Skip to main content
sharethis

หมายเหตุ - เมื่อเวลา 13.40 น. วันนี้ (23 ธ.ค.) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบ 1 ปี โดยมีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย มีรายละเอียดดังนี้

พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ อย่างที่ท่านรักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวไปในตอนต้นว่าเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2551 ผมและคณะรัฐมนตรีได้เข้ารับหน้าที่ถวายสัตย์ปฏิญาณ และในช่วงปลายปีนั้นเอง ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

เพราะฉะนั้น นับจนถึงวันนี้ก็ถือว่าเป็นเวลาประมาณ 1 ปี นับตั้งแต่รัฐบาลได้เข้าบริหารราชการแผ่นดิน วันนี้ผมขอใช้เวลาในการที่จะรายงานให้พี่น้องประชาชนเจ้าของประเทศได้รับ ทราบว่า 1 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาของประทศชาติ และของพี่น้องประชาชนอย่างไร การรายงานในวันนี้คงไม่ใช่เป็นโอกาสเดียวที่จะมีการได้ตรวจสอบผลงานของรัฐบาล เพราะว่าอย่างน้อยที่สุดรัฐบาลก็มีหน้าที่ในการจัดทำเรื่องของผลงานตามแนวนโยบายแห่งรัฐที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ เมื่อมีการเปิดสมัยประชุมสภาและแน่นอนครับพรรคการเมืองหรือฝ่ายค้านหรือสภาฯ นั้นก็สามารถที่จะมีการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้ เช่น อาจจะมีการเสนอญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลต่อไป ซึ่งในทุกโอกาสนั้นรัฐบาลจะได้ชี้แจง

ผมขอเรียนครับว่าวัตถุประสงค์สำหรับการรายงานในวันนี้ ผมถือว่าหนึ่ง เป็นหน้าที่เพราะรัฐบาลนี้มาด้วยระบบรัฐสภา เป็นรัฐบาลในวิถีทางประชาธิปไตย บุคคลที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบก็คือต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งมีสิทธิ์จะได้รับรู้รับทราบแนวคิดการทำงานของรัฐบาล ประการที่ 2 ผมจะพยายามเสนอข้อเท็จจริงซึ่งพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนนั้นสามารถที่จะ ตรวจสอบได้ สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้

แต่ว่าที่สำคัญที่สุดคือว่าเมื่อได้รายงานถึงการทำงานตลอด 1 ปีที่ผ่านมาแล้ว ผมอยากจะใช้โอกาสนี้ในการขอบคุณและในการขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน ทั้งในส่วนของ 1 ปีที่ผ่านมา และงานที่เราจะทำต่อไป ผมขอย้ำอีกครั้งว่าเบื้องต้นสิ่งแรกที่ผมอยากจะทำเมื่อมองย้อนกลับไป 1 ปี คือการขอบคุณพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้เป็นกำลังใจให้กับรัฐบาลในการทำงานมาโดยตลอด และในหลายต่อหลายเรื่องได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนทำให้งานของรัฐบาลหลายนโยบายสำเร็จลุล่วงไปได้ พร้อมๆ กันนี้ก็ขอถือโอกาสขอบคุณเพื่อนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกส่วน ราชการ และทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือน ข้าราชการกลุ่มต่าง ๆ ทหาร ตำรวจ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา จนทำให้ประเทศของเราได้เดินหน้ามา ผมถือว่าไกลพอสมควรจากสถานการณ์ปีที่แล้ว

ผมขอเริ่มต้นอย่างนี้ครับว่า ถ้าจะมองย้อนกลับไป 1 ปีวันนี้ผมคงไม่ไปลงรายละเอียดในเรื่องของโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลได้ทำ มันจะมีเป็นร้อยเป็นพันก็ว่าได้ครับ และจะมีท่านรัฐมนตรีในกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ที่จะได้มีการชี้แจงกับพี่น้องประชาชนต่อไป แต่ผมอยากให้เห็นภาพใหญ่ หลักคิดการทำงานของรัฐบาลโดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจ ในเรื่องของสังคม

ในเรื่องของการเมือง ความมั่นคงในแต่ละด้านนั้น ว่าสถานภาพหรือสภาพปัจจุบันเมื่อเราเข้ามาเป็นอย่างไร วันนี้เป็นอย่างไร ความตั้งใจของเราต่อไปเป็นอย่างไร คงต้องเริ่มต้นฉายภาพกลับไปปลายปี 2551 อีกครั้งหนึ่งครับ คำว่า “วิกฤตซ้ำซ้อน” เป็นคำที่ได้ใช้กันค่อนข้างจะแพร่หลาย แม้กระทั่งจนถึงปัจจุบัน เพราะในช่วงที่รัฐบาลเข้ามาปลายปีที่แล้วนั้น วิกฤตเศรษฐกิจโลกได้เริ่มส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันครับเกือบจะตลอดทั้งปี 2551 สภาพความขัดแย้งในทางการเมือง ในทางสังคม ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินตลอดปี 2551 นั้นเรียกได้ว่าสร้างผลงานที่จะปรากฏออกมาให้กับประชาชนบนความยากลำบากมาก จนกระทั่งมีการตั้งคำถามไม่ใช่กับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่กับประเทศไทย รัฐบาลไทย ว่ายังคงมีความเชื่อถือ มีความเชื่อมั่นเพียงพอในการที่จะขับเคลื่อนนโยบายและแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตภายในหรือผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจได้หรือไม่

ถ้าเราดูจากเรื่องของเศรษฐกิจก่อน เราจะพบว่าเศรษฐกิจเมื่อปลายปี 2551 นั้น เริ่มแสดงออกถึงปัญหาการหดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือในไตรมาสสุดท้ายของปี ตัวเลขทางเศรษฐกิจนั้นติดลบถึงร้อยละ 4.2 การส่งออก การท่องเที่ยวติดลบเป็นเลข 2 หลัก แทบจะเรียกว่าเป็นครั้งแรกเท่าที่เราจะจำกันได้เลย ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงอย่างมาก ที่สำคัญคือว่าการคาดการณ์ว่าปี 2552 จะเป็นอย่างไรนั้น ถ้าเราไม่ย้อนกลับไปดู เราจะไม่เข้าใจนะครับว่า เราทำงานภายใต้สภาวะอย่างไร หัวข่าวที่มีการพาดกันว่า คนจะตกงานล้านคน ล้าน 5 แสนคน 2 ล้านคน มีให้เห็น มีการคาดการณ์ของสำนักวิเคราะห์ นักวิจัย นักวิชาการ สื่อสารมวลชนว่าเศรษฐกิจปี 2552 นั้นบางคนบอกว่าอาจจะติดลบถึง 9 เปอร์เซ็นต์ บางคนฟันธงว่าไม่น้อยกว่า 4 เปอร์เซ็นต์ และยังพูดด้วยว่าสภาพการณ์อย่างนี้จะค่อนข้างที่จะยืดเยื้อส่งผลกระทบอย่าง รุนแรงต่อภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศของเรา นี่คือสภาพเมื่อปลายปี 2551

รัฐบาลเข้ามานั้นกำหนดยุทธศาสตร์ชัดเจนว่า เราจะใช้วิธีการในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร เราแบ่งเอาไว้เลยว่าสิ่งแรกที่เราจะต้องทำก็คือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และรักษากำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจของเราให้ได้

ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะว่านั่นคือวิธีการที่จะทำให้เศรษฐกิจของเราไม่ถดถอย หดตัวอย่างรุนแรงจนเกินไป และนำไปสู่ปัญหาการว่างงาน และมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ให้เศรษฐกิจนั้นเข้าสู่ภาวะตกต่ำ ขณะเดียวกันแนวทางที่เราทำเช่นนั้นทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณที่จะไปตอบสนองเป้าหมายทางเศรษฐกิจนั้นทำได้เร็ว รัฐบาลถูกวิจารณ์มากนะครับในขณะนั้น ถูกวิจารณ์ว่าทำไมไม่เอางบประมาณไปพยายามกระตุ้นการส่งออก การท่องเที่ยว หรือสร้างถนนหนทางหรือแหล่งน้ำ หรือทำเมกะโปรเจ็กท์ โครงการขนาดใหญ่ รัฐบาลก็ได้ให้คำตอบในขณะนั้นว่า ไม่ใช่เราไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านั้น แต่เรื่องเหล่านั้นการใช้เงินในขณะนั้นจะไม่เห็นผลหรือจะไม่สามารถทำได้

แต่สิ่งที่เราอยากจะทำก็คือว่าเร่งทำให้รายได้ของคนในประเทศไม่ตกลงไป ลดรายจ่ายของเขา เพื่อที่จะให้ประชาชนนั้นมีส่วนสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน และไม่ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงจนเกินไป เมื่อเราสามารถหยุดยั้งการถดถอยตรงนั้นได้ เราก็จะมีเวลาในระหว่างนั้นในการเตรียมโครงการลงทุนเพื่อที่จะกระตุ้น เศรษฐกิจในรอบต่อไป ซึ่งก็คือที่มาของปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555

ผมอยากจะชี้ให้เห็นเป็นตัวอย่างครับว่า หลังจากที่เราได้วางแนวของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างนี้ ผลของมันคืออะไร ตัวอย่างนะครับเราจะเห็นจากเรื่องของปัญหาการว่างงานก่อน ผมยกตัวอย่างเดียวเช่นโครงการต้นกล้าอาชีพ เข้ามาเพื่อที่จะรองรับการที่คนกำลังจะตกงานบ้าง หรือคนที่ถูกปลดออกจากงานบ้าง หรือคนที่จบการศึกษามาใหม่ เราก็มีโครงการพิเศษขึ้นมา เติมจากสิ่งที่กระทรวงแรงงานเขาทำอยู่ตามปกติว่าจะมีการเร่งฝึกอบรม สร้างทักษะ สร้างโอกาสให้คนกลับเข้าไปประกอบอาชีพได้หรือมีงานทำ หรือไม่ถูกเลิกจ้าง สุดท้ายทำได้เกินเป้านะครับ มีคนอยากจะขอเข้ามาในโครงการนี้ 8 แสนกว่าคน ถึงวันนี้เราฝึกอบรมไปแล้ว 4 แสนกว่าคน ใน 4 แสนกว่าคนเกือบ 3 แสนคนกลับเข้าสู่ภาวการณ์มีงานทำ

และที่สำคัญคือว่าเราทำโครงการนี้ตั้งงบประมาณไว้ตอนต้นประมาณ 13,000 ล้านบาท ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมีนาคมปีหน้าเอาเข้าจริงๆ เราทำได้เกินเป้าโดยใช้เงินน้อยกว่าที่ตั้งงบประมาณไว้ถึง 5,000 ล้านบาท

ผมยกมาเป็นเพียงหนึ่งโครงการเท่านั้น ที่เป็นความคิดริเริ่มของรัฐบาลนี้ สอดคล้องกับสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่มันเกิดขึ้นตอนนั้นปฏิบัติจริงและได้ผล ก็จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรามองเห็นภาพปัญหาการว่างงาน ซึ่งเมื่อตอนต้นปีอยู่ที่ประมาณ 7-8 แสน และคนก็มีการคาดการณ์ว่า 1 ล้าน 1.5 ล้าน 2 ล้าน แต่จะเห็นครับว่า นับตั้งแต่มาตรการเศรษฐกิจในรอบแรกเริ่มออกไปก็คือประมาณปลายเดือนมีนาคม นับตั้งแต่นั้นมาครับ อัตราการว่างงานลดลงโดยลำดับ จนขณะนี้เหลือประมาณ 4 แสนคน ซึ่งถือว่าเป็นระดับปกติ ถ้าเทียบกับภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไป ถ้าคิดเป็นอัตรานะครับร้อยละ 1.2 หรือต่ำกว่านั้นด้วยซ้ำ

ผมอยากจะเรียนว่าความสำเร็จตรงนี้สำคัญสำหรับผม สำหรับรัฐบาล เพราะว่าตั้งแต่ต้นที่เรากลัวที่สุดจากวิกฤตเศรษฐกิจก็คือคนไม่มีงานทำ คนตกงาน และผมกล้าพูดว่าผมมีความภาคภูมิใจ เพราะผมไปประชุมในต่างประเทศบ่อยครับ ตัวเลขที่ผู้นำรัฐบาลทุกประเทศ เวลาพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจกันพอพูดถึงเรื่องผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีพีดี) เสร็จ ต้องมาพูดถึงเรื่องตัวเลขปัญหาการว่างงาน และพอเขาได้รับทราบว่าของเราลดลงมาหลายเดือนแล้วอยู่ในระดับที่ต่ำแทบจะ เรียกได้ว่าเทียบเคียงกับอัตราปกติ เขายอมรับว่านั่นคือความสำเร็จของการฟันฝ่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในรอบนี้

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นเรื่องของรูปธรรมของการก้าวพ้นวิกฤตเศรษฐกิจจากการทำงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา การจ้างงานก็สูงขึ้น และที่สำคัญคือว่าเมื่อเราสามารถรักษาเศรษฐกิจภายในประเทศได้ดีพอสมควรระยะ หนึ่ง เมื่อเข้าสู่ครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยเฉพาะ 3 เดือนสุดท้าย เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นขึ้น ทุกอย่างก็จะรับกัน เราก็จะได้รับอานิสงค์จากตรงนั้นด้วย จากความพร้อมของเศรษฐกิจในประเทศด้วย ทำให้รายได้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยว จากการส่งออก ซึ่งเราก็มีมาตรการการทำงานของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงอื่นๆ นั้น ก็ทำให้เราเริ่มเห็นผลสำเร็จที่ตามมา

อย่างตัวเลขที่เห็นอยู่ในขณะนี้เป็นการเปรียบเทียบนักท่องเที่ยวปี 2551 กับปี 2552 ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่วงแรกๆ ของปี สีเขียวคือตัวเลขของปีนี้จะต่ำมาเกือบตลอด จนกระทั่งมีช่วงหนึ่งมีคนบอกว่าปีนี้ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวถึง 10 ล้านคนหรือไม่ แต่ว่าพอครึ่งปีหลังจะเห็นว่าเส้นสีเขียวแซงเส้นสีฟ้าด้วยซ้ำ แล้วขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็มั่นใจว่า 14 ล้านคนใกล้เคียงครับตัวเลขตัวนั้น ถ้าดูเป็นอัตราการเติบโตจะยิ่งเห็นชัดครับว่าการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว เป็นอย่างไร ตัวเส้นที่ปรากฏอยู่บนจอนั้นจะเป็นการบ่งบอกให้เห็นว่าได้พุ่งขึ้นมาสูง อย่างไร

ไทยก็กำลังก้าวพ้นประชานิยม สู่ระบบสวัสดิการที่แท้จริงที่เป็นเรื่องของสิทธิ ไม่ใช่การสงเคราะห์จากรัฐบาลอีกต่อไป ที่สำคัญที่สุดครับ นโยบายที่เราได้ริเริ่มและเป็นนโยบายที่มีผลกระทบกับคบมากที่สุด แล้วก็อยู่บนหลักคิดเรื่องการสร้างสวัสดิการ การสร้างหลักประกันก็คือ โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร เป็นการพลิกโฉมเรื่องของการเกษตรและการแทรกแซงจากภาครัฐโดยสิ้นเชิงครับ หลายท่านทราบดีว่าในอดีตเราไล่ตามแก้ปัญหาของพี่น้องเกษตรกร ก็คือรอผลผลิตออกมา รอราคาตกต่ำ แล้วเราก็วิ่งเข้าไปแทรกแซง รับซื้อบ้าง จำนำบ้าง ฝืนกลไกตลาด เกิดปัญหาการทุจริต ภาระการบริหาร เป็นเรื่องของการเก็บ การระบายสินค้า อย่างนี้เป็นต้นครับ เราเปลี่ยนแนวทางโดยการสร้างหลักประกันให้เกษตรกรว่า ทำการเกษตรแล้วไม่ขาดทุน เราทำเรื่องข้าว เราทำเรื่องข้าวโพด เราทำเรื่องมันสำปะหลัง ครอบคลุมประมาณ 4 ล้านครอบครัวทั่วประเทศ

วันนี้โครงการยังไม่เสร็จสิ้นครับ แต่ผมก็กล้ายืนยันได้ว่าประสบความสำเร็จ ที่สำคัญก็คือความสำเร็จนี้ ถ้าเทียบเคียงกับระบบเดิม ๆ ที่เคยใช้ ตัวเลขมันบอกชัด ขณะนี้ที่ตัวเลขเสร็จสมบูรณ์แล้วก็จะเป็นกรณีของข้าวโพดครับ เราจะพบข้อเท็จจริงว่าการแทรกแซงข้าวโพดด้วยระบบจำนำกับระบบประกันนี้ใช้ เงินใกล้เคียงกันครับประมาณ 5,000 กว่าล้านบาท แต่ 5,000 กว่าล้านในระบบจำนำช่วยเกษตรกรได้ประมาณ 70,000 หรือ 80,000 ครัวเรือน แต่ว่าถ้าเป็นระบบประกันที่รัฐบาลดำเนินการมาเป็น 400,000 ประมาณ 5 เท่าครับ ที่สำคัญก็คือใน 5,000 ล้านที่ไปช่วยในโครงการจำนำนี้ประมาณ 1,500 เป็นค่าบริหารครับ ไม่ได้เป็นเงินที่ไปถึงเกษตรกร ในขณะที่ค่าบริหารในระบบประกันนั้นประมาณ 1 ใน 10 คือ 100 กว่าล้านบาทเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นนี่เป็นรูปธรรมว่ารัฐบาลได้คิดริเริ่มนโยบายที่ส่งผลชัดเจนที่สุดต่อคนในกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ ในการที่จะยกระดับความเป็นอยู่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ แล้วก็ได้ดำเนินการจนประสบความสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นการทำงาน 1 ปีที่ผ่านมา ผมถือว่าเราก้าวพ้นวิกฤตเศรษฐกิจ และได้ก้าวพ้นสังคมแบบประชานิยมมาสู่ระบบของสวัสดิการ

แน่นอนครับงาน 1 ปีของรัฐบาลไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจเท่านั้น ปัญหาในเรื่องสังคม ปัญหาในเรื่องการเมืองก็เป็นเรื่องที่เราเร่งแก้ไขเช่นเดียวกัน ผมก็อยากจะเรียนสั้นๆ นะครับว่าในภาพรวมของสังคมปัญหาใหญ่ที่พี่น้องประชาชนพูดกันมาก ก็เป็นปัญหาเรื่องยาเสพติด การเอาจริงเอาจังกับเรื่องของการปราบปรามก็ดี นโยบาย 5 รั้วป้องกันซึ่งระดมทุกฝ่ายเข้ามานะครับ ไม่ว่าจะเป็น กอ.รมน. ซึ่งเป็นการบูรณาการทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ของทุกฝ่ายเข้ามา อยากจะเรียนครับว่าก็มีความคืบหน้าไปมาก

ที่สำคัญคือว่าถ้าเราดูตัวเลขเปรียบเทียบ เราจะพบข้อเท็จจริงครับว่าการจับกุมในเรื่องของยาเสพติด ไม่ว่าจะวัดด้วยจำนวนคดี ไม่ว่าจะวัดด้วยปริมาณยาที่มีการจับกุมได้ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน นั่นคือความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลในการทำงานเรื่องนี้ แล้วถ้าดูลึกลงไปในรายละเอียดมากยิ่งขึ้นนะครับก็จะพบด้วยว่า เอาจำนวนยาและจำนวนคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องของคดีต่างๆ บ่งบอกว่าเรากำลังจับกุมรายใหญ่ด้วย ไม่ใช่เฉพาะรายย่อย แล้วก็กำลังที่จะเดินหน้าทำงานในการเข้าไปทลายเครือข่ายของการค้ายาเสพติด ซึ่งเรื่องนี้มีหลายกระทรวงเกี่ยวข้องนะครับ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม ก็ทำงานเรื่องนี้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงกระบวนการฟื้นฟู ซึ่งเราก็ได้มีการปรับปรุงขึ้นมาเพื่อดึงให้คนเข้ามารับการบำบัดฟื้นฟูโดย สมัครใจ กระทรวงสาธารณสุขก็ดี กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ก็ดี ก็ได้เข้ามาทำงานในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

สถิติสำหรับคดีอื่น ๆ นะครับ อันนี้เป็นตัวเลขข้างบนนี้จะเห็นนะครับว่าเป็นการเปรียบเทียบการจับกุม เรื่องยาเสพติด แต่ว่าสำหรับเรื่องของปัญหาอาชญากรรมโดยทั่วไปนะครับ ก็เช่นเดียวกันนะครับล่าสุดตัวเลขที่สภาพัฒน์ฯ ได้สรุปออกมา ที่เป็นการวัดผลในเรื่องของความก้าวหน้าเกี่ยวกับการทำงานทางด้านสังคมก็ บ่งบอกนะครับว่าสถิติของอาชญากรรมนั้นก็ลดลงทุกประเภท อันนี้เป็นการยืนยันว่ารัฐบาลได้เอาใจใส่ เอาจริงเอาจังกับเรื่องของปัญหาทางสังคมเช่นเดียวกัน

ถัดจากเรื่องของปัญหาสังคมจะไปในเรื่องของการเมืองและเรื่องของความมั่นคง แน่นอนครับผมไม่สามารถจะมายืนอยู่ตรงนี้แล้วบอกว่าวันนี้การเมืองเรียบร้อย การเมืองนิ่ง การเมืองไม่มีความขัดแย้ง แต่สิ่งที่ผมพูดได้ก็คือว่าเราเดินหน้าทำให้ระบบการเมืองทำงานได้ ตัวเลขที่ยืนยันได้อย่างดีที่สุดตัวเลขหนึ่งนะครับ ท่ามกลางปัญหาทั้งในและนอกสภาฯ ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันก็คืองานทางด้านนิติบัญญัติ ที่รัฐบาลเข้าไปผลักดันนี้ทำได้มากกว่าในอดีตมากครับ ผมเป็นคนที่ให้เวลากับสภาฯ รับผิดชอบต่อสภาฯ ไปตอบกระทู้ถามสดด้วยตัวเอง เปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอดสดเพื่อให้เป็นวาระของฝ่ายค้านในการที่จะนำเสนอต่อประชาชนได้ว่ามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนตรวจสอบรัฐบาล รัฐบาลมีคำตอบคำชี้แจงอย่างไร เท่าที่ผมทราบก็ยังไม่มีใครที่ไปตอบกระทู้ถามสดมากเท่านี้ แล้วก็ไม่มีรัฐบาลไหนครับที่ผ่านกรอบข้อตกลงต่างๆ ผ่านที่ประชุมร่วมของรัฐสภามากเท่านี้ และจำนวนกฎหมายที่ผ่านไปตลอดทั้งปีที่ผ่านมาก็มากกว่าปีก่อน

แน่นอนครับไม่ได้ราบรื่น พี่น้องประชาชนทราบว่าสภาฯ ก็ประชุมกันด้วยความขลุกขลักพอสมควร และผมก็ไม่มีข้อแก้ตัวให้คนที่ขาดประชุม แต่สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือการบริหารจัดการในภาพรวมของรัฐบาลนั้นเราทำให้ระบบ สภาฯ ทำงานได้ เดินหน้าได้ แก้ไขปัญหาได้ เพราะอย่าลืมว่ามาตรการทั้งหลายที่ผมพูดมาจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือเรื่อง อื่น ๆ หลายเรื่องต้องอาศัยการผ่านกฎหมาย เช่น กฎหมายงบประมาณเพิ่มเติม หรือในส่วนของไทยเข้มแข็งก็เช่นเดียวกัน

สำหรับปัญหาเรื่องความสมานฉันท์ ผมอยากจะกราบเรียนกับพี่น้องอย่างนี้นะครับว่า เราได้พยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้การเมืองของเรานั้นกลับเข้าสู่ สภาวะปกติ แต่ผมก็เคยได้เรียนตั้งแต่ต้นว่าเรื่องนี้มันไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถทำได้โดยลำพัง ผมพยายามทุกอย่างครับที่เคยให้คำมั่นสัญญาว่าตัวผมเองไม่สร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง ตัวผมจะดูแลเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความเป็นธรรม จะรับฟังความคิดเห็นจะเชิญชวนยอมรับการตรวจสอบการมีส่วนร่วมของประชาชน ทุกกลุ่ม ผมยืนยันว่า 1 ปีมาได้ยึดแนวทางนั้นอย่างเคร่งครัด

ที่สำคัญก็คือว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งผมนึกว่าแนวทางนี้จะสามารถหาคำตอบทางการเมืองได้ เหตุการณ์เดือนเมษายนซึ่งเกิดเหตุความวุ่นวายขึ้น และรัฐบาลได้ใช้หลักของกฎหมายเข้าไปควบคุมสถานการณ์โดยไม่ละเมิดสิทธิของพี่น้องประชาชนสำเร็จ เมื่อผ่านพ้นทันทีสิ่งแรกที่ผมทำก็คือเชิญชวนทุกฝ่ายเข้ามาในกรอบของสภาฯ เพื่อหาคำตอบกันในเรื่องของทิศทางออกทางการเมือง มีการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ ตรวจสอบเหตุการณ์ และมีข้อเสนอแนะในเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แม้ว่าประเด็นที่เสนอมานั้นตัวผมหรือพรรคที่ผมสังกัดไม่เห็นด้วย เราก็ยื่นมือเข้าไปบอกว่าพร้อมที่จะเดินตามนี้เพราะเป็นมติร่วมกัน เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าสมานฉันท์กันในหมู่นักการเมืองไม่พอ ต้องให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมด้วยการลงประชามติด้วย ตอนแรกทุกฝ่ายตกลงครับ วันนี้ที่เดินไม่ได้ก็ต้องเรียนตรงๆ ว่าเป็นเพราะฝ่ายค้านถอนตัวไปจากกระบวนการนี้

ที่พูดก็เพื่อจะบอกครับว่าผมรู้ว่าเรายังต้องทำงานกันอีกมากในเรื่องของงานทางด้านสมานฉันท์ แต่ให้มั่นใจว่า 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามทำทุกวิถีทาง และได้ถอยมาหลายก้าว เพื่อที่จะให้เราสามารถเดินหน้าไปได้

แม้จนถึงทุกวันนี้ผมก็พูดเสมอครับ ที่เรียกร้องว่าให้มีการยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ ผมก็บอกผมไม่ขัดข้อง ขอให้เศรษฐกิจแข็งแรงขึ้น ซึ่งผมมั่นใจว่าปี 2553 นี้แข็งแรงเพียงพอ ขอให้ทุกพรรคการเมืองมายอมรับกติกาการเลือกตั้งเสียก่อน เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะไปเลือกตั้งแล้วถ้าหากว่าเกิดมีการทุจริตการเลือก ตั้ง ยุบพรรคกันอีก แล้วก็จะมีการมาประท้วง ก็จะเป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้น และที่สำคัญครับถ้ารักประชาธิปไตยอยากให้การเลือกตั้งเกิดขึ้น พฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับวิถีทางประชาธิปไตยต้องหยุด เช่น การใช้ความรุนแรง การขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ การเดินทางหรือการหาเสียงที่จะมีขึ้นในอนาคต ผมก็ยังยืนยันครับว่าพร้อมที่จะยุบสภาฯ กลับไปสู่การเลือกตั้ง แต่เงื่อนไขเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นก่อน มิฉะนั้นการเลือกตั้งก็จะไม่สามารถนำไปสู่คำตอบในเรื่องของความสมานฉันท์ได้

สำหรับในเรื่องของความมั่นคงนะครับ จากปัญหาการดูแลสถานการณ์การเมืองซึ่งผมได้เรียนแล้วว่า ยกเว้นในช่วงเมษายน ซึ่งเหตุการณ์อาจจะบานปลายออกไป รัฐบาลก็ได้ควบคุมสถานการณ์ด้วยความเรียบร้อย ไม่มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนครับ ใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่บ้าง ใช้กฎหมายพิเศษที่สอดคล้องกับสถานการณ์การข่าว เช่น กฎหมายความมั่นคง ดูแลทั้งในเรื่องการประชุมระหว่างประเทศ ดูแลในเรื่องที่เวลามีการชุมนุม และขอเรียนนะครับว่าไม่จริงครับถ้าใครบอกว่ากฎหมายความมั่นคงถูกนำมาใช้ เพื่อปิดกั้นการชุมนุมเพราะว่ากฎหมายความมั่นคงไม่ได้ห้ามการชุมนุม และเราก็ไม่ได้ใช้ทุกครั้งที่มีการชุมนุม เราใช้เฉพาะครั้งที่มีการข่าวบ่งบอกว่าเหตุการณ์อาจจะมีความรุนแรง ซึ่งผมก็ต้องขอขอบคุณนะครับทาง กอ.รมน. ซึ่งได้ดูแลบริหารกฎหมายความมั่นคงให้เกิดความเรียบร้อยทุกครั้ง

ส่วนปัญหาความมั่นคงที่เป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งก็คือปัญหาภาคใต้ ผมอยากเรียนครับว่าถ้าดูตัวเลขสถิติของ 1 ปีที่ผ่านมานั้นเหตุการณ์ความรุนแรงลดลงเพียงเล็กน้อย ผมได้พูดไปแล้วครับว่าผมไม่ได้พอใจละครับ แต่ผมถือว่ามันเป็นความต่อเนื่องของการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความ มั่นคงที่ดูแลให้สถานการณ์นั้นมีความรุนแรงน้อยลง แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลได้เดินหน้าชัดเจนในการปรับเปลี่ยนนโยบายในการแก้ไข ปัญหาภาคใต้ มีการตั้งองค์กรก็คือตัวคณะรัฐมนตรีที่มาดูแลภาคใต้เป็นการเฉพาะ เดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ จัดงบประมาณลงไป มีเป้าหมายที่ชัดเจน ทั้งในลักษณะโครงการที่ลงไปจากบนลงล่าง และจากโครงการระดับหมู่บ้านที่ทำงานคู่กับทางเจ้าหน้าที่ขึ้นมา แล้วก็เริ่มมีการดำเนินการที่จะปรับแนวของการใช้กฎหมายต่าง ๆ เช่น 4 อำเภอจังหวัดสงขลา ยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว กำลังเอากฎหมายความมั่นคงมาใช้ แล้วขณะเดียวกันในส่วนของการบังคับใช้พระราชกำหนดใน 3 จังหวัดก็มีการปรับปรุงระบบร้องเรียนต่าง ๆ เพื่อดูแลว่าไม่มีการไปใช้อำนาจในทางที่ผิด การเยียวยา การสนับสนุนเรื่องการศึกษา และการดำเนินการที่จะปรับปรุงโครงสร้างขององค์กรที่จะดูแลเรื่องนี้ ที่เรียกว่า ศอ.บต. ก็ได้มีการผลักดันกฎหมายนี้จนสภาฯ รับหลักการไปแล้ว อันนี้ก็เป็นความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาของภาคใต้นะครับ

ผมอยากจะเรียนครับว่าในเรื่องของการเมืองนั้นก็จะมีอีกประเด็นหนึ่งซึ่ง เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ และผมก็บอกเช่นเดียวกันว่าไม่ได้พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ นั่นคือเรื่องของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่สิ่งที่ผมยืนยันได้นะครับว่ามาตรฐานความรับผิดชอบและการเอาจริงเอาจังกับ เรื่องของปัญหาคอร์รัปชั่นนั้นเราได้แสดงออกอย่างชัดเจน มีเรื่องเกิดขึ้นในกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นความเสียหายต่อประชาชนครับ ทางท่านรัฐมนตรีท่านก็แสดงความรับผิดชอบ แสดงสปิริต มีปัญหาในโครงการชุมชนพอเพียง เราก็หยุดโครงการที่เป็นปัญหาทั้งหมด เปลี่ยนผู้บริหาร ผู้รับผิดชอบทั้งหมดเพื่อให้เกิดการตรวจสอบได้ เพื่อจะเดินหน้าโครงการต่อ

มีข้อครหาในเรื่องของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับงบไทยเข้มแข็ง เราก็มีการตรวจสอบ เชิญคนนอกที่เป็นที่ยอมรับไว้วางใจของทุกฝ่าย ก็ชะลอโครงการในปัจจุบันและจะทำให้เกิดความโปร่งใสชัดเจนยิ่งขึ้น รวมไปถึงโครงการที่สังคมตั้งคำถาม ทุกโครงการคณะรัฐมนตรีจะมีการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ โครงการที่เป็นประโยชน์ก็เดินหน้าต่อ แต่อาจจะมีการปรับปรุงวิธีการ รายละเอียด เงื่อนไข เพื่อที่จะให้มีความมั่นใจว่าเป็นโครงการที่มีความโปร่งใสด้วย แต่นั่นละครับเรื่องของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นก็สุดแล้วแต่จะประเมินกัน นะครับ ซึ่งเดี๋ยวตอนท้ายผมจะพูดเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องของการประเมินในเรื่องของ ภาพรวม แต่ก็ย้ำอีกครั้งครับว่าผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และจะแสวงหามาตรการและ ความร่วมมือเพิ่มเติมในการที่จะสร้างความโปร่งใสและลดปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่นในรัฐบาล ในระหว่างการบริหารราชการแผ่นดินจากนี้ต่อไปด้วย

สุดท้ายนะครับในเรื่องของภาพรวมที่อยากจะเรียนก็คือว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตซ้ำซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อภาพ ลักษณ์ของประเทศ แม้ว่าปัญหาภายในประเทศเยอะ ผมก็ทราบดีว่าผมก็มีหน้าที่และจะต้องมีบทบาทในการไปสร้างความเชื่อมั่นนอก ประเทศด้วย ยิ่งไปกว่านั้นปี 2552 ก็เป็นปีที่ประเทศไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนทั้งปี เพราะฉะนั้นการทำงานทางด้านการต่างประเทศมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นภาระหน้าที่ของเราในฐานะประธานอาเซียนกับการประชุมอาเซียน 2 ครั้ง ผลักดันสิ่งที่ปรากฏอยู่ในกฎบัตรอาเซียนใหม่ ตั้งองค์กรใหม่อย่างเช่น องค์กรสิทธิมนุษยชนในระดับอาเซียน เป็นผลงานที่เราสามารถผลักดันในฐานะประธานได้ทั้งสิ้น

นอกจากนั้นครับในฐานะประธานอาเซียนเรายังได้รับความไว้วางใจให้ไป เป็นตัวแทนในการแสดงออกถึงความคิดเห็นในที่ประชุมระดับนานาชาติที่อาจจะถือ ได้ว่าสำคัญที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา คือการประชุมจี 20 เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก ไม่นับแน่นอนครับการทำงานโดยทั่วไปนะครับ เช่น การไปประชุมเอเปค การไปประชุมเรื่องความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งเราได้เป็นหุ้นส่วนในฐานะผู้ให้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ตะวันออกกลาง ยุโรป และที่สำคัญที่สุดคือว่าในส่วนของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านนะครับ ผมก็ขอเรียนครับว่าที่เห็นชัดเจนว่ามีความก้าวหน้าไปมาก ก็จะมีทั้งกรณีของประเทศมาเลเซีย ซึ่งการเยือนของท่านนายกฯ มาเลเซียเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมารวมทั้งที่เดินทางไปที่นราธิวาสกับผม รวมถึงเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ครับ ได้บ่งบอกว่าความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซียนั้นได้รับการยกระดับขึ้นไป อีกระดับหนึ่ง ทั้งในแง่ของความมั่นคง และจะมีเรื่องของเศรษฐกิจตามมา

กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น ลาว เราก็ได้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเรื่องของการจัดการแข่งขันซีเกมส์ และจะมีความร่วมมือซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงความสัมพันธ์เช่นเดียวกัน แต่ว่าทุกประเทศในอาเซียนนะครับก็มีการเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ ผมยังติดอยู่ก็คือกรณีของประเทศบรูไน ซึ่งก็เป็นเรื่องของปัญหา เรื่องของการจัดเวลาเท่านั้นเอง แล้วตั้งใจว่าต้นปีหน้าจะไปเยือน เช่นเดียวกับพม่านะครับซึ่งมีการเชิญผมมา 2 ครั้ง แต่ปรากฏว่ากำหนดการไม่ตรงกัน ก็จะรอจังหวะเวลาที่ไป

ขอเรียนว่าสำหรับกรณีของกัมพูชา 1 ปีที่ผ่านมานี้ครับ ผมอาจจะกล่าวได้ว่าตลอดเวลาเกือบทั้งปี ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยปกติครับ จนกระทั่งเกิดการสร้างเงื่อนไขขึ้นมาใหม่ ในเรื่องของการตั้งที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา การไม่ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน และเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองและระบบยุติธรรม หรือระบบศาลของไทย ปัญหาจึงเกิดขึ้นครับ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่ารัฐบาลนี้เข้ามาแล้วความสัมพันธ์เสื่อมทรามลงนะครับ ดูได้ย้อนกลับไปได้ว่า 8 - 9 เดือนนั้นมีความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ แต่จุดยืนความสัมพันธ์ขณะนี้ผมถือว่าเราทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับ ประชาชนเป็นปกติให้มากที่สุด แต่จำเป็นต้องรักษาจุดยืน รักษาศักดิ์ศรีของประเทศ โดยใช้มาตรการทางการทูตตอบโต้ เท่านั้นเองครับ แล้วก็จะยึดแนวทางนี้ต่อไป แล้วจะไม่ให้ลุกลามไปสู่ความรุนแรงหรือความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนโดย ทั่วไป อันนี้ก็เป็นในส่วนของงานทางด้านการต่างประเทศด้วยนะครับ

ผมขอเรียนครับว่าทั้งหมดนี้ จะทำให้พี่น้องได้เห็นภาพนะครับ ของการเดินหน้าของประเทศ ของการออกนโยบาย ของการมีมาตรการ ของการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนแทบจะเรียกได้ว่าครบทุกกลุ่มในประเทศไทย ผมอยากจะเรียนว่าการตรวจสอบการบ้าน 1 ปีนี้ผมก็อยากจะให้ดูนะครับว่า เมื่อวันที่ผมรับตำแหน่งและเคยให้คำมั่นสัญญาไว้กับพี่น้องประชาชนนั้นก็ได้ พูดไว้ เอาคร่าวๆ ก็คือ 6 เรื่องครับ ใน 6 เรื่องนั้นไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลพี่น้องประชาชนทางด้านการศึกษา ในเรื่องของเกษตรกร ทำหน้าที่ในฐานะประธานของอาเซียนนี้ ผมได้พูดไปแล้วนะครับ

รวมไปถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผมได้พูดด้วยว่านโยบายรัฐบาลชุดก่อน อะไรที่ดีเราไม่ใจแคบหรอกครับ เราทำต่อ แล้ววันนี้ผมก็ยืนยันที่จะพูดว่านโยบายบางเรื่องเริ่มต้นมาก่อนรัฐบาลผม 6 เดือน 6 มาตรการ รัฐบาลนี้สานต่อ ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์โอทอป ผมได้ต่อยอดช่วยในเรื่องการตลาด จัดงาน และทำในเรื่องของการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐาน ให้ความรู้เพิ่มขึ้น และกองทุนหมู่บ้านครับก็มาต่อยอดด้วยการเพิ่ม เติมเงินให้ รวมกับการขยายเวลาการชำระหนี้

และก็แน่นอนครับเรื่องหนึ่งที่ผมพูดไว้ในวันแรกก็คือการปกป้อง เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมขอเรียนว่าตลอด 1 ปีรัฐบาลได้พยายามจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อให้พี่น้องประชาชนนั้นมีความ สมานฉันท์ และเทิดทูนและได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เดือนนี้เดือนธันวาคม ผมคิดว่าเราได้เห็นครับว่าด้วยพระบารมี พี่น้องประชาชนคนไทยนั้นสามารถที่จะมาหลอมรวมจิตใจกัน เมื่อรัฐบาลจัดกิจกรรมจัดงานต่าง ๆ ซึ่งทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยมีความสุขที่สุดในรอบปี รัฐบาลยังเดินหน้ายืนยันในการที่จะปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่ และก็หวังที่จะเห็นความร่วมแรงร่วมใจจากพี่น้องประชาชนในการถวายความจงรักภักดี เหมือนกับที่เราได้เห็นในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

นอกจากนั้นในการเดินทางไปต่างประเทศ ผมได้ไปชี้แจงทำความเข้าใจกับความสับสนที่เกิดขึ้น จากการที่บางฝ่ายไปพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องในทาง ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งปัจจุบันก็ทำให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้น และผมยังได้มีการดำเนินการในเรื่องของปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะป้องกันไม่ให้มีการนำไปใช้หรือบังคับใช้ในลักษณะที่เป็นเรื่องของประโยชน์ทางการเมือง หรือในการทำลายล้างกัน เพราะฉะนั้นล่าสุดหลังจากที่ได้มีการปรึกษาหารือกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันจะมีคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อกลั่นกรองคดีนี้ แล้วคงจะเริ่มต้นทำงานได้ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป อันนี้ก็คือสิ่งที่ผมอยากจะเรียนว่า 6 เรื่องที่ผมพูดไว้ในวันที่ผมรับตำแหน่งนั้นได้เดินหน้าทำในทุกๆ ด้าน

เช่นเดียวกันครับก่อนหน้านั้น ก่อนที่ผมจะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมเคยหาเสียงและพูดถึงแผนปฏิบัติการเร่งด่วน 99 วัน มีคนชอบเอาไปพูดนะครับว่า 99 วันหรือ 1 ปีทำได้หรือไม่ได้ เอามาให้ดูชัดๆ ครับ ผมบอก 99 วันจะทำเรียนฟรี 15 ปี ทำได้แล้วสำเร็จเรียบร้อยแล้ว 99 วันจะมีเงินตอบแทน อสม. ก็ทำได้เรียบร้อยแล้ว 99 วันโครงการชุมชนพอเพียงเริ่มโอนเงินได้ ทำไปแล้ว 99 วันจะลดภาระค่าครองชีพ ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ทำได้ ส่วนเรื่องน้ำมันนั้นผมต้องยอมรับว่าปรับเปลี่ยนนโยบายซึ่งจะได้ชี้แจงต่อไป

สำหรับเรื่องราคาน้ำมันเป็นปัจจัยเสี่ยง แต่ว่าสิ่งที่ทางกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง ร่วมกันบริหาร 1 ปีที่ผ่านมา ผมบอกว่าเราเตรียมการเอาไว้เพื่อรับมือกับเรื่องนี้เต็มที่ ก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมนโยบายเรื่องราคาน้ำมัน ไม่ได้ตรงกับ 99 วัน แผนปฏิบัติการ 99 วัน เพราะมองมาข้างหน้าเล็งเอาไว้ว่าจำเป็นจะต้องเผื่อไว้สำหรับสถานการณ์เมื่อเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ขาขึ้น ปัจจัยเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง ผมก็เรียนครับว่าแม้ว่าทางการท่องเที่ยว การส่งออก ก็ต้องเดินหน้าเต็มที่ แต่ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศก็จะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติการไทยเข้มแข็งก็จะเป็นภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่งในกรณีที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเปราะบางหรือช้ากว่าที่มีการคาดการณ์ในปัจจุบัน แต่ว่าความเสี่ยงสุดท้ายที่ผมจำเป็นต้องพูดก็คือปัญหาการเมืองภายในประเทศ จริงอยู่ครับ 1 ปี เราก็พยายามที่จะบริหารสถานการณ์ท่ามกลางความขัดแย้ง และผมก็ได้ยืนยันแล้วว่าเป้าหมายของการบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชน นั้นเราไม่ให้ได้รับผลกระทบ หรือให้ได้น้อยที่สุดจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง

แต่ผมก็ต้องยืนยันกับพี่น้องประชาชนครับว่า ถ้าในบ้านเมืองของเรามีความสมัครสมานสามัคคี ให้โอกาสในการทำงานกัน การทำงานหลายอย่างก็จะมีความราบรื่นและประสบความสำเร็จได้ง่าย อยากจะยกตัวอย่างๆ หนึ่งครับ โครงการประกันรายได้เกษตรกร ตอนที่จะเริ่มทำแม้แต่นักวิชาการที่สนับสนุนนโยบายนี้ยังกังวลว่าเราจะผลักดันได้หรือไม่ แต่ด้วยความร่วมมือจากทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องจาก ส.ส.ในพื้นที่ซึ่งคอยรายงานปัญหาต่างๆ จากการทุ่มเททำงานหนักของเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เราก็เดินมาจนถือได้ว่าประสบความสำเร็จ แต่ปัญหาที่ตกค้างในบางพื้นที่ วันนี้ต้องบอกครับมีพี่น้องประชาชนในบางพื้นที่ไม่ได้มาขึ้นทะเบียน เพราะมีคนบางกลุ่มไปรณรงค์ไม่ให้มาขึ้นทะเบียน ไปบอกว่ารัฐบาลจะหลอก รัฐบาลไม่ทำจริง ซึ่งวันนี้เราก็จะตามมาแก้ไข แต่อยากจะเรียนครับว่าถ้าเราสามารถที่จะมาร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกัน คนที่จะได้ประโยชน์ที่สุดก็คือพี่น้องประชาชน

ผมยืนยันว่า 1 ปีที่ผ่านมาประเทศเดินหน้า ประชาเป็นสุข อาจจะยังไปไม่ได้ไกลอย่างที่หลาย ๆ คนคาดหวัง และผมเองก็ยังไม่พอใจที่จะหยุดอยู่เท่านี้ แต่ผมก็อยากจะให้พี่น้องประชาชนได้ช่วยกันครับว่าเราจะก้าวเดินต่อไปข้าง หน้าด้วยกัน จะช้าจะเร็ว จะเลี้ยวซ้ายบ้าง เลี้ยวขวาบ้าง จะช่วยกันทำให้ประเทศของเรา และประชาชนของเราได้รับความเจริญก้าวหน้าน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายครับว่าในขณะที่เราฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลกมาในปีที่ผ่านมา ในขณะที่เราได้เริ่มต้นฟื้นภาพลักษณ์ของประเทศมาได้ไกลขนาดนี้แล้ว ถ้าเกิดความรุนแรง ความวุ่นวาย ความโกลาหลขึ้น นอกเหนือจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำมา 1 ปี จะเหมือนกับสูญหายไปและถดถอย ผมกล้าบอกได้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับโอกาสบ่อยนัก และอาจจะไม่ได้รับโอกาสอีก ถ้าเราทำลายความเชื่อมั่นของประเทศของเราเอง

ผมจึงอยากขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่งที่ได้ช่วยสนับสนุนให้การ ทำงานของเรา 1 ปีที่ผ่านมามาถึงจุดนี้ และขอว่าในปี 2553 ครับเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนมาร่วมกันสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชน ทั้งประเทศ ขอขอบคุณครับ


ที่มา: สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net