ดึงศัตรูมาเป็นมิตร ร่วมแก้ 'ปัญหาประชาชาติ' ล้มกระแส 'คลั่งชาติ'

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

“ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาของชาติของพรรคการเมืองมีสาเหตุมาจากระบอบเผด็จการ ความผิดจึงมิใช่อยู่ที่รัฐบาล แต่อยู่ที่ระบอบเผด็จการรัฐสภา อันเป็นเหตุให้เกิดความจนของประเทศ และย่อมเป็นเหตุแห่งความจนของประชาชน

“ความจนของประชาชนเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ความชั่ว และความล้าหลัง ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ และเป็นอุปสรรคต่อบทบาทอันพึงมีของประเทศไทยในเวทีสากล
“ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมไม่ว่าประเทศใดก็ตาม เมื่อความล้มเหลวทางเศรษฐกิจทรุดลงมาคู่ขนานกับความล้มเหลวทางการเมือง ปรากฏการณ์เช่นนี้คือสัญญาณเปิดประตูนรกแห่งมิคสัญญีกลียุค”
 
ดิฉันขอยกข้อความที่ตัดตอนมาจากแถลงการณ์คณะกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อผลักดันการสร้างประชาธิปไตยของขบวนการกรรมกรไทยเมื่อปี พ.ศ.2535 เปิดนำบทความของคนอยากเขียนหนังสือ (ซึ่งขอออกตัวว่าไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพอย่างที่ใครๆ คาดหวังหรือดูถูกไปเมื่อบทความล่าสุด)
แถลงการณ์ของสภากรรมกรดังกล่าวแม้ว่าจะผ่านมาร่วมสิบปีแล้วก่อนที่ดิฉันจะเริ่มศึกษาการเมืองไทยอย่างจริงจังด้วยการปฏิบัติจริงคือการประกอบอาชีพผู้สื่อข่าวส่วน “สารคดีโลกสีฟ้า” หนังสือพิมพ์สยามโพสต์ ซึ่งถูกปิดตัวไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 2541 ด้วยพิษเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” และด้วยเหตุผลวงในอีกประการซึ่งสำคัญกว่า  ทั้งนี้คุณปีย์ (คีย์แมนสำคัญที่มีกระแสข่าวเปิดเซฟเฮาส์วางแผนการรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ) คงตอบได้ดีที่สุด และถ้าคุณยังจำได้ว่ามีนักข่าวของสยามโพสต์ร่วมร้อยต้องตกอยู่ในสภาพตกงานภายหลังการฉลองปีใหม่ด้วยใจหวั่น ในขณะที่นักข่าวของ จส.100 ยังคงมีงานทำอยู่ (ซึ่งเข้ามากินเงินเดือนร่วมกับพวกเราก่อนหน้านี้ไม่นานนัก) นี่คือสาส์นถึงท่านโดยตรง
จากวันนั้นถึงวันนี้แม้สถานภาพที่เปลี่ยนจากคนเขียนสารคดีมาเป็นการประกอบธุรกิจส่วนตัวในปัจจุบัน   แม้อาชีพเปลี่ยน แต่จุดยืนด้านชาติจุดยืนที่เขียนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ประชาชนส่วนรวมไม่เคยเปลี่ยน
บุคคลหรือกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้เปรียบทางสังคมอยู่แล้วดิฉันไม่จำเป็นต้องเสนอถึง
ดิฉันยังคงอยากเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่โครงสร้างที่เป็นธรรมเป็นโครงสร้างที่เอื้อประโยชน์ให้คนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งอยู่ตามต่างจังหวัด และประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก(ปัจจุบันดิฉันและครอบครัวอยู่ที่แถบชนบทของโคราช) ไม่เฉพาะคนในกรุงเทพฯ หรือผู้บริหารประเทศที่กุมอำนาจรัฐไว้ในมือมาทุกยุคทุกสมัย เป็นกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ ไม่ได้เป็นปากเป็นเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องโอกาสในการศึกษา โอกาสในการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น โอกาสที่จะมีสิทธิมีเสียงแสดงความคิดเห็นทางการเมืองให้ได้ดังๆ พอๆ กับคนในกรุงเทพฯ หรือหวังให้สูงสักหน่อยก็ขอแค่ให้ผู้กุมอำนาจรัฐในมือขณะนี้ชายตามามองและแก้ปัญหาต่างๆ ของคนบ้านนอกประสบอยู่   ในขณะที่รัฐบาลโดยเฉพาะท่านนายกฯอภิสิทธิ์กำลังสนใจแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องแสดงท่าทีและกำหนดมาตรการกับกรณีบาดหมางระหว่างไทยกับกัมพูชา
ดิฉันอยากบอกว่าขณะนี้ชาวบ้านที่เป็นลูกค้าโดยมากของร้านดิฉันกำลังอยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตซึ่งส่วนใหญ่ก็คือข้าวนั่นเอง พวกเขายังหวังไม่ได้เลยว่าราคาข้าวจะเป็นเช่นไร ผลสรุปการประกันราคาข้าวของรัฐบาลหาข้อยุติที่ตันละเท่าไหร่
หรือแม้กระทั่งเงินเดือนผู้สูงอายุที่ตกลงว่าจะได้ทุกเดือน เดือนละ 500 บาทที่ต้องชะลอไปเมื่อไหร่จะได้ เงินเบี้ยเลี้ยงของ อสม. ของกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านทำไมยังถูกเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด
“เงินเดือนผู้ใหญ่บ้านผมก็ยังไม่ได้เลย ผลัดมาตั้งแต่เดือนตุลาฯแล้ว นี่พวกผมพาลูกน้องเข้าไปรับเงินเดือนที่อำเภอโดยไม่เอาเงินติดตัวไปเลย แต่สุดท้ายก็คือแห้วครับ ทางอำเภอบอกว่าเงินยังไม่มี เงินค่ารถยังต้องขอกับปลัดฯเลย” ผู้ใหญ่บัวไหล แห่งบ้านเก่าตาดำ ต.สาหร่าย อ.ชุมพวง ได้บ่นอุบกับดิฉันในช่วงต้นเดือนที่แวะเวียนมาเยี่ยมทางร้าน
นี่คือปัญหาปากท้องขั้นพื้นฐานที่ชาวบ้านลูกค้าและเป็นมิตรที่ดีเสมอมาของดิฉันประสบ ยังไม่รวมถึงโครงการซ่อมถนนที่หมดสภาพ ตลอดจนโครงการต่างๆ ที่จะมีเข้ามาพัฒนาก็หายเข้ากลีบเมฆไป
ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าดิฉันจะโทษว่าเป็นความผิดของท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกฯคนปัจจุบันของไทยหรือแม้กระทั่งรัฐบาลชุดนี้หรือชุดไหนๆในอดีตก็ตามที  เพราะทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นปัญหาระดับโครงสร้างการเมืองที่ไม่เป็นธรรมที่ที่สืบทอดมานานหลายทศวรรษ
ดิฉันกำลังมองถึงปัญหาชาติในขณะนี้ว่าไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวหรือระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ตลอดจนคู่ขัดแย้งของเราเวลานี้ก็ไม่ใช่นายกฯอภิสิทธิ์และพวกกับอดีตนายกๆ ทักษิณที่เป็นประเด็นฮ็อตไม่เลิกในทันทีที่เหยียบประเทศกับพูชาโดยคำเชิญของเพื่อนที่ชื่อฮุนเซ็นเพื่อรับตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ
ณ เวลานี้ปัญหาของประเทศจึงอยู่ที่การประกาศท่าทีแข็งกร้าวของนายกฯอภิสิทธิที่หมายจะเอาตัวอดีตนายกๆ ทักษิณมาลงโทษให้ได้ตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งไทยทำกับประเทศกัมพูชา แต่ยกเว้นคดีการเมืองซึ่งทำไม่ได้
ทั้งนี้ท่านนายกฯฮุนเซ็นเองก็ประกาศกร้าวกลับคืนมาว่าจะไม่ส่งตัวอดีตนายกฯทักษิณให้ประเทศไทยเช่นกัน
ณ เวลานี้ปัญหาของประเทศไทยมันใหญ่ยิ่งกว่าเรื่องการช่วงชิงการนำของฝ่ายการเมืองที่มองฝ่ายตรงกันข้ามว่าเป็นศัตรู การนำตัวทักษิณมาดำเนินคดีไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลควรปลุกระแสชาตินิยมมาโจมตี
เพราะสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำควรขณะนี้มันไม่ใช่การปลุกกระแสชาตินิยมแต่รัฐบาลจะต้องแก้ “ปัญหาประชาชาติ” ให้สำเร็จเพราะมันหมายรวมถึงทุกส่วนทุกองคาพยพของสังคมไทยที่จะได้รับประโยชน์อย่างถ้วนหน้ากัน
ยิ่งรัฐบาลแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชามากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะอันตรายและหวาดระแวงจากประเทศเพื่อนบ้านไม่จะเป็นลาว พม่า เวียดนาม มาเลเซียและเป็นการเสียเชิงทางเศรษฐกิจอย่างมากเพราะอย่าลืมว่ามหาอำนาจใหม่ทางเศรษฐกิจซึ่งก็คือ “จีน”กำลังเล็งเป้าหมายมาที่ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศในภูมิอาเซียนหรือประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่รัฐบาลกำลังทำให้เป็นปัญหาระยะยาวและอาจเกิดภาวะสงครามตามตะเข็บชายแดนไทยกัมพูชาได้ง่ายๆ ถ้ายังมีท่าทียอมหักแต่ไม่อยากงอ
เวลานี้รัฐบาลไทยกำลังนำประเทศไทยมาเดิมพันเพื่อแลกกับการจับตัวคนเพียงคนเดียว ดิฉันไม่คิดว่าคุณทักษิณจะมีความสำคัญมากพอที่จะทำให้ท่านนายกฯอภิสิทธิ์ต้องนำมาเป็นปัญหารีบด่วนที่ต้องแก้ไข แต่เป็น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาคนตกงาน ปัญหาน้ำมันโลกขึ้นราคาไปพร้อมที่ราคาทองคำที่ถีบตัวเองสูงขึ้นถึง 18,000 บาทซึ่งมีแนวโน้มที่จะขึ้นไปอีกจนฉุดไม่อยู่ต่างหากเป็นเรื่องเร่งรีบที่จะต้องจัดการจัดสรรอย่างเป็นธรรม
คุณทักษิณอยากทำอะไรก็ทำไปปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมไทยที่ต้องดำเนินเรื่องไปตามสเต็บ บทบาทของผู้นำประเทศเวลานี้ดูเหมือนจะสับสนวกวนจนลืมเรื่องสำคัญๆ ที่ควรแก้ไขภายหลังที่ได้แถลงนโยบายออกมาก็ไม่เห็นว่าจะมีโครงการใดๆ คืบหน้า
ซ้ำร้ายยังกล่าวโจมตีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธในกรณีเดินทางไปพบสมเด็จฮุนเซนนายกฯของประเทศกัมพูชา ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมาตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการทหารบก ตลอดจนเมื่อครั้งเป็นนายกๆ รัฐมนตรี ทั้งๆ ที่เป็นเจตนาอันดีที่จะสานสัมพันธ์กับความขัดแย้งดังกล่าว การสร้างมิตรภาพกับประเทศเพื่อนบ้านถูกตีความไปในด้านลบ
สื่อของรัฐฯ และรัฐบาลปัจจุบันกำลังโยนบาปให้อดีตนายกฯท่านนี้เพียงเพราะว่าท่านชวลิตอยู่ฝ่ายตรงข้าม คือเข้าไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย
ดังนั้นบิ๊กจิ๋วเปรียบเสมือนศัตรูทางการเมืองคนสำคัญและถูกมองว่าเป็นนอมินีของทักษิณ(อีกแล้ว)ซึ่งรัฐบาลจะต้องกำจัดและดิสเครดิตให้สิ้นซากไปจากเส้นทางการเมือง
“ชักศึกเข้าบ้าน” คือข้อกล่าวหาที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธถูกรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรพรรคประชาธิปัตย์เล่นงาน
ทั้งๆ ที่ถ้าได้ศึกษาความเป็นมาเป็นไปบนเส้นทางทางการทหารและการเมืองของท่านชวลิตโดยปราศจากอคติแล้วละก็จะทราบว่าอดีตนายกฯชวลิต ท่านนี้แหละคือกุนซือคนสำคัญที่เป็นผู้ประสานนโยบาย66/23 ดึงมวลชนและนักศึกษาที่ถูกรัฐบาลเผด็จการทหารปราบปราบโดยใช้ข้ออ้างว่าเป็นคอมมิวนิสต์จนต้องหนีเข้าป่าไปตั้งแต่เหตุการณ์14 ตุลาคม 2516 จนถึง 6 ตุลาคม 2519
ซึ่งเมื่อประกาศนโยบาย66/23 ไม่นานนักนักศึกษาที่หนีเข้าป่าเพราะการปราบปราบของรัฐบาลเผด็จการทหารมองว่าเข้าค่าย “ลัทธิคอมมิวนิสต์” ต่างพากันกลับเข้ามาเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยจนบางท่านจบถึงด็อกเตอร์และเป็นนักคิดนักเขียนคนสำคัญในเวลาต่อมา
นักศึกษาหลายๆคน ณ วันนี้ก็ได้ผันตัวเข้ามาเป็นนักการเมืองบ้างเช่น คุณอดิสร เพียงเกษ คุณจาตุรนต์ ฉายแสง คุณสุธรรม แสงประทุม และอีกหลายๆ ท่าน
นอกจากนี้เป็นนักวิชาการ เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นนักคิดนักเขียนก็มาก หนึ่งในใจของดิฉันคนหนึ่งก็คืออาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักไฮปาร์คตัวยงสมัยนั้น
บุคคลเหล่านี้เคยผ่านชีวิตในป่าพวกเขาร่วมกับกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งมาถึงวันนี้พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ยอมออกมาเล่าความเป็นไปตลอดจนปฏิเสธวิธีแห่งคอมมิวนิสต์
ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะไม่มีทางได้นักคิดนักเขียนสำคัญๆ กลับจากป่าได้เลยถ้าพลเอกชวลิตไม่ได้เป็นผู้ประสานนโยบายดังกล่าว
“นโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ที่ 66/23 ก็คือการยุติสงครามกลางเมืองด้วยการขยายเสรีภาพของบุคคล แก้ปัญหาความไม่มั่นคงของรัฐด้วยการขยายอำนาจอธิปไตยของปวงชน เพราะอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยหรือระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นต้นเหตุของความไม่มั่นคงของรัฐซึ่งมีเงื่อนไขให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ทำสงครามกลางเมืองเพื่อเข้าทำลายอำนาจรัฐ (ทำลายกองทัพแห่งชาติ)
“นโยบาย 66/23 เป็นการส่งเสริมการต่อสู้อย่างสันติเพื่อประชาธิปไตยของปวงชนชาวไทย มิได้ขัดขวางประชาชนดังเช่นเรียกผู้ละทิ้งการต่อสู้แนวรุนแรงด้วยอาวุธมาต่อสู้สันติว่า “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” การร่วมมือพัฒนาชาติไทยคือการพัฒนาทางการเมืองที่สามารถทำได้แล้ว เพราะยุติสงครามกลางเมืองแล้ว รูปธรรมคือร่วมกันสร้างสรรค์ประชาธิปไตยด้วยการทำให้เสรีภาพบุคคลบริบูรณ์ และทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนอันเป็นภารกิจสูงสุดของกองทัพตามรัฐธรรมนูญ “มาตรา60 ที่ว่ารัฐต้องจัดให้มีกำลังทหารไว้เพื่อการรักษาความมั่นคงของรัฐและเพื่อพัฒนาประเทศ”
“การแก้ปัญหาชาติจะต้องดำเนินอย่างถูกต้อง คือ ถ้าประเทศมี-สงครามจะต้องแก้ปัญหาสงครามให้ตกไปก่อนจึงจะเริ่มพัฒนาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมเป็นลำดับ”(จำลอง บุญสอง สารคดีโลกสีฟ้า หนังสือพิมพ์สยามโพสต์ วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2538)
นั่นก็คือพลเอกชวลิตได้ใช้การเมืองนำการทหาร ดึงมวลชนที่คิดต่างจากอำนาจรัฐกลับเข้ามาช่วยกันแก้ปัญหาชาติ ไม่ใช่นำการทหารมานำการเมืองอย่างเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อ19กันยายน 2549 ที่ผ่านมาแล้วถึง3ปี แต่บ้านเมืองกลับแตกแยกมากขึ้น ขัดแย้งกันทางความคิดอย่างรุนแรง เข้าขั้นสงครามกลางเมืองทีละน้อยๆ
สภาวการณ์ในปัจจุบันซึ่งรัฐบาลกำลังประสบเวลานี้เทียบเคียงได้ดีกับเหตุการณ์ในอดีต(ยุค14ตุลาฯ16 และ6 ตุลาฯ19) อย่างมาก
ประเทศไทยเวลานี้เข้าใกล้สถานการณ์ของสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที คนไทยเวลานี้แตกแยกทางความคิดอย่างถึงที่สุด แบ่งเป็นสีเหลือง สีแดง สีขาว สีน้ำเงินฯลฯ ต่างกลุ่มต่างอุดมการณ์ต่างเป้าหมาย
แต่...ท้ายสุดแล้วเดาได้ไม่อยากเลยว่าจะเกิดอะไรต่อขั้นจากนี้....           
รัฐบาลจะสร้างสมานฉันท์ได้อย่างไร้ถ้าไม่สามารถดึงศัตรูมาเป็นมิตรได้แล้วร่วมแก้ปัญหาประชาชาติร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ เลิกตามล่าคนเพียงคนเดียวแล้วเอาประเทศเป็นเดิมพันตัดความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาเพียงเพราะต้องการช่วงชิงการนำทางการเมืองเพียงประการเดียว อย่าอ้างถึงชาตินิยมเลยมันฟังแล้วล้าหลังสิ้นดี
...สิ่งซึ่งที่รัฐบาลควรกระทำ ณ เวลาวิกฤติในวันนี้ก็คือการจับมือแล้วสานความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคของเรา (อาเซียน) เพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหาหรือร่วมใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมายในภูมิภาคของเราเองให้ได้ประโยชน์สูงสุด บนผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านที่ต้องทำมาหากินตามแนวตะเข็บชายแดน ลองคิดดูซิว่าหากด่านไทย-กัมพูชาต้องปิดไปโดยไม่มีกำหนด อะไรจะเกิดขึ้น ใครคือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง เศรษฐกิจไทยจะแย่ลงอีกเท่าทวีคูณ ผู้ประกอบการธุรกิจระหว่างสองประเทศจะเป็นเช่นไรมีกับตายกับตายอย่างเดียว
ดิฉันขอเรียกร้องให้รัฐบาลเลิกนำอิทธิพลของมหาอำนาจตลอดจนสื่อต่างชาติมากดดันหวังเพียงกำจัดศัตรูทางการเมืองเพื่อประโยชน์แห่งพรรคตนและพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อรักษาเก้าอี้ของตนไว้ให้นานที่สุด
สำหรับดิฉันแล้ว คุณทักษิณมิได้ยิ่งใหญ่หรือสำคัญพอที่รัฐบาลจะต้องเอาความสัมพันธ์อันดีระหว่างภูมิภาคมาวางเดิมพัน ถึงขั้นร้ายแรงที่จะทำสงครามกับเพื่อนบ้านเลย  เรามาจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านของเรากันไว้ให้เหมือนประเทศกลุ่มยุโรปไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยก็เป็นการผนึกกำลังและสร้างอำนาจในการต่อรองไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการเมืองหรือเศรษฐกิจที่หล่อเลี้ยงรายได้ประชาชาติของเราเอง
ความรักชาติมันต่างกับการคลั่งชาติคะ รัฐบาลกรุณาอย่าพยายามปลุกกระแสชาตินิยมกดดันประเทศกัมพูชาเช่นนี้เลย
ความรักชาติของดิฉันไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำตามความต้องการของผู้นำโดยดุษฎี ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ดิฉันเองก็รักสงบตามคำที่ท่านนายกฯ บอกแต่ก็ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ยืนตรงเคารพธงชาติร้องปาวๆ แต่หาได้เข้าใจอย่างท่องแท้ในสาระของความเป็นชาติที่เราทุกคนจะต้องรักและหวงแหน มันคนเรื่องกัน
 รักสงบในความหมายของดิฉันก็ไม่ใช่การสงบปากสงบคำก้มหน้าก้มตามทำอะไรๆ ตามใจ ตามความต้องการของรัฐบาล ดิฉันเป็นเด็กดื้อคะ(คล้ายใครสักคนที่ดิฉันและทุกคนในประเทศรู้จักดี) ดิฉันเป็นเพียงคนเดินดินที่ประกอบอาชีพสุจริตคนหนึ่งที่อยากคิดวิเคราะห์ตามข้อมูลที่ศึกษาและสังเคราะห์จากหลายๆ ส่วน ดิฉันเพียงแค่ต้องการเสนอทางเลือกหนึ่งเพื่อชี้นำสังคมในมุมที่ต่างออกไป
เหนืออื่นใดดิฉันก็ขอยืนยันว่าข้อเขียนของตัวเองทุกครั้งมีจุดยืนเพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนรวม คนซึ่งกำลังประสบปัญหาความยากจน คนเดือดร้อนจากการตัดสินใจผิดพลาดของผู้นำประเทศ ดิฉันจะเป็นปากเป็นเสียงให้ผู้ไร้เสียงในสังคมเท่าที่จะทำได้ มิได้มีเจตนาหรืออคติเข้าข้างฝ่ายขัดแย้งใดๆทั้งสิ้น
ต่อกรณีปัญหาระหว่างไทยกับกับพูชาที่รุนแรงถึงกับเรียกทูตไทยกลับประเทศนี่ซิเป็นเรื่องที่อ่อนไหวและน่าหนักใจมาก น่าหวาดหวั่นว่าจะเกิดสงครามในที่สุดหากรัฐบาลใช้แต่จุดยืนส่วนตัวโดยปลุกกระแสชาตินิยมเป็นเครื่องมือ แล้วอ้างว่ามันคือการทวงศักดิ์ศรีของประเทศไทย
ดิฉันอยากขออ้อนวอนให้รัฐบาลพิจารณาท่าทีกับประเทศเพื่อนบ้านเสียใหม่ โดยหันมามองประโยชน์ของประชาชาติอันหมายถึงประชาชนทั้งหมดกว่า 63 ล้านคนเป็นสำคัญ อย่าหวังแต่เพียงการต้องการเป็นรัฐบาลให้นานที่สุด หรือหวังแต่เอาชนะฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
เพราะการกระทำเช่นนั้นมันจะทำลายล้างประชาชน ทำลายเจตนารมณ์ประชาธิปไตยของนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีชาติและส่วนรวมเป็นจุดยืน
รักชาติใครก็พูดได้คะ แต่อย่ารักจนคลั่งจนหลงลืมความทุกข์ร้อนของประชาชนส่วนใหญ่ที่มีสำนึกประชาธิปไตยที่แน่นแฟ้นและเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยมากกว่าท่านผู้นำมากนัก
ทั้งนี้ทั้งนั้นท่าทีที่แข็งข้อไม่ประนีประนอมกันไม่เฉพาะฝ่ายคุณอภิสิทธิ์เท่านั้น คุณทักษิณเองก็ควรจะมองถึงสิ่งที่จะเกิดตามมากับประชาชนตาดำๆ ไม่ใช่พากันใช้ยุทธวิธีห้ำหั่นทำลายล้างกันให้ตายไปข้างหนึ่ง
แล้วประเทศจะได้อะไร.... นอกจากการเห็นภาพสงครามกลางเมืองอยู่รำไรๆ ซึ่งตอนนี้ได้ขยายผลไปสู่ท่าทีของสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาเสียแล้ว
ฉันเชื่อมั่นว่าคงไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์มิคสัญญีเกิดขึ้นเป็นแน่ เพราะเมื่อถึงเวลานั้น “ชาติ” และ “ความรักชาติ” ในจินตภาพของประชาชนก็จะแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นความคลั่งในชาติ คลั่งในสายพันธุ์ของตัวเองว่าดีเลิศซึ่งก็เคยมีบทเรียนให้เห็นแล้วในสมัยฮิตเลอร์ผู้นำฝ่ายเยอรมันที่ทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวจนสิ้นชาติ อันเป็นชนวนแห่งสงครามโลกครั้งที่1
หรือ….ท่านอยากเห็นสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเพียงเพราะกระแส”คลั่งชาติ” จนขาดสติ
ดังคำกล่าวของ นายพลชาลเดอร์โกลล์ ที่ว่า
“ความรักบ้านเกิดเมืองนอนคือความรักต่อประชาชนมาก่อน ชาตินิยมคือความเกลียดต่อประชาชนของเรามาก่อน” (อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์, มติชนสุดสัปดาห์ 2-8 ตุลาคม 2552)
                                                                       
ด้วยความเคารพในเสรีภาพทางความคิดเห็น(ต่างๆ)
                                                                       

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท