ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลดโทษจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ จำเลยที่ 5 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ‘ภูมิธรรม’ จากที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 2 ปี เหลือจำคุก 6 เดือน เตรียมยื่นฎีกา
11 ก.ย. 52 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลดโทษจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ จำเลยที่ 5 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 2 ปี เหลือจำคุก 6 เดือน และพิพากษายืนให้ปรับบริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ผู้ผลิตรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท และให้ยกฟ้อง นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล กรรมการ บจก.ไทยเดย์ฯ นายพชร สมุทวณิช กรรมการ บจก.ไทยเดย์ฯ นายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน บริษัท แมแนเจอร์ มีเดียร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์ผู้จัดการ นายสุวัฒน์ ทองธนากุล กรรมการ บมจ.แมเนเจอร์ฯ นายมรุชัช รัตนปรารมย์ กรรมการ บมจ.แมเนเจอร์ฯ, นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ กรรมการ บมจ.แมเนเจอร์ฯ และนายวิรัตน์ แสงทองคำ ผู้ดูแลเว็บไซต์ จำเลยที่ 2-4 และ 6-10
คดีนี้นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย เป็นโจทก์ฟ้อง สรุปว่าเมื่อที่ 25 พฤศจิกายน 2548 นายสนธิ จำเลยที่ 5 และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมกันจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 10 ที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี มีเนื้อหาหมิ่นประมาทโจทก์ทำนองว่าเป็นอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่เคารพสถาบันกษัตริย์และระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งเกี่ยวข้องกับการจัดทำเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง โดยถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ของจำเลยที่ 1 และยังบันทึกเป็นวีซีดี และดีวีดี ออกเผยแพร่ รวมทั้งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับเสาร์-อาทิตย์ 26-27 และ 28 พฤศจิกายน 2548 และในเว็บไซต์ www.manager.co.th
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2550 ให้จำคุกนายสนธิ จำเลยที่ 5 เป็นเวลา 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ด้วยการเผยแพร่วีซีดี และดีวีดี รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ พิพากษาให้ปรับเงิน 200,000 บาท และให้ทำลายวีซีดี ดีวีดี รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 10 และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันฉบับวันที่ 26-27 และ 28 พฤศจิกายน 2548 รวมทั้งให้โฆษณาคำพิพากษาลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเป็นเวลา 3 วัน โดยให้จำเลยที่ 1 และ 5 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด สำหรับจำเลยอื่นให้ยกฟ้อง
ต่อมานายภูมิธรรมโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2-4 และ 6-10 ด้วย ส่วนบริษัท ไทยเดย์ฯ จำเลยที่ 1 และนายสนธิ จำเลยที่ 5 ยื่นอุทธรณ์ ว่าการจัดรายการของจำเลยที่ 5 ไม่มีเจตนาใส่ร้ายโจทก์แต่เป็นไปเพื่อให้คำแนะนำและองค์ความรู้ต่อโจทก์ในฐานะที่เป็นคนรุ่นหลังและแก้ไขในสิ่งที่ได้กระทำผิดมาโดยให้ยึดหลัก หิริโอตตัปปะ และมัชฌิมาปฏิปทา และอุทธรณ์ขอให้ศาลลดโทษและค่าปรับด้วย
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ที่จำเลยที่ 5 อ้างว่าโจทก์เป็นบุคคลสาธารณะและเคยกล่าวหาจำเลยที่ 5 ทำลายประชาธิปไตย และดึงสถาบันเบื้องสูงมาเกลือกกลั้วกับการเมือง จำเลยที่ 5 จึงมีสิทธิตอบโต้ด้วยการตั้งคำถามถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูงของโจทก์ ศาลเห็นว่าแม้โจทก์จะเป็นบุคคลสาธารณะและสามารถกล่าวถึงปูมหลังแต่การกล่าวถึงต้องเป็นการนำข้อเท็จจริงมาแสดงความคิดเห็น การกระทำของจำเลยที่ 5 เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงเรื่องในอดีต ที่โจทก์เคยเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อก่อนวันที่ 6 ตุลาคม 2519 แต่เมื่อเหตุการณ์สงบโจทก์ก็ได้กลับเข้ามาศึกษาเมื่อปี 2522 ซึ่งหากโจทก์ยังฝักใฝ่พรรคคอมมิวนิสต์ตามที่จำเลยที่ 5 กล่าวอ้าง โจทก์ก็คงไม่ดำเนินกิจกรรมการเมืองที่มีระบบเลือกตั้ง