Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมามีการแถลงข่าวร่วมกันระหว่างนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุดโยโน แห่งอินโดนีเซียที่เยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ โดยผู้นำทั้งสองต่างให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกันขจัดข้อพิพาทที่เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างกันให้ลุล่วงไป ซึ่งปัญหาหลักได้แก่ปัญหาพิพาทเขตแดนและการกดขี่ทารุณแรงงาน

มาเลเซียและอินโดนีเซียมีหลายอย่างที่เหมือนกัน อาทิ ภาษา ศาสนาและวัฒนธรรม ฯลฯแต่ความสัมพันธ์ของสองประเทศต้องตกอยู่ในภาวะสั่นคลอนบ่อยครั้ง เนื่องจากความไม่ลงรอยกันในหลายเรื่อง โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศได้เสื่อมถอยลงอย่างมากนับแต่เดือนมิถุนายนปี 2551 ที่ผ่านมาเมื่ออินโดนีเซียกล่าวหาว่าเรือรบของมาเลเซียรุกล้ำเข้าไปยังเขตพิพาททางทะเลอัมบาลัด ซึ่งอุดมไปด้วยน้ำมันนอกชายฝั่งสุลาเวสี ของเกาะบอร์เนียว อินโดนีเซีย ทำให้อินโดนีเซียส่งเรือรบออกมายิงขับไล่เรือของมาเลเซียในทันที

ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยิ่งทวีความตึงเครียดหนักขึ้นเมื่อมีกรณีที่แรงงานสาวใช้ชาวอินโดนีเซียถูกนายจ้างชาวมาเลเซียกระทำการทารุณด้วยความโหดร้าย จนเป็นผลให้รัฐบาลอินโดนีเซียตอบโต้ด้วยการออกคำสั่งห้ามส่งแรงงานอินโดนีเซียไปมาเลเซียเป็นการชั่วคราว

ซึ่งในกรณีนี้ประธานาธิบดียุดโยโนเรียกร้องให้มาเลเซียนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีโดยเร็วและยุติธรรม โดยนายกรัฐมนตรีราซัคได้ให้ความเชื่อมั่นว่าแรงงานอินโดนีเซียจะได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์ และหากมีการกระทำการอันใดที่เป็นการละเมิดกฎหมายต่อแรงงานเหล่านั้นก็จะถูกจัดการอย่างเด็ดขาด

ในการแถลงข่าวร่วมกันในครั้งนี้นอกจากจะได้เห็นวุฒิภาวะของทั้งสองผู้นำแล้ว ยังเป็นเสมือนการตบหน้าผู้นำของไทยและกัมพูชาที่กำลังใช้อารมณ์ในการแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างกันอยู่ในเวลานี้

โดยประธานาธิบดียุดโยโนได้กล่าวว่า “แน่นอนว่าบางครั้งเราอาจมีความเห็นต่าง แต่เราในฐานะผู้นำก็ควรต้องจัดการความเห็นที่แตกต่างนั้นอย่างรอบคอบ และไม่ปล่อยให้ปัญหานั้นมาบั่นทอนหรือกระทบต่อสิ่งที่เรามีอยู่”

ส่วนนายกฯ ราซัค กล่าวว่า “เราจะต้องพยายามอย่างหนักในการปรับปรุงความสัมพันธ์พื้นฐานที่มีต่อกันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยผ่านความร่วมมืออันดีระหว่างสังคม”

จากถ้อยคำของทั้งสองผู้นำนั้นแสดงให้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างใช้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ และความโกรธหรือความเกลียดชังกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับกรณีของผู้นำไทยกับกัมพูชาเป็นอย่างมาก

สิ่งที่ทำให้ตะกอนนอนก้นของความบาดหมางระหว่างไทยกับกัมพูชาในอดีตฟุ้งขึ้นมาอีกก็เนื่องมาจากการที่ นายฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาไม่พอใจในเรื่องการที่ไทยคัดค้านการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก สมทบด้วยการที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์แต่งนายกษิต ภิรมย์ ผู้เคยปราศรัยด่านายฮุนเซ็นว่าเป็น “กุ๊ย”เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

โดยที่ผ่านมานายฮุนเซ็นใช้อารมณ์อย่างเต็มที่ในการกล่าวหารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ว่าไม่มีความชอบธรรมในการเข้าสู่ตำแหน่ง อีกทั้งยังตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาและมีการแถลงหักหน้าในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่หัวหิน ส่วนฝ่ายนายอภิสิทธิ์และนายกษิตก็ใช้อารมณ์ต่อการแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาด้วยการเรียกทูตกลับในทันที ขณะที่นายฮุนเซ็นก็ตอบโต้ด้วยวิธีการเรียกทูตกลับเช่นกัน

มิหนำซ้ำนายอภิสิทธิ์ยังตักเตือนนายฮุน เซ็น ใหรู้จักเลือกเอาระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของประเทศ อันเป็นการปรามาสนายฮุน เซ็น อย่างซึ่งหน้าแบบเด็กสอนผู้ใหญ่ กอปรกับนายกษิตในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแทนที่จะช่วยกล่าวแก้ตามแบบภาษาของนักการทูตในนานาอารยประเทศ แต่กลับมากล่าวย้ำในทำนองท้าตีท้าต่อยเข้าไปอีก จึงย่อมเท่ากับเป็นการประกาศศึกหรือประกาศตัวเป็นศัตรูกับผู้นำกัมพูชา

ความบานปลายจากการใช้อารมณ์ติดตามมาเรื่อยๆ ด้วยการที่นายอภิสิทธิ์ประกาศรื้อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกัมพูชาด้วยการลดการให้ความช่วยเหลือเงินกู้ กวดขันคนไทยที่เดินทางไปเล่นการพนันที่กาสิโนฝั่งกัมพูชา(ซึ่งเกือบทั้งหมดมีเจ้าของเป็นคนไทย) ติดตามมาด้วยการขับเลขานุการเอกของสถานทูตทั้งสองกลับประเทศ

ที่น่าตกใจก็คือการพิจารณายกเลิกบันทึกความเข้าใจหรือ เอ็ม โอ ยู ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันที่ลงนามตั้งแต่สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยกระบวนการพิจารณาให้ยกเลิกเอ็ม โอ ยู นั้นเป็นไปอย่างรวบรัดและรวดเร็ว ทั้งๆที่การคงอยู่ของเอ็ม โอ ยู ฉบับดังกล่าวไว้จะมีประโยชน์ต่อไทยมากกว่าเป็นโทษ

ความหายนะที่เกิดขึ้นจากการใช้อารมณ์ยังตามมาด้วยการปลุกกระแสชาตินิยมที่นำไปสู่การสิ้นชาติ เพราะเป็นการสร้างกระแสปลุกระดมบิดเบือนเพื่อให้เกิดความคลั่งชาติในหมู่ประชาชนให้เกลียดชังเพื่อนร่วมภูมิภาคบ้านใกล้เรือนเคียง โดยให้เหตุผลอย่างข้างๆคูๆว่า คลั่งชาติดีกว่าขายชาติ ทั้งๆที่ ไม่ว่าจะคลั่งชาติหรือขายชาติต่างก็มีผลเหมือนกัน คือการนำไปสู่การสิ้นชาติด้วยกันทั้งคู่

ผลจากการแก้ไขปัญหาด้วยอารมณ์นำความเสียหายมาสู่ทั้งสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในด้านเศรษฐกิจหรือสังคมทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยทั้งผู้นำไทยกับกัมพูชาต่างกลายเป็น ตัวตลกในสายตานานาชาติและเป็นผู้ร้ายในสายตาของอาเซียน เพราะที่ไหนในโลกมีแต่พยายามหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกับประเทศเพื่อนบ้าน ผัวเมียทะเลาะกันยังมีโอกาสที่จะแยกทางกันได้แต่ประเทศเพื่อนบ้านไม่สามารถที่จะยกแผ่นดินหนีกันไปได้ จึงต้องอยู่ร่วมกันด้วยการถ้อยทีถ้อยอาศัย และหมดยุคของการเมืองระหว่างประเทศสมัยใหม่ที่จะใช้กำลังอาวุธของยึดครองดินแดนของประเทศอื่น

ผู้นำไทยกับกัมพูชาเป็นผู้ทำลายความเป็นเอกภาพและโอกาสในการต่อรองในด้านเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศของอาเซียนที่เป็นกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองเป็นกลุ่มต้นๆของโลก มาเป็นกลุ่มที่แทบจะไม่มีพลังต่อรองเพราะเหตุแห่งการขัดแย้งส่วนบุคคลระหว่างนายอภิสิทธิ์และนายกษิตกับนายฮุนเซ็นและ พ.ต.ท.ทักษิณ

ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนของทั้งสองประเทศจะต้องทบทวนบทของผู้นำของตนว่าสมควรที่ขับเคลื่อนรัฐนาวาต่อไปหรือไม่ ก่อนที่จะนำพาประชาชนทั้งไทยและกัมพูชาไปสู่ความทุกข์ยากเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส อันเนื่องมาจาการใช้อารมณ์มาแก้ไขปัญหาอย่างไร้สติเช่นนี้

---------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2552
  

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net