เมื่อวันที่ 26 ม.ค.53 ที่ ห้องประชุม จิตติ ติงศภัทย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับเครือข่ายชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง นักวิชาการ และนักพัฒนา จัดเวทีโต๊ะกลมระดมความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายแร่ฉบับใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำความคิดเห็นของภาคประชาชนต่อร่างกฎหมายแร่ฉบับใหม่และผลักดันวาระของภาคประชาชนเพื่อนำไปสู่การแก้ไข เปลี่ยนแปลง ร่างกฎหมายแร่ฉบับใหม่ ไม่ให้กระทบต่อสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา ครม. มีมติอนุมัติหลักการ ร่าง พรบ. ว่าด้วยแร่ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ กฤษฎีกาคณะพิเศษ ชุดที่ ๑ และ ๕ แต่ด้วยจากการศึกษาของคณะทำงานติดตามร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยแร่ พบว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ค่อนข้างบิดเบือนไปจากเจตนารมณ์ของการร่าง เนื่องจากว่าเนื้อหานั้นมีจุดประสงค์ส่งเสริมการทำเหมืองเพื่อเศรษฐกิจ โดยไม่ใส่ใจกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้เกิดการบริหารอย่างยั่งยืน
ในเวทีโต๊ะกลุม นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปประเด็นเกี่ยวกับ “ร่างพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....” ซึ่งก็จะพบหลายประเด็นที่มีปัญหาไม่สอดคล้องกับหลักการ เช่น ๑.แร่เป็นของรัฐ จากเนื้อความในมาตราที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่าเป็นมาตราที่ล้วนแล้วแต่สนับสนุนคำว่า “แร่เป็นของรัฐ” ทั้งสิ้น ไม่มีบทบัญัติใดๆเลยที่กล่าวถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ นอกจากไม่มีส่วนร่วมแล้วยังจะละเมิดในสิทธิที่พวกเขามีอีกด้วย เช่น ในมาตรา ๑๘(๑) ไม่มีการบัญญัติเลยว่า ต้องมีการอนุญาต แสดงว่าเมื่อผู้ประกอบการได้รับอนุญาตการรัฐก็สามารถเข้าไปบุกรุกในที่ดินเหล่านั้นได้หรือ ทั้งยังไม่มีเกณฑ์กำหนดที่ชัดเจนอีกด้วย ๒.การขยายขอบเขตแห่งสิทธิผู้ประกอบการ จากการวิเคราะห์บทบัญัติเป็นการให้อำนาจให้สิทธิของผู้ประกอบการมากเกินไป อาจทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรโดยไม่เกิดความจำเป็น ไร้ความรับผิดชอบต่อชุมชนและพื้นที่ที่เกิดการทำเหมืองนั้นได้
นนทวัชร์ เห็นว่า “ร่างพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....” ขัดกับหลักการและเหตุผลในการร่าง” เนื่องจากประชาชนไม่มีส่วนร่วม, ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 41,65 ขัดต่อเจตนารมย์ของ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ พร้อมกันนั้นก็มีข้อเสนอในหลักการที่ควรจะเป็นคือ ๑.แร่เป็นของประชาชน 2.ห้ามทำการสำรวจในพื้นที่ชุมชน เขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตโบราณสถานหรือแหล่งมรดกทางธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรม 3.กำหนดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชน/ชุมชนในพื้นที่ในการร่วม อนุรักษ์ จัดการ และการใช้ประโยชน์แร่ในพื้นที่ ๔.ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและวิถีการดำเนิน ชีวิตของประชาชน/ชุมชนในพื้นที่ และการวางหลักประกันความเสียหาย ๕.กำหนดหลักเกณฑ์การนำรายได้จากการสำรวจแร่และการทำเหมืองแร่คืนสู่ประชาชน/ชุมชนในพื้นที่ ๖.กำหนดมาตรการที่เหมาะสมและเป็นรูปธรรมเพื่อการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ภายหลัง การเลิกทำเหมืองแร่
สุรชัย ตรงงาม ทนายความ และผู้อำนวยการโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) กล่าวว่า จากประสบการณ์การทำคดี เห็นว่าเรื่อง “เกณฑ์เกินมาตรฐาน” นั้น เกณฑ์จริงๆแล้วอยู่ตรงไหน เท่าไร และคืออะไร เพราะดูเหมือนว่าจะยึดหลักเกณฑ์มากเกินไป เพียงมีเหตุและผลแค่นี้ก็น่าจะเห็นสมควรให้เอาผิดได้แล้ว สมควรให้ประชาชนชาวบ้านมีส่วนร่วมในกระบวนการร่วมกันตรวจสอบด้วยไม่ใช่มีเพียงแค่หน่วยงานราชการเท่านั้น และอยากเพิ่มเติมบทลงโทษของหน่วยงานรัฐ ในเรื่องที่ไม่ติดตามตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรการฟื้นฟูที่กำหนดไว้
ไมตรี จงไกรจักร์ กลุ่มลุ่มน้ำตะกั่วป่า กรณีดูดทรายไปสิงคโปร์ กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของประชาชน อยากจะให้มีการเจาะจงที่มากขึ่น ไม่ใช่ไปเอาชาวบ้านจากพื้นที่อื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบมาประชาคม เห็นว่าไม่ควรให้อำนาจกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากเกิน เพราะองค์กรเหล่านี้เงินสามารถซื้อได้ อยากมีส่วนร่วมใน EIA ให้มีการติดตามตรวจสอบที่มากขึ้น และในเรื่องการต่ออายุสัมปทาน ควรจะมีการพิสูจน์ว่าสมควรจะให้ต่อหรือไม่
จำนงค์ จิตรนิรันดร์ มูลนิธิชุมชนไทย กล่าวว่า ควรกำหนดบทลงโทษให้หนักมากขึ้น อาจจะหนักกว่าโทษฆ่าคนตาย เพราะข้อเท็จจริงแล้วนั้นเป็นการฆ่าทั้งชุมชน และเสนอให้ภาคประชาชนมีส่วนเข้าไปควบคุมกฤษฎีกา เพราะเห็นว่าหน่วยงานรัฐ กรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กฤษฎีกา มีอำนาจในการเสนอกฎหมายมากเกินไปและประชาชนจะมีส่วนในการคัดค้านยาก
จันทิมา ธนาสว่างกุล อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ให้กำหนดกองทุนในกฎหมายเพื่อนำมาฟื้นฟู ตั้งผู้เชี่ยวชาญเป็นองค์กรอิสระเพื่อกำกับดูแลการประกอบกิจการ มีบทลงโทษของหน่วยงานรัฐ เนื่องจากการละเลยการปฎิบัติหน้าที่และสามารถเพิ่มเติมโทษได้ เช่น ปรับเป็นกี่เท่า และสัญญาสัมปทานนั้นมีกำหนดเงื่อนไขได้แต่ในทางปฏิบัตินั้นกลับขัดกันคือ ไม่ได้มาตรวจสอบ ควบคุม ดูแล รัฐจะมองในแง่รับเงินเมื่อผิดสัญญาในเชิงแพ่งเสียมากกว่า
บรรเจิด สิงคะเนติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า อยากเสนอในเรื่องความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจ ว่าคุ้มกันหรือไม่ อย่างเช่นที่มีนโยบายรัฐออกมาว่าประเทศไทยมีทองถึง ๗๐๐ ล้านตัน ถ้าทำเหมืองกันจริงๆ ประเทศคงจะเละแน่นอน อยากให้ศึกษาทิศทางของแร่ในประเทศไทยว่าไทยควรจะเป็นแบบไหน
สุวิทย์ กุหลาบวงศ์ กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี กล่าวว่า เห็นว่าร่างกฎหมายตัวนี้ออกมาเพื่อให้เราต่อรอง จึงสมควรดูเรื่องโครงสร้าง เพราะบางอย่างที่ดีอยู่แล้วก็กลับแย่ลงกว่าเดิม มาตรการฟื้นฟูก็ควรกำหนดให้ชัดเจน มีแผนกำหนดที่แน่นอน อีกยังต้องต่อสู้เรื่องการพัฒนาให้ชาวบ้านเห็นทรัพยากรดีกว่าเงิน
สื่อกัญญา ธีระชาติดำรง เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำ ๓ จังหวัด พิจิตร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก กล่าวว่า เห็นว่าสมควรเพิ่มบทลงโทษและค่าปรับจากการไม่ทำตามมาตรการฟื้นฟูให้หนักขึ้น เพราะผู้ประกอบการจะยอมเสียค่าปรับมากกว่าเนื่องด้วยว่าเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าทำตามแผนฟื้นฟู
สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้ประสานงานโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ควรมีบทลงโทษที่รุนแรงกว่านี้ เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้เกรงกลัวและทำตามข้อปฏิบัติมากขึ้น และถ้าหากชาวบ้านเกิดความเดือดร้อนก็อยากจะให้เหมืองหยุด แล้วพิสูจน์ก่อนว่าเกิดจากการประกอบกิจการหรือไม่
มณฑา อัจฉริยกุล มูลนิธิชุมชนไทย กล่าวว่า ควรเอาผิดต่อเจ้าที่สาธารณสุข อนามัยในท้องที่ เนื่องด้วยว่าไม่ลงไปตรวจสุขภาพของคนในพื้นที่ หรือตรวจแล้วก็ไม่ให้ผล เห็นว่าควรมีบทลงโทษกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้
ศุภกิจ บุญเอนก เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการผลิตเกลือสินเธาว์ จ.โคราช กล่าวว่า ปัญหาเรื่องการยื่นคำขอเรื่องการต่ออายุประทานบัตร เนื่องจากในพื้นที่มีการยื่นคำขอไปแล้วกว่า ๘ ปี ทางหน่วยงานรัฐก็ยังไม่ได้อนุญาตแต่ผู้ประกอบกรก็ยังทำการดูดเกลืออยู่ทุกวัน ๒๔ ชั่วโมง
หลังจากระดมความคิดเห็นก็มีแนวทางในการขับเคลื่อนต่อไป คือ จัดเวทีเคลื่อนที่ลงในพื้นที่จริงทั้ง ๔ ภาค เพื่อนำเสนอเรื่องราวของ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยแร่ และอาจจะมีเวทีสาธารณะด้วย พร้อมกำหนดยุทธศาสตร์ในการบริหารประเทศให้แน่ชัดว่าจะส่งเสริมการผลิตแร่เพื่อเศรษฐกิจจริงหรือ โดยจะมีการทำงาน ๓ ฝ่ายเป็นหลักคือ นักวิชาการหาทางออกในเรื่องร่างพ.ร.บ.แร่ฉบับนี้ ชาวบ้านพร้อมขยายพื้นที่ในการให้ความรู้ และสื่อมวลชนขยายตีแผ่เรื่องราวให้ออกสู่กระแสสังคมมากขึ้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)