Skip to main content
sharethis

 เครือข่ายประชาชนไทยแถลงยืนยัน มาตรการลดโลกร้อนใด ๆ ของทั้งรัฐบาลไทยและเวทีเจรจาโลกร้อนกรุงเทพ “ต้องมีความเป็นธรรม” เป็นหลักนำ

คณะทำงานเพื่อโลกเย็นฯ ได้ร่วมกับเครือข่ายองค์กรประชาชนไทยจัดเวทีสาธารณะ “ลดโลกร้อน ต้องทำอย่างเป็นธรรม” ที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมพิตร ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมภาคประชาชน เวทีคู่ขนานการเจรจากรุงเทพ
ระหว่างวันที่ 3-4 ต.ค.52 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความเห็นต่อการดำเนินการลดโลกร้อนระดับโลกที่จะส่งผลต่อประชาชนไทย และจัดทำเป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลไทยและเวทีเจรจาโลกร้อนสหประชาชาติจาก 5 เครือข่ายองค์กรประชาชนไทย คือเครือข่ายพลังงาน ประมงพื้นบ้านภาคใต้ เกษตร ป่าไม้และที่ดิน และเครือข่ายชนพื้นเมือง ซึ่งเมื่อวันที่ 4 ต.ค. จักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงานคณะทำงานเพื่อโลกเย็นที่เป็นธรรม ได้เป็นตัวแทนแถลงถึงผลการประชุมว่า
 
“แนวโน้มตอนนี้คือ มาตรการลดโลกร้อนทั้งที่มีอยู่และที่กำลังเจรจามีแนวโน้มสูงมากที่จะซ้ำเติมความทุกข์ยากของชาวบ้านให้หนักยิ่งขึ้นในมิติต่างๆ และเป็นการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างไม่ตรงจุด ไม่แก้ที่ต้นเหตุสำคัญ”
 
“หากปราศจากความเป็นธรรม มาตรการลดโลกร้อนซึ่งเริ่มจากเจตนาที่ดีงามก็ไม่ต่างจากเครื่องมือทรงอานุภาพระดับโลกที่บดขยี้ชุมชนท้องถิ่นและทรัพยากรธรรมชาติในนามความต้องการพิทักษ์โลกเท่านั้น”
 
เขายังกล่าวด้วยว่า การลดโลกร้อนเป็นสิ่งจำเป็น และต้องร่วมมือกันทั้งโลก ไม่สามารถดำเนินการได้ลำพัง และประชาคมโลกกำลังพยายามดำเนินการผ่านเวทีเจรจาของสหประชาชาติ เวทีเจรจากรุงเทพก็เป็นหนึ่งในความพยายามนั้น ซึ่งคาดหวังว่า ผลจะออกมาในทิศทางที่ถูกต้องและทันกับสถานการณ์วิกฤตซึ่งจะกระทบทุกคนอย่างที่ทราบกันดี
 
“ภาคประชาชนไทยได้แลกเปลี่ยนและสรุปตรงกันคือความเป็นห่วงต่อความเป็นธรรมของมาตรการเหล่านั้น และขอเรียกร้องต่อผู้เกี่ยวข้องให้ดำเนินการลดโลกร้อนด้วยวิธีและมาตรการที่เป็นธรรม ในระดับประเทศคือรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนระดับโลกคือ รัฐบาลและผู้แทนเจรจาในเวทีเจรจาโลกร้อนทั้งที่กรุงเทพและต่อไปถึงเวทีสรุปในโคเปนเฮเกน” กล่าว
 
 
สุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล 
ตัวแทนเครือข่ายพลังงานจากกลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก
ภาคอุตสาหกรรมและพลังงานเป็นภาคที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด และมีแนวโน้มสูงมากว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราที่น่าเป็นห่วง ซึ่งจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับประเทศในเวทีเจรจาข้อตกลงโลกร้อน
 
ในสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงมากของภาคพลังงานนั้น เป็นเพราะเราต้องเร่งผลิตพลังงานป้อนภาคอุตสาหกรรมกลุ่มที่ใช้พลังงานยิ่งยวด (มากเป็นพิเศษเมี่อเทียบกับอุตสาหกรรมทั่วไปโดยเฉลี่ย) อย่างอุตสาหกรรมเหล็กขั้นต้น แค่โรงเดียวก็ต้องทำให้ไทยต้องหาพลังงานมหาศาล ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล แล้วเราเป็นห่วงมากต่อสิ่งที่นักวิชาการสรุปตรงกันว่า แนวโน้มจากนี้ อุตสาหกรรมประเภทนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะแรงกดดันจากประเทศพัฒนาแล้วที่จะต้องลดก๊าซเรือนกระจกตามพันธะสัญญาและย้ายฐานการผลิต โรงงานประเภทนี้มาเมืองไทย หากเรายังคงเดินหน้าพัฒนากันแบบนึ้ ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เพราะไม่มีแหล่งพลังงานไหนจะสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มมหาศาลเช่นนี้ได้
 
คำถามคือสังคมไทยต้องการการพัฒนาแบบนี้หรือ คำตอบคือไม่ แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องตั้งสติทบทวนกันตั้งแต่วันนี้ วันที่ยังพอจะแก้ไขอะไรได้ มิเช่นนั้นลูกหลานเราต้องอยู่กับมลพิษจากทั้งโรงไฟฟ้า โรงเหล็ก และนิวเคลียร์อย่างไม่ต้องสงสัย เราอยากเห็นสังคมไทยทั้งหมดเป็นแบบมาบตาพุดตอนนี้หรือ นี่เป็นคำถามง่ายๆ จากพวกเราประชาชนที่กำลังเผชิญชะตากรรมหนักหน่วงจากการพัฒนาอุตสาหกรรมและพลังงานที่ผิดที่ผิดทาง
 
ข้อเรียกร้องเดียวของพวกเราคือ เราต้องการความเป็นธรรมในการพัฒนา ทั้งพัฒนาพลังงาน อุตสาหกรรมและพัฒนาประเทศโดยรวม การพัฒนาที่เราสามารถรับรู้ มีส่วนร่วมและตรวจสอบได้ เราเชื่อเหลือเกินว่าด้วยการพัฒนาที่เป็นธรรมจะสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและแก้ปัญหาโลกร้อนได้อย่างยั่งยืนไปควบคู่กันด้วย” นางสาวสุรีรัตน์กล่าว
 
 
บุญ แซ่จุ่ง 
ตัวแทนเครือข่ายที่ดินป่าไม้ 
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าไม้ของรัฐ กำลังกลายเป็นเหยื่อการแก้ปัญหาโลกร้อน เท่าที่ผมและเพื่อนๆ ในเครือข่ายรับรู้ มีการเจรจาที่พยายามหาทางเอาป่าไม้ไปเป็นสินค้าในรูปแบบใหม่ คือรักษาป่าแล้วคำนวณปริมาณคาร์บอนที่ป่าที่รักษาได้ออกมาเป็นคาร์บอนเครดิตแล้วซื้อขาย  
 
เราคิดว่าแบบนี้จะสร้างปัญหาให้กับชาวบ้านในเครือข่ายเราที่ตอนนี้อยู่ในเขตที่รัฐประกาศเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั้งที่เราอยู่มาก่อนหลายชั่วอายุคน ตรงนี้เป็นปัญหาที่มีอยู่ และเราพยายามร่วมมือกับรัฐที่จะแก้ปัญหาในระดับชาติ เช่นหาทางออกกฎหมายป่าชุมชน พอมีเรื่องโลกร้อนขึ้นมา จะเป็นแรงกดดันต่อชาวบ้านหนักขึ้นอีก ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านถูกละเมิดสิทธิได้มากขึ้นจากที่เป็นอยู่
 
ที่สำคัญเราไม่แน่ใจว่า ต่อให้สามารถรักษาพื้นที่ป่าบ้านเราไว้ได้ แล้วจะสามารถทำให้ก๊าซโลกร้อนทั้งโลกลดได้เท่าไร เพราะเท่าที่ทราบ คนที่ปล่อยมากและควรต้องลดก่อนเป็นอันดับแรกคือพวกอุตสาหกรรม ประเทศรวย ๆ ที่ใช้พลังงานเยอะ ๆ เราน่าจะไปตั้งเป้าหมายที่กลุ่มนั้นมากกว่า แทนที่จะมาบังคับในภาคป่าไม้ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาอยู่แล้ว แบบนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มของการทำให้การลดโลกร้อนที่เป็นธรรมในระยะยาวในสายตาเรา
 
สำหรับมาตรการลดโลกร้อนในภาคป่าไม้ หากจะทำ ก็ต้องแก้ปัญหาใหญ่ที่มีอยู่ตอนนี้ก่อน คือเรื่องสิทธิชุมชนในการร่วมรักษาป่า ถ้าแก้ตรงนี้ไม่ได้ กลไกลดโลกร้อนอย่าง REDD ก็จะเป็นแค่เครื่องมือซ้ำเติมความทุกข์ยากของชาวบ้านในเขตป่า
 
 
สิทธิโชค แขกปาทาน
ตัวแทนเครือข่ายประมงพื้นบ้านภาคใต้
เราชาวประมงเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเกิดวิกฤตโลกร้อน คือผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น อากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติ ทำมาหากินไม่ได้เต็มที่ บ้างสูญเสียที่ดิน น้ำทะเลอุ่นขึ้น สัตว์น้ำลดลง หายาก รายได้ลดลง เหล่านี้คือที่เรากำลังเจออยู่
 
การจะลดก๊าซโลกร้อนหรือเตรียมรับมือโลกร้อนต่าง ๆ ควรต้องอยู่บนหลักการสำคัญคือให้สิทธิชาวบ้านเป็นคนจัดการ ตั้งบนพื้นฐานทรัพยากรและองค์ความรู้ในพื้นที่ สิ่งที่ทำได้เลยตอนนี้ถ้ารัฐมีความจริงใจและตั้งใจแก้ไขปัญหาโลกร้อนจริง คือหยุดและทบทวนโครงการพัฒนาพลังงาน และโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมชายฝั่งต่าง ๆ ตัวการใหญ่ปล่อยก๊าซโลกร้อนบ้านเรา แล้วหันมารับรองสิทธิ การสนับสนุนการจัดการทรัพยากรชายฝั่งโดยชุมชนประมงชายฝั่ง
 
 
จรินทร์ คะโยธา
ตัวแทนเครือข่ายเกษตรทางเลือก
ภาคเกษตรก็เป็นอีกภาคหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะโลกร้อน และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นจนยากที่จะปรับตัวรับมือ
 
มีความพยายามเสนอมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นการดำเนินการที่ชัดเจนพอที่เราจะบอกว่าควรสนับสนุนหรือคัดค้าน แต่จากทิศทางการพัฒนาการเกษตรที่เป็นอยู่ คือเน้นสนับสนุนการเกษตรขนาดใหญ่เชิงพาณิชย์ ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมีเยอะ ๆ ใช้เมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) จะไม่ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน และอาจทำให้ปัญหาแย่ลงได้         
 
การเกษตรแบบอิงธรรมชาติโดยเกษตรกรรายย่อย คือทางออกสำหรับการพัฒนาการเกษตรที่สามารถช่วยลดโลกร้อนได้ เพราะมีการจัดการที่ดินและการผลิตสอดคล้องกับพื้นที่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญเป็นตัวสำคัญที่จะช่วยสร้างความมั่นคงด้านอาหารโลก
 
เราขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่กำลังหามาตรการลดโลกร้อน สนับสนุนทิศทางการพัฒนาเกษตรรายย่อยเช่นนี้ด้วยเหตุผลดังกล่าว และทิศทางนี้เราจะสามารถพัฒนาภาคเกษตรที่สร้างความมั่นคงด้านอาหารไปพร้อมกับการลดก๊าซเรือนกระจกได้จริง และขอคัดค้านมาตรการใดๆ ก็ตามที่ขัดแย้งกับทิศทางและหลักการเกษตรกรรมยั่งยืน การเพาะปลูกผสมผสาน         
 
ส่วนมาตรการที่กำลังถกเถียงในเวทีเจรจาตอนนี้อย่างการค้าคาร์บอนจากการจัดการที่ดินนั้น เราเห็นว่าจะทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรที่ดินของเกษตรกรรายย่อยมากขึ้น จึงไม่ควรสนับสนุน
 
 
ปฎิภาณ วิริยะวนา
เครือข่ายชนเผ่า         
มาตรการลดโลกร้อนที่จะกระทบต่อพี่น้องชนเผ่าของเรา คือมาตรการ REDD เพื่อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งจะเป็นการดำเนินการที่มีเงื่อนไขกระทบต่อชาวบ้านในเขตป่าซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าอย่างหนัก
 
ปัจจุบัน เราชาวชนเผ่าต่างก็เผชิญกับปัญหาหนักเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน สิทธิการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนักอยู่แล้ว รัฐไม่ค่อยจะรับรองสิทธินี้แก่พวกเรา และกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการแก้ไขร่วมกัน การเข้ามาของมาตรการโลกร้อนจะทำให้สถานการณ์ปัญหาเหล่านี้แย่ลงอีก เป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของพวกเราชัดเจน
 
ดังนั้นเราขอคัดค้าน REDD และมาตรการลดโลกร้อนใดๆ ที่จะซ้ำเติมเราเช่นนี้ และพร้อมจะสนับสนุนมาตรการที่ส่งเสริมสิทธิเหล่านี้แก่พวกเรา

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net