เครือข่ายภาคประชาชนไทยประกาศจัดเวทีคู่ขนานการเจรจาโลกร้อนกรุงเทพฯ
(29 ก.ย.52) ขณะที่ภายในห้องเจรจายูเอ็น เริ่มการเจรจารายประเด็น การลดโลกร้อน การปรับตัวต่อผลกระทบโลกร้อน การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและการให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี เคียงคู่การเจรจาหาข้อตกลงหลังพิธีสารเกียวโตหมดระยะบังคับใช้ (ปี 2555)
กิ่งกร นริทรกุล ผู้ประสานงานคณะทำงานเพื่อโลกเย็นที่เป็นธรรมไทย นำทีมเครือข่ายภาคประชาชนแถลงหน้าตึกยูเอ็น เรียกร้องมาตรการที่เป็นธรรม 8 ข้อจากเวทีเจราโลกร้อนกรุงเทพ โดยเป็นการแถลงในนาม “สมานฉันท์ประชาชนอาเซียนเพื่อโลกเย็นที่เป็นธรรม” ร่วมกับ ผู้แทนภาคประชาชนเอเชีย Farjana Akter (จากองค์กร Voice บังคลาเทศ หนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบโลกร้อนมากที่สุดของเอเชีย) และ ผู้แทนภาคประชาชนจากนอกเอเชียชาวเคนยา Njoki Njehu (จากองค์กร Jubilee South Africa)
Farjana Akter เป็นผู้อ่านแถลงการณ์ข้อเรียกร้อง ดังรายละเอียดด้านล่าง
“นี่เป็นครั้งแรกและครั้งประวัติศาสตร์ที่ประชาชนอาเซียนลุกขึ้นมาแสดงตัวตนเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาวิกฤตโลกร้อนอย่างเป็นธรรม เคารพสิทธิมนุษยชน และต้องไม่ซ้ำเติมชะตากรรมเหยื่อการพัฒนาที่เป็นอยู่” กิ่งกรกล่าว
“ภาคประชาชนโลกตอนนี้ตื่นตัวและลุกขึ้นมาจับตาการแก้ปัญหาโลกร้อนเพิ่มขึ้นตามลำดับ สิ่งที่ต้องการร่วมกันชัดเจนคือการลงมือแก้วิกฤตอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม” Njehu กล่าว
กิ่งกรเปิดเผยด้วยว่า หลังจากการแถลงท่าทีวันนี้ จะมีการจัดเวทีสาธารณะโลกร้อนภาคประชาชน คู่ขนานกับการเจรจาโลกร้อนในช่วงวันที่ 3-4 ต.ค.นี้ ที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร โดยมีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อนมาร่วมกว่า 500 คนทั่วประเทศ ไม่รวมผู้แทนจากอาเซียนและนอกอาเซียนอีกจำนวนหนึ่ง ในเวทีจะมีการนำเสนอความเดือดร้อน แลกเปลี่ยนความเห็นและจัดทำเป็นข้อเสนอภาคประชาชนให้แก่ทั้งภาครัฐไทยและเวทีเจรจา
เครือข่ายเอ็นจีโอโลกด้านโลกร้อนจี้สหรัฐและชาติก่อโลกร้อนแสดงความรับผิดชอบเป็นรูปธรรมในการเจรจาโลกร้อนกรุงเทพ
14.00 น. วันเดียวกัน ผู้แทนแนวร่วมองค์กรพัฒนาเอกชน นำโดยไดน่า ฟันเตสฟิน่า ผู้ประสานงานโครงการรณรงค์ลดโลกร้อน tcktcktck เอเชียแปซิฟิก ประมาณ 50 คนได้พากันรวมตัวและโบกธงประจำชาติเดินขบวนจากสวนลุมพินีไปยังบริเวณด้านหน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา ถ.วิทยุ เพื่อยื่น “หมายศาล” เรียกตัวผู้แทนสหรัฐและชาติพัฒนาแล้วที่เป็นจำเลยคดีก่อโลกร้อนดังกล่าว ให้ไปขึ้นศาลภาคประชาชนที่กำลังจะจัดขึ้นสัปดาห์หน้า ในกรุงเทพฯ
“สหรัฐอเมริกาต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อวิกฤตโลกร้อนที่ตัวเองก่อมาหลายทศวรรษที่ผ่านมา หากต้องการหลีกเลี่ยงที่ประสบชะตากรรมจากภัยพิบัติโลกร้อนเช่นกรณีเฮอร์ริเคนแคทรีนาที่ผ่านมา” นางไดน่ากล่าว
“เรายังไม่เห็นความพยายามแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมจากสหรัฐเลย ท่ามกลางผลกระทบจากภัยพิบัตโลกร้อนที่กระหน่ำทั่วโลกตอนนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ยากจะรับได้” นางไดน่ากล่าว
ระหว่างการรวมตัว ผู้แทน tcktcktck ในชุดเจ้าหน้าที่ศาล (เสมียน) ได้ยื่นหมายศาลให้แก่ผู้แทนจากสถานทูต เพื่อให้ไปปรากฏตัวในการพิจารณาคดีที่ศาลประชาชนในวันอังคารที่ 6 ต.ค.2552 เหมือนกระบวนการจริงของกระบวนการพิจารณาคดีระบบศาลยุติธรรม โดยการไต่สวนคาดว่าจะจัดขึ้นที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ ใกล้สถานที่จัดการเจรจาโลกร้อน UNESCAP
ในการไต่สวนจะมีพยานสำคัญเป็นชาวบ้านจากชุมชนห่างไกลในภูมิภาคเอเชียรวม 6 คนที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อนมาให้ปากคำเรื่องความเดือดร้อนดังกล่าวว่าสาหัสหนักหนาเพียงใดต่อชีวิต ครอบครัวและชุมชนของพวกเขา
“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้แทนรัฐบาลสหรัฐจะปรากฏตัวที่ศาลประชาชนเพื่อเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของวิกฤตโลกร้อนและเข้าใจสถานการณ์ความเดือดร้อนของชาวบ้านที่เกิดจากการกระทำจากน้ำมือของพวกเขา” นางไดน่ากล่าว
“ตอนนี้ ขณะที่เราคุยกันอยู่ พายุไต้ฝุ่นกฤษณากำลังมุ่งหน้าเข้าเวียดนามด้วยความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ ยอดผู้เสียชีวิตในฟิลิปปินส์ตอนนี้เป็น 140 คนแล้วและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอีก คนหลายร้อยกำลังติดอยู่กลางน้ำท่วมไม่มีที่ซุกหัวนอน ทั้งไต้ฝุ่นกฤษณาและเฮอร์ริเคนแคทรีนา คือข้อเท็จจริงที่สะท้อนภาพให้เห็นว่า หากเราไม่ลงมือแก้ไขวันนี้ อนาคตจะเป็นอย่างไร ซึ่งมันจะรุนแรงกว่านี้หลายเท่า” นางไดน่ากล่าว
ทั้งนี้ เฮอร์ริเคนแคทรีนาเข้าชายฝั่งรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกาในปี 2548 ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 2000 คนและน้ำท่วมใหญ่ก่อนที่จะเคลื่อนต่อไปสร้างความเสียหายที่ตอนใต้รัฐหลุยส์เซียน่า นับเป็นเฮอร์ริเคนล่าสุด หนึ่งในห้าครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ประเทศหนึ่งในไม่กี่ประเทศเศรษฐกิจสำคัญโลกที่ไม่ยอมลงนามพิธีสารเกียวโตเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการมีพันธะสัญญาที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับประชาคมโลก
เครือข่ายชาวประมงอาเซียนออกแถลงการณ์หนุนการลดโลกร้อนด้วยวิธีการที่เป็นธรรม
ด้านเครือข่ายประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ออกแถลงสนับสนุนการลดโลกร้อนด้วยวิธีการที่เป็นธรรม โดยระบุว่าเครือข่ายประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอ็นจีโอจัดกิจกรรมต่อเนื่องกับองค์กรภาครัฐระดับภูมิภาค เพื่อผลักดันให้เปลี่ยนวิธีแก้ปัญหาโลกร้อนในภูมิภาค
อาร์เซนิโอ ทันชูลิ่ง ผู้ประสานงานภูมิภาค เครือข่ายประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อความยุติธรรม (Southeast ASIA Fish for Justice Network (SEAFish) กล่าวในแถลงการณ์ว่า จะมีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. จนถึง 4 ต.ค. นี้ที่กรุงเทพฯ โดยการประชุมประกอบด้วยการพูดคุยกับกองเลขาธิการระดับภูมิภาคว่าด้วยสามเหลี่ยมปะการัง ซึ่งปัจจุบันมีรัฐบาลอินโดนีเซียเป็นผู้แทน องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) สำนักงานประจำภูมิภาค ในเอเชียและแปซิฟิก และการพบปะกันระหว่างกลุ่มชาวประมงและชาวนารายย่อยกับผู้แทนรัฐบาลอาเซียน
ทันชูลิ่ง กล่าวว่า วิธีการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปัจจุบันอาศัยระบบตลาด เช่น การแลกเปลี่ยนและชดเชยคาร์บอนมากเกินไป
"ในทางกลับกัน การประชุมจะเน้นให้เห็นถึงคุณค่าของหลักความยุติธรรมด้านภูมิอากาศต่อประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากตามประวัติศาสตร์แล้วประเทศที่ร่ำรวยจะต้องรับผิดชอบกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปและผลกระทบที่เกิดกับประเทศยากจน ที่ควรได้รับสิทธิเรียกร้องการซ่อมแซมและชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น" เขากล่าว
ทันชูลิ่งกล่าวด้วยว่า ประมาณการค่าเสียหายขั้นต่ำที่ประเทศร่ำรวยเป็นหนี้ประเทศยากจน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1800-2008 เป็นเงินประมาณ 24 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไม่รวมค่าชดเชยจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของพวกเขาในอนาคต
"ดังนั้น ชาวประมงรายย่อยและพวกเราจะเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศร่ำรวยให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังโดยไม่มีเงื่อนไข และไม่พึ่งพิงการค้าขายและชดเชยคาร์บอน รวมถึงระบบตลาดอื่นๆ"
ทันชูลิ่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้สอดคล้องกับความยุติธรรมด้านภูมิอากาศ เงินทุนสำหรับการปรับปรุงและบรรเทาต้องมาจากประเทศร่ำรวยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และไม่ควรอยู่ในรูปของสินเชื่อเพื่อจ่ายแก่ประเทศที่ยากจน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)