Skip to main content
sharethis
 
6 ม.ค. 53 - สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนออกแถลงการณ์ ระบุตั้งองค์กรอิสระไม่ได้ ให้ออกเป็น "พระราชบัญญัติ" ใช้ตามมาตรา 67  
 
 

 
แถลงการณ์
สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
(STOP GLOBAL WARMING ASSOCIATION)
เรื่อง การจัดตั้งองค์การอิสระถ้าออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีไม่ได้ก็ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น
 
ตามที่คณะกรรมการ ๔ ฝ่ายเพื่อหาทางออกการดำเนินการตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ที่มี ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานฯ ได้รับความเห็นอย่างไม่เป็นทางการมาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าการจัดตั้งองค์การอิสระตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๗ วรรคสอง อาจจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากอาจขัดต่อพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.๒๕๓๔  ซึ่งการจัดตั้งองค์กรเป็นนิติบุคคล ต้องตั้งงบประมาณผ่านสภาฯ ความดังทราบแล้วนั้น
 
สมาคมฯ ขอยืนยันว่า หากรัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ทุกอย่างคลี่คลายไปด้วยดี โดยเฉพาะปัญหาในมาบตาพุดและจังหวัดระยองนั้น รัฐบาลต้องกล้าที่จะตัดสินใจใช้อำนาจเชิงนโยบายมากกว่าที่จะมาติดกับดักทางบริหารของระบบราชการแบบเก่าที่ล้าสมัย ไม่สนใจกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน และเป็นตัวถ่วงของการพัฒนาเชิงรุก โดยสมาคมฯมีข้อเสนอดังนี้
 
๑) การจัดตั้งองค์การอิสระตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ นั้น มติของภาคประชาสังคมและภาคประชาชนที่ได้ข้อยุติจากเวทีรับฟังความคิดเห็นทั่วประเทศให้จัดตั้งในรูปของ “พระราชบัญญัติ” แต่เนื่องจากต้องเสียเวลาในการผ่านรัฐสภาฯเสียก่อนอาจทำให้ล่าช้า ภาคประชาสังคมและภาคประชาชนจึงได้ถอยให้หนึ่งก้าว โดยยอมรับให้สามารถจัดตั้งได้ในรูป “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี” ได้แล้วค่อยนำไปออกเป็นพระราชบัญญัติต่อไปได้ในภายหลัง ซึ่งจะทำให้จัดตั้งได้เร็วไม่ต้องผ่านรัฐสภาฯ แต่เนื่องจากมีความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาออกมาอย่างไม่เป็นทางการว่า ไม่สามารถจัดตั้งในรูประเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีได้นั้น สมาคมฯ ในฐานะผู้มีส่วนได้เสียตามรัฐธรรมนูญขอยืนว่าว่า หากจัดตั้งในรูปแบบดังกล่าวไม่ได้ ก็ต้องจัดตั้งในรูปแบบ “พระราชบัญญํติ” อย่างเดียวเท่านั้น
 
๒) รัฐบาลไม่ควรใส่ใจหรือให้ความสำคัญหรือให้คุณค่ากับการปรึกษาหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาอีกต่อไป เพราะวิกฤตปัญหาที่เกิดขึ้นและที่ผ่านมา ยืนยันได้ชัดเจนว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นที่ผิดพลาด ขัดหรือแย้งต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด รวมทั้งขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๖๗ วรรคสองมาโดยตลอดและอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งไม่มีปฏิกิริยาที่จะแสดงความรับผิดชอบใด ๆ ออกมาเลย การออกประกาศเป็น “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี” เป็นอำนาจสูงสุดของนายกรัฐมนตรีที่สามารถทำได้อยู่แล้ว “เป็นการใช้เทคนิคทางกฎหมาย” เพราะเป็นการใช้อำนาจทางบริหาร ที่ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.๒๕๓๔ กำหนดไว้ให้สามารถทำได้ โดยไม่ต้องไปยึดติดหรือหารือกับกฤษฎีกาก็ย่อมทำได้
 
๓) ขอยืนยันว่า การจัดตั้งองค์การอิสระตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๖๗ วรรคสองนั้น ต้องจัดตั้งเป็นองค์กรระดับชาติองค์กรเดียวเท่านั้น ส่วนจะแยกย่อยเป็นหลาย ๆ อนุกรรมการในแต่ละด้านก็สามารถทำได้ภายใต้การบริหารจัดการขององค์การระดับชาตินั้น เพราะองค์กรอิสระดังกล่าวต้องประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ องค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และสถาบันอุดมศึกษาที่สอนทางด้านสิ่งแวดล้อม หรือทรัพยากรธรรมชาติ หรือสุขภาพ จึงจะครบองค์ประกอบ มิใช่องค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหรือสถาบันอุดมศึกษาฯ ที่มีอยู่แล้วที่เป็นปัจเจกองค์กรเดี่ยว ๆ จะสามารถสมอ้างว่าเป็นองค์การอิสระดังกล่าวได้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพยายามผลักดัน หาได้ไม่
 
๔) หากรัฐบาลไม่เชื่อฟังคณะกรรมการ ๔ ฝ่ายฯ และดื้อดึงตามข้อเสนอหรือความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สมาคมฯพร้อมที่จะใช้กระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะจะยื่นเรื่องให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้วินิจฉัยว่าความเห็นของกฤษฎีกา กับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่แท้จริง ควรจะมีข้อยุติเป็นเช่นไร โดยไม่สนใจว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาหรือการปลดล็อควิกฤตปัญหาของมาบตาพุด จะยืดเยื้อยาวนานต่อไปอีกสักกี่ปีก็ตาม
 
๕) ขอเรียกร้องให้ผู้แทนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและผู้ประกอบการ ยุติการให้ข่าวหรือให้ข้อมูลที่ขัดหรือแย้งหรือกดดันต่อคำสั่งของศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุด อย่าใช้เวทีของความพยายามแก้ไขวิกฤตปัญหาของมาบตาพุดมาเป็นเวทีการหาเสียงเลือกตั้งการเป็นผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมฯ ที่จะมีวาะการเลือกตั้งกันในเร็ว ๆ นี้ มิฉะนั้น กระบวนการบังคับให้ ๑๘๑ โครงการทั่วประเทศ ต้องดำเนินการเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๖๗ วรรคสอง โดยผ่านกระบวนการยุติธรรมจะใช้ระยะเวลาที่สั้นขึ้นแน่นอน
 
ประกาศ ณ วันที่ ๖ มกราคา พ.ศ.๒๕๕๓
 
นายศรีสุวรรณ จรรยา
นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
 
 
 
 
 
 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net