Skip to main content
sharethis

27 ธ.ค.52 สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ได้ร่วมกันระดมความเห็นในการตั้งฉายาผู้ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสองสภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกและการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยในรอบปี 2552 โดยระบุว่า ได้เล็งเห็นว่าผู้ที่ทำหน้าที่นี้มีความสำคัญ ต่อการเปลี่ยนผ่านการเมืองของประเทศ หลังจากเกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง จึงอาศัยเทศกาลปีใหม่นี้ ตั้งฉายาให้ฝ่ายนิติบัญญัติ ตามผลงานที่ปรากฏออกมา ในมุมมองของสื่อมวลชน พร้อมทั้งยืนยันว่า ในการตั้งฉายารัฐสภาทุกครั้งได้ใช้เหตุผล ความบริสุทธิ์ใจ โดยพยายามหลีกเลี่ยงการใช้อคติ ปราศจากการแทรกแซงจากทุกฝ่าย สำหรับฉายาที่ตั้งขึ้นได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา โดยผลการพิจารณามีดังต่อไปนี้

ฉายาสภาผู้แทนราษฎร -“ถ่อย-เถื่อน-ถีบ”
ตลอดหนึ่งปี ภาพลักษณ์ของสภาผู้แทนราษฎรตกต่ำอีกครั้ง เพราะเต็มไปด้วยความแตกแยกอย่างหนักระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล จนเกือบมีการใช้ความรุนแรง ทั้งการเปิดศึกหวิดวางมวยกลางสภากันหลายครั้ง หรือมีการโต้เถียง ท้าทายการนับองค์ประชุมกันดุเดือด ด่ากันด้วยด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมและบางครั้งถึงขั้นหยาบคายหลายคู่ ซึ่งพบถี่มากขึ้นแทบทุกเดือน เช่น กรณีนายสมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ที่ยั่วฝ่ายรัฐบาลด้วยการเดินตรวจการเสียบบัตรลงคะแนนของสมาชิกรอบห้องประชุม จนเกือบวางมวยกับนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ปรี่จะเข้ามาชกและยกเท้าเตรียมถีบ จนต้องเข้าห้ามกันชุลมุนท่ามกลางถ้อยคำผรุสวาทของสองฝ่าย
หรือกรณีที่เป็นข่าวครึกโครมเมื่อนายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย กล่าวคำหยาบคายถึงขั้นชูนิ้วกลางให้นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนจะท้าไปดวลกันนอกห้องประชุม
พฤติกรรมเหล่านี้ได้สร้างความเสื่อมทรามให้กับสภาผู้แทนราษฎรในยุคการเมืองต่อสู้กันรุนแรง และดำเนินต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วถึงปัจจุบัน กรณีที่นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย สร้างวีรกรรมกระโดดถีบนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ จนศาลมีคำพิพากษาเมื่อต้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ให้จำคุกนายการุณ1 เดือน รอลงอาญากำหนด 2 ปี ทั้งนี้พฤติกรรม สส.ที่ก้าวร้าวมากขึ้น นอกจากไม่เป็นแบบอย่างที่ดีของสภาผู้ทรงเกียรติแล้ว ยังมีส่วนกระตุ้นให้สังคมแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง โดยไม่ใช้หลักเหตุผล
ฉายาวุฒิสภา–“ตะแกรงก้นรั่ว”
วุฒิสภาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสภาสูง ที่คอยตรวจสอบและกลั่นกรองการทำงานของสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศ แต่หลังจากเกิดการสับขั้วทางการเมือง ภาพการตรวจสอบของวุฒิสภากลับไม่เข้มข้นเหมือนรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลางข้อครหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาล จนทำให้สังคมผิดหวังกับบทบาทการตรวจสอบของวุฒิสภา เสมือนว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง เสมอตัว เหมือนความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ
ขณะเดียวกันภาพของวุฒิสภา กลายเป็นองค์กรที่คอยตอบแทนบุญคุณกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น ส.ว.สรรหา หรือ ส.ว.เลือกตั้ง จนทำให้พฤติกรรมของสภาสูง ไม่แตกต่างจากสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำให้การประชุมต้องล่มซ้ำซาก เพราะเกิดความขัดแย้งระหว่าง ส.ว.สรรหา กับส.ว.เลือกตั้ง ขณะเดียวกันยังมีการวิ่งเต้นล็อบบี้ ให้วุฒิสภาผ่านกฎหมายสำคัญของรัฐบาล ล่าสุดนายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา ได้ออกหนังสือเรื่อง “ความรับผิดชอบของสมาชิกรัฐสภาและสภาฯล่มซ้ำซาก” ระบุว่า มีการวิ่งเต้นของแกนนำกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้วุฒิผ่าน ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินโดยเร็ว จนทำให้บทบาทการตรวจสอบเหมือนกับตะแกรง ในการแยกสิ่งดีไม่ดีออกจากกัน ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงไม่ต่างจากตะแกรงก้นรั่วนั่นเอง
ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎร(นายชัย ชิดชอบ) – “ตลกเฒ่าร้อยเล่ห์”
ท่ามกลางสภาวะการเมืองสองขั้ว ทำให้นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องรับบทหนักในการทำหน้าที่ประธานควบคุมการประชุมสภาฯ ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง รุนแรง วุ่นวาย ระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่ด้วยชั้นเชิงที่คร่ำหวอดในสภามานาน ทำให้นายชัย ใช้บทร้อยเล่ห์ทั้งการประนีประนอม ใช้ทั้งไม้แข็งและไม้นวม กระทั่งใช้ความอาวุโสความเป็น “พ่อเฒ่า” หลอกล่อสมาชิกรุ่นลูก ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลจนหัวหมุน หลงประเด็น โดยเฉพาะการปล่อยมุขขำขันออกมากลบประเด็นจนช่วยผ่อนคลาย บรรยากาศตรึงเครียดระหว่างการประชุม และประคองไม่ให้การประชุมล่มได้หลายครั้ง การทำหน้าที่ของนายชัยด้วยชั้นเชิงที่แพรวพราวดัง “ตลกเฒ่าร้อยเล่ห์” นี่เอง จึงทำให้ ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาลส่วนใหญ่ต่างยอมรับกับบทบาทการทำหน้าที่ของนายชัยในการทำหน้าที่ประธานการประชุม
ฉายาประธานวุฒิสภา(นายประสพสุข บุญเดช) “ประธานหลักเลื่อน”
ด้วยต้นทุนทางสังคมที่มีอยู่เดิม และ ส.ว.ส่วนใหญ่ให้ความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นเสาหลักของวุฒิสภา เพราะเคยเป็นถึงอดีตประธานศาลอุทธรณ์ ทุกฝ่ายจึงต่างคาดหวังว่าการทำหน้าที่ประธานวุฒิสภาของนายประสพสุข บุญเดช จะสามารถเป็นเสาหลักให้กับสภาสูงได้ แต่บทบาทของประธานวุฒิสภาหลายครั้ง ได้สร้างความผิดหวังกับสังคม เช่น กรณีการเป็นตัวแทนของฝ่าย ส.ว.เข้าร่วมประชุมกับนายกรัฐมนตรี วิปรัฐบาล และวิปฝ่ายค้าน เพื่อหาทางออกปัญหาความขัดแย้งในสังคมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อถูกทักท้วงจากสมาชิกบางส่วนว่า ไม่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของวุฒิสภา ทำให้นายประสพสุข ไม่กล้าตัดสินใจใช้อำนาจในฐานประมุขของสภาสูงในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม และบ่อยครั้งมักจะโอนเอนไปตามแรงกดดันของสังคมหรือเกมการเมือง ทำให้เกิดภาวะเลื่อนลอย เปรียบเหมือนหลักยึดที่เลื่อนไป-มาตามแรงกดดัน จนขาดภาวะผู้นำของสภาสูง ขณะเดียวกันท่ามกลางประเทศประสบปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจ ประธานวุฒิสภา กลับพาสมาชิกไปดูงานต่างประเทศ จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม แทนที่จะทำเป็นตัวอย่าง กลับทำเสียเอง
ดาวเด่น “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย”
บทบาทที่ผ่านมาของนพ.ชลน่าน ต่อการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาฯถือว่ามีความโดดเด่น โดยเฉพาะการอภิปรายในสภาฯที่ใช้ข้อบังคับการประชุมสภาฯมาเป็นเครื่องมือในการแสดงความคิดเห็นเป็นหลัก ไม่มุ่งเน้นอภิปรายรัฐบาลด้วยการใช้วาทศิลป์เป็นสำคัญ ทำให้การประชุมไม่สามารถดำเนินการไปได้ ขณะเดียวกันแม้ว่าจะมีบางประเด็นที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล อย่างเช่นการอภิปรายเกี่ยวกับข้อกฎหมาย ซึ่งนพ.ชลน่านก็สามารถยกข้อเท็จจริง และประเด็นทางกฎหมายมาหักล้างได้ในหลายประเด็น โดยเฉพาะการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณที่ผ่านมา
ดาวดับ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย”
เคยมีวลีที่รู้กันอยู่ในวงการเมืองว่า ถ้าไปทะเลเจอฉลาม แต่มาสภาฯเจอเฉลิม ที่ผ่านมาร.ต.อ.เฉลิม เป็นบุคคลที่หากใครเป็นรัฐบาล แล้วร.ต.อ.เฉลิมเป็นฝ่ายค้านจะมีการทำหน้าที่ทั้งในสภาฯและนอกสภาฯในการตรวจสอบการทำงานในสภาฯอย่างเข้มข้น ด้วยข้อมูลที่สร้างความสั่นสะเทือนให้คนที่เป็นรัฐบาลได้พอสมควร แต่ปรากฏว่า ร.ต.อ.เฉลิมในวันนี้ กลายเป็นดาวอับแสง ด้วยบทบาทการทำหน้าที่ของตนเองที่แทบจะหาสาระหลักไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายหรือการยื่นกระทู้ถามในสภาฯ กลับไม่ได้แสดงความเป็นขุนศึกของฝ่ายค้านได้อย่างสมศักดิ์ศรี มีแต่วาทะที่เชือดเฉือนกระแนะกระแหนไปยังฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะพุ่งเป้าไปที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มุ่งไปที่เนื้อหาสาระของการอภิปรายที่เคยทำได้อย่างโดดเด่นเหมือนที่ผ่านมา
เหตุการณ์เด่นแห่งปี “การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อหาทางออกกรณีวิกฤตการเมือง”
เหตุการณ์แห่งปีต้องยกให้กับการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 22-23 เม.ย.2552 เพื่อพิจารณาญัตติด่วนที่รัฐบาลขอคำเสนอแนะจากสมาชิกรัฐสภา เพื่อหาทางออกในการแก้ไขวิกฤตการทางการเมืองหลังเกิดเหตุการณ์ “สงกรานต์จลาจล” หลายฝ่ายคาดหวังว่า การประชุมรัฐสภานัดนี้ จะช่วยให้ความตรึงเครียดทางการเมืองลดอุณหภูมิลง แต่ปรากฎว่า เวทีรัฐสภากลับไม่เป็นที่พึ่งหวังในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง เพราะไม่ได้เป็นการประชุมอย่างสร้างสรรค์ หลายประเด็นที่หยิบมาพูด และมีการถ่ายทอดสดด้วย ถูกมองว่าเป็นการบิดเบือนข้อมูลและปลุกระดมซ้ำ ทั้งกรณีรถแก๊ส, การป่วนเมืองที่มาจากกลุ่มที่มีความขัดแย้งกันอยู่ เนื้อหาการอภิปรายมุ่งเอาชนะคะคานกันด้วยคำพูด กล่าวหากันโดยไม่มีหลักฐานข้อพิสูจน์ ทำให้เกิดการประท้วงวุ่นวาย เพิ่มอุณหภูมิความขัดแย้งในสังคมมากขึ้นไปอีก และแม้ผลสรุปของการประชุมรัฐสภาจะมีการตั้งคณะกรรมการสองชุด คือ คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์การชุมนุม แต่จนถึงวันนี้ ก็ไม่มีผลความคืบหน้าในการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา ขณะที่ความรุนแรงทางสังคมยังคงอยู่
วาทะแห่งปี “พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม”
วาทะดังกล่าวส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้หยิบมาพูดหลายครั้งเพื่อยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้กระทำทุจริตหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุกพ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปีในคดีทุจริตที่ดินรัชดา ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้หยิบวาทะนี้มาพูดในสภา ระหว่างตั้งกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ต.ค. เรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนโดยระบุว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยทำทุจริต ที่ถูกศาลตัดสินเป็นเรื่องทำสิ่งที่กฎหมายห้าม แต่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย " พร้อมทั้งท้าทายว่า หากเป็นเรื่องทุจริตจริงจะเอาปริญญาเอกนิติศาสตร์ไปคืนมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่ง วาทะดังกล่าวเป็นการสะท้อนให้เห็นเด่นชัดว่า เป็นการเลี่ยงบาลี บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนเกิดความสับสนในคำพิพากษาศาลฎีกา และเป็นการสะท้อนจุดยืนและบรรทัดฐานทางการเมือง ของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่ไม่สมกับอวดอ้างสรรพคุณตัวเองว่า จบด๊อกเตอร์ด้านกฎหมาย
คู่กัดแห่งปี “นายจตุพร พรหมพันธุ์ - นายวัชระ เพชรทอง”
นักการเมืองคู่นี้เป็นศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกัน แต่เมื่อมาอยู่ต่างพรรคต่างขั้ว ทำให้วิถีทางการต่อสู้ทางการเมืองต้องเข้าห้ำหั่นกัน ด้วยความที่รู้ไส้รู้พุงกันตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา ทำให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ มักมีประเด็นวิวาทะกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันมาโดยตลอด บางจังหวะเลยเถิดไปถึงการพาดพิงบุพการี ทำให้อุณหภูมิในสภาเดือดดาลอยู่หลายครั้ง จนบางครั้งหวุดหวิดที่จะวางมวยกันในสภาฯ นอกจากนั้นนายจตุพรและนายวัชระ ยังออกมาท้าทายกันที่ห้องแถลงข่าวรัฐสภาเป็นประจำ จึงทำให้ศึกสายเลือดระหว่าง ส.ส.หนุ่มคู่นี้จึงถูกยกให้เป็นคู่กัดแห่งปี
คนดีศรีสภาฯ “นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์”
ปัญหาการทำงานของสภาฯในรอบปีที่ผ่านมาเรื่องที่ใหญ่ที่สุดคือ สภาล่มบ่อยครั้ง 11 เดือน 11 ครั้ง เพราะส.ส.ไม่รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่เข้าประชุมสภาฯทำให้งานสภาฯเดินหน้าไปไม่ได้ แต่นายเจริญซึ่งมีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ขั้วตับ กลับเข้าประชุมสภาและร่วมลงมติผ่านกฎหมาย 88 ครั้งจากการประชุมสภา การลงมติ 100 ครั้ง และในช่วงก่อนปิดสมัยการประชุม ที่เกิดเหตุการณ์สภาล่มซ้ำซาก นายเจริญยังได้เข้าร่วมประชุมด้วยทั้งที่พึ่งเข้ารับการผ่าตัดโรคมะเร็งก่อนหน้านี้ 1 วัน จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นคนดีศรีสภา เพื่อเป็นตัวอย่างของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างสมศักดิ์ศรี
ฉายาผู้นำฝ่ายค้าน -ไม่มีการตั้งฉายา
หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ จับมือพรรคต่างๆ พลิกขั้วมาจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยสภาผู้แทนราษฎรมีมติด้วยเสียงข้างมากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ 15 ธ.ค. 2551 ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน อย่างไรก็ดี การที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งจัดตั้งหลังจากคดียุบพรรคพลังประชาชน ไม่ตั้งหัวหน้าพรรคจากบุคคลที่เป็น ส.ส.อยู่ในสภา ทำให้ไม่สามารถแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 110 บัญญัติว่า ผู้นำฝ่ายค้านคือ ส.ส.ผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่ส.ส.สังกัดของพรรคตนมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และมีจำนวนมากที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองที่ ส.ส.ในสังกัดมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรในขณะแต่งตั้ง เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กรณีดังกล่าว สื่อมวลชนประจำรัฐสภา จึงมีมติเอกฉันท์ งดการตั้งฉายาผู้นำฝ่ายค้าน ในฉายารัฐสภาประจำปี 52
 
พท.ตั้งฉายารัฐ'กินอยู่กับปาก อยากอยู่เก้าอี้'
เว็บไซต์ไทยรัฐ รายงานว่าที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า หลังจากที่รัฐบาลทำงานมาครบ 1 ปี พรรคเพื่อไทย ขอตั้งฉายารัฐบาลว่า “กินอยู่ปาก อยากอยู่กับเก้าอี้” เนื่องจากหลายคนมีการทุจริต แต่ยังมีเก้าอี้นั่งอยู่ วาทะแห่งปี คือ “ประชาชนต้องตายก่อน” ฉายา ครม.คือ “ครม.ฝนตกขี้หมูไหลคนอะไรมาเจอกัน” ส่วน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรฐมนตรี ได้ฉายา “นายก...รักษาการณ์” เนื่องจากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขาดภาวะความผู้นำ เหมือนนายกฯ รักษาการณ์ ไม่มีอำนาจที่แท้จริง
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ได้ฉายา “เจ้าคุณเละเทะ” เนื่องจากทำท่าว่าจะเป็นคุณชายสะอาด แต่สุดท้ายเลอะเทอะ เละเทะทั้งกรณีชุมชนพอเพียง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ฉายา “ เทือก แถได้ทุกทาง “ เนื่องจากทำได้ทุกอย่าง เพื่อรักษารัฐบาลให้อยู่ใช้งบนานที่สุด นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ฉายา “รมต.กุ๊ยเหนือกุ๊ย" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ฉายา “ปืนใหญ่หน้ากระทรวง” คล้ายปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหมที่มีไว้โชว์ 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net