จาตุรนต์ ฉายแสง: “ตัวตนที่แท้จริงของนายกรัฐมนตรีและพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับการสร้างความสมานฉันท์"‏

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

การที่พรรคประชาธิปัตย์มีมติไม่แก้รัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียวในครั้งนี้  แสดงให้เห็นธาตุแท้ของพรรคการเมืองนี้ว่า ไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใดทั้งสิ้น นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์กับพันธมิตรและพรรคการเมืองใหม่  มีจุดยืนทางการเมืองอย่างเดียวกัน  คือแน่วแน่ที่จะปกป้องรักษารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไว้โดยไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยน  ไม่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีปัญหามากมายแค่ไหนก็ตาม
     
พรรคประชาธิปัตย์ทำเหมือนกับคนทั้งประเทศหลงลืมไปหมดแล้วว่า ก่อนที่จะมีการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้  พรรคประชาธิปัตย์ได้เคยแสดงความเห็นไว้ว่าให้รับไปก่อนแล้วจะแก้ภายหลัง  และหลังเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว  รัฐสภาได้มีการประชุมหารือร่วมกันเพื่อหาทางคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง  สมาชิกรัฐสภาจำนวนมากได้เสนอให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ  คือให้แก้รัฐธรรมนูญให้เกิดความเป็นธรรม 
     
ในครั้งนั้นนายกรัฐมนตรีได้พูดต่อที่ประชุมรัฐสภาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่าหากรัฐสภาเห็นอย่างไรก็ให้เสนอมา  ตนพร้อมจะเอาด้วย 
     
รัฐสภาตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมา  ได้มีข้อเสนอระยะสั้นให้แก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น  เพื่อให้ได้กติกาเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ยุติธรรมมากขึ้น  แล้วยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่  เพื่อให้ได้รัฐบาลที่เป็นที่ยอมรับ พร้อมทั้งมีข้อเสนอระยะยาวให้แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต่อไปด้วย 
     
ข้อเสนอเหล่านี้เป็นความพยายามที่จะหาทางแก้ปัญหาวิกฤตความขัดแย้งและสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น ในช่วงที่สังคมไทยกำลังให้ความสนใจกับการหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมอยู่นั้น  นายกรัฐมนตรีและพรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะแสดงท่าทีขึงขังเอาจริงเอาจังกับการสร้างความสมานฉันท์ถึงขนาดประกาศเป็นนโยบายของรัฐบาลมาแล้ว แต่มาถึงวันนี้กลับไม่สนใจใยดีกับความพยายามแก้ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย
     
พรรคประชาธิปัตย์คงประเมินแล้วว่า ถือแต้มต่อพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย  ซึ่งคงไม่อยากให้ยุบสภาเร็วนัก  เพราะยังต้องการอยู่ในอำนาจต่อไป  และหากมีการเลือกตั้งใหม่ในเร็วๆนี้  ก็ย่อมต้องใช้กติกาแบ่งเขตแบบเดิม  ซึ่งพรรคการเมืองเล็กๆเห็นว่าตนเองเสียเปรียบพรรคใหญ่

นอกจากนั้นก็รู้ไต๋พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายว่า  ย่อมเสียดายกระทรวงใหญ่ที่พวกเขาได้มาโดยเงื่อนไขพิเศษ หากมีการเลือกตั้งใหม่  ย่อมไม่ง่ายที่จะได้กระทรวงสำคัญๆเช่นนี้อีก พรรคประชาธิปัตย์จึงเลือกที่จะดำรงความได้เปรียบในการเลือกตั้งเหนือพรรคเล็กต่อไป  ด้วยการไม่แก้รัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของพรรคร่วมรัฐบาล   โดยไม่กลัวว่าพรรคร่วมจะตีรวนจนถึงขั้นต้องยุบสภา
     
แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับคำถามว่านายกรัฐมนตรีและพรรคประชาธิปัตย์คิดอย่างไรกับการทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย  คิดอย่างไรกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการสร้างความสมานฉันท์ในสังคม 
     
ในขณะที่นายกรัฐมนตรีประกาศว่าการสร้างความสมานฉันท์เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล  รวมทั้งพยายามแสดงออกด้วยการพูดในที่ต่างๆว่า  ตนเองต้องการสร้างความสมานฉันท์เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ใช้การพูดที่ถนัดที่สุดอีกนั่นเองในการชิงความได้เปรียบทางการเมืองเหนือฝ่ายอื่นๆ  ทั้งยังปล่อยให้คนสนิทและลิ่วล้อที่ใกล้ชิดออกมาเกะกะระรานใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม  หรือผู้ที่มีความเห็นแตกต่างกับรัฐบาลอยู่ทุกวี่ทุกวัน 
     
รัฐบาลนี้ยังได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงด้วยการปฏิบัติสองมาตรฐาน และใช้กำลังความรุนแรงปราบปรามประชาชน  ดังที่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนก็ได้ออกมาวิพากษ์ตำหนิรัฐบาลนี้อย่างไม่ไว้หน้าไปเมื่อไม่กี่วันนี้ 
     
นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ใช้สื่อของรัฐบาลปลุกระดมยั่วยุอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง กดดันศาลและใส่ร้ายประชาชนผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สร้างความเกลียดชังเหมือนกับเป็นการเตรียมการปราบประชาชนที่อาจจะมีขึ้นอีกในเร็วๆนี้ 
     
นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลนี้อาจเห็นว่าสิ่งที่ได้ดำเนินการมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนกำลังเป็นไปอย่างได้ผล  เพราะมีความได้เปรียบในด้านเครื่องมือกลไกต่างๆ  จึงไม่แยแสต่อการสร้างความสมานฉันท์อีกต่อไป หากแต่กำลังรอคอยให้กลไกตามกฎหมายดำเนินการอย่างสองมาตรฐาน  เพื่อจัดการกับฝ่ายตรงข้ามก่อนที่จะลงมือ  ดำเนินการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดต่อไปเมื่อเวลามาถึง
     
การเลือกหนทางนี้ของนายกรัฐมนตรีและพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่ไม่มีเหตุผลรองรับ แต่แท้จริงแล้วแนวทางนี้ย่อมได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากพันธมิตร ผู้นำกองทัพ  และบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลาย  ที่คงจะได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้สังคมไทยพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ส่วนเรื่องความเป็นธรรมหรือความยุติธรรมนั้น  นอกจากพวกเขาไม่สนใจแล้ว ยังพร้อมที่จะซ้ำเติมให้เกิดความไม่ยุติธรรมหนักยิ่งขึ้นไปอีก  ด้วยการใช้มาตรการที่เป็นสองมาตรฐานอย่างจริงจังต่อไปด้วย
     
นายกรัฐมนตรีและพรรคประชาธิปัตย์ได้จงใจปิดทางออกจากวิกฤตของสังคมไทยเสียสนิทแล้ว  ภาระทั้งหลายจึงตกอยู่กับผู้รักประชาธิปไตยและผู้ห่วงใยสังคมทั้งหลายที่จะต้องช่วยกันคิดอ่านต่อไป
     
แต่ที่สำคัญคือ  จะปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อยๆไม่ได้อีกแล้ว!
                                                                   
                                                                            

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท