำนึงถึงแนวทางการแก้ปัญหาตามกระบวนการประชาธิปไตย ที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน และการสร้างสันติสุขในสังคมไทย ทั้งยังเป็นการละเมิดต่อกฎบัตรสิทธิมนุษยชนอาเซียน ที่ประเทศเป็นแกนนำในการเสนอ
 
ในตอนท้ายของหนังสือได้ระบุว่า เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและเมือง (คปสม.) และเครือข่ายการแก้ปัญหาคืนสัญชาติคนไทย ระนอง ประจวบ ชุมพร ขอประท้วงการไม่สนับสนุนและไม่ให้ความร่วมมือ การแก้ปัญหาคนไร้สัญชาติ : คนไทยพลัดถิ่น ที่ถูกกดขี่เอาเปรียบดังกล่าว และหวังว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะตระหนักถึงแนวทางการแก้ปัญหาอย่างสันติโดยการสนับสนุนอำนวยความสะดวกต่อคนไร้สัญชาติในการเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แทนการสกัดกั้นซึ่งเหมือนเป็นการซ้ำเติมชะตากรรมโหดร้ายที่พวกเขาเผชิญมาค่อนชีวิตให้ยิ่งเลวร้ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดปัญหาต่อสังคมดังเช่นในบางพื้นที่ของประเทศในขณะนี้...ทั้งๆที่มีกระบวนการ ขั้นตอนการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ ได้ดำเนินคืบหน้ามาใกล้ความสำเร็จแล้ว
 
 
 
 
 
 
 

 
 
ร่าง
บันทึกหลักการและเหตุผล
ประกอบร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ . .)
พ.ศ. . . . .
 
 


หลักการ
แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
 
เหตุผล
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงองค์ประกอบของผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกลั่นกรองสัญชาติให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และแก้ไขปัญหาสัญชาติให้คนไทยพลัดถิ่นซึ่งเป็นคนชาติพันธุ์ไทยที่ต้องกลายเป็นคนในบังคับของต่างประเทศเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และผู้สืบสายโลหิตที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยหรือเกิดในราชอาณาจักรไทยให้ได้คืนสถานะผู้มีสัญชาติไทยอย่างถูกต้องและเหมาะสม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
 
 
 
ร่าง
พระราชบัญญัติ
สัญชาติ (ฉบับที่ . .)
พ.ศ. . . . .
 
 
 


                        ........................................................................................................................................ ...............................................................................
                        โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
            ........................................................................................................................................ ........................... ...........................
 
                        มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ . .) พ.ศ. . . . .”
                        มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
                        มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความใน (๓) ของมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘ ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
                        “(๓) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินหกคนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์การทำงานด้านสัญชาติหรือสถานะบุคคลเป็นที่ประจักษ์ โดยต้องมีนักวิชาการด้านกฎหมายสัญชาติหรือสถานะบุคคล ด้านสังคมวิทยาหรือมานุษยวิทยา ผู้แทนจากภาคประชาชนและองค์กรพัฒนาเอกชน เป็นกรรมการ”
                        มาตรา ๔ คนชาติพันธุ์ไทยที่ต้องกลายเป็นคนในบังคับของต่างประเทศโดยเหตุอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์และไม่ได้อพยพกลับเข้ามาในราชอาณาจักรไทยก่อนวันที่พระราชบัญญัติแปลงชาติ รัตนโกสินทร์ศก ๑๓๐ และพระราชบัญญัติสัญชาติพุทธศักราช ๒๔๕๖ใช้บังคับ ย่อมเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด เว้นแต่บุคคลที่ถือสัญชาติเป็นอย่างอื่น
                        ผู้ที่สืบสายโลหิตจากบุพการีซึ่งเป็นบุคคลตามวรรคหนึ่งย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดเว้นแต่บุคคลที่ถือสัญชาติเป็นอย่างอื่น                                           
                        บุคคลตามวรรคหนึ่งและวรรคสองเรียกว่า “คนไทยพลัดถิ่น”
 
                        มาตรา ๕ บุคคลที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ผู้ใดอ้างว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่นเพื่อขอใช้สิทธิในความเป็นผู้มีสัญชาติไทย ให้ยื่นคำขอพิสูจน์และรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และจะใช้สิทธิในฐานะเป็นผู้มีสัญชาติไทยได้ต่อเมื่อผู้นั้นได้รับการรับรองจากคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น
                        (๑) เกิดในราชอาณาจักรไทย หรือเข้ามาอาศัยอยู่จริงโดยมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติหรือครอบครัวในชุมชนท้องถิ่นในราชอาณาจักรไทย
                        (๒) มีหลักฐานทะเบียนราษฎร และ
                        (๓) มีคุณสมบัติอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
                        การพิสูจน์และรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
                        มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นเพื่อรับผิดชอบการพิสูจน์และรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นตามพระราชบัญญัตินี้
                        คณะกรรมการตามวรรคหนึ่งต้องมีนักวิจัยหรือนักวิชาการทางด้านกฎหมายสัญชาติ หรือสถานะบุคคล ด้านสังคมวิทยาหรือมานุษยวิทยา ด้านประวัติศาสตร์หรือกลุ่มชาติพันธุ์ และผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชนและภาคประชาชน ร่วมเป็นกรรมการด้วยไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของคณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้ง
                        มาตรา ๗ บุคคลที่ได้รับการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ให้ยื่นคำขอลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรแห่งท้องที่ที่ผู้นั้นมีภูมิลำเนาอยู่ในปัจจุบัน
                        มาตรา ๘ คนไทยพลัดถิ่นที่ได้แปลงสัญชาติเป็นไทยหรือได้สัญชาติไทยแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่นที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นตามพระราชบัญญัตินี้โดยอนุโลม และให้มีสถานะเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดด้วย
                        มาตรา ๙ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
 
 
          ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
           ..................................
           นายกรัฐมนตรี
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net