Skip to main content
sharethis
“พ่อใหญ่จิ๋วเป็น ผบ.สูงสุดกองทัพประชาชน” พ่อใหญ่จิ๋วในสภาโจ๊ก? ไม่ได้ดูสภาโจ๊กมานานแล้ว ไม่ทราบว่ามีคนหน้าเหมือนพัลลภกะเสธแดงมั่งหรือเปล่า
 
แทนที่จะได้ทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” พวกเสื้อแดงต้องออกมาปัดป้องพัลวัน วุ่นวะวุ่นวาย เพราะความเลอะเทอะไม่เป็นเอกภาพ ที่เป็นองค์ประกอบอันไม่สามารถแยกได้ของขบวนการ “ร่วมด้วยช่วยกันวุ่น”
 
อ้าว หันไปทางพรรคเพื่อไทย พ่อไอ้ปื๊ดโก่งค่าตัวอีกแล้ว แต่ฝ่ายยายเจ๊ก็จุ้นจ้านพอกัน จะเข้ามาจัดการเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ให้แตะต้องประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ทราบว่ามีบุญคุณกันมาแต่ครั้งไหน แค่เคยมีคนเล่านิทานเรื่องรถยีเอ็มซีกับตู้เซฟให้ฟังแว่วๆ
 
เละตุ้มเป๊ะ บอกแล้วว่าเละตุ้มเป๊ะ นี่แค่เริ่มประกาศ “สงครามครั้งสุดท้าย” แล้วจะเอาอะไรไปชนะ
 
นี่คือปัญหาของขบวนการที่มีทั้งคนจริงใจ คนรักประชาธิปไตย คนหาผลประโยชน์ นักการเมืองกเฬวราก นักเคลื่อนไหวรับจ้าง นักรบ “เสือจร” ไปจนกระทั่งคนแอ๊บๆ บ๊องๆ
 
เรื่องตลกก็คือ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองถูกสื่อจ้องเล่นงาน พูดผิดหูนิดเดียวเป็นถูกขยาย พวกเสื้อแดงก็ยังเปิดช่องให้เขาโจมตี พูดไปไกลถึงแตกหัก โค่นล้ม ปฏิวัติประชาชน กองทัพประชาชน ฯลฯ หรือเอาน้ำมันใส่ขวดมาคนละลิตร
 
แน่นอนว่าด้านหนึ่งต้องประณามพวกสมุนอำมาตย์และสื่อหน้ามืด แต่อีกด้านหนึ่งฝ่ายเสื้อแดงก็ต้องทบทวนตัวเองด้วย ทบทวนความคิด ทัศนะ โดยเฉพาะทัศนะที่ต้องการให้เกิดการ “แตกหัก” ต่อต้านรัฐประหารแต่ “อยากเห็น” รัฐประหาร ต่อต้านการปราบปรามประชาชนแต่ “อยากเห็น” การปราบปรามประชาชน จะได้ลุยกับแม่มเลย
 
พูดง่ายๆ ว่าพวกใจร้อนใจเร็วในหมู่เสื้อแดงน่ะมีเยอะ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ใกล้ตัวทักษิณ กับพวก “มือใหม่หัดขับ” คือมวลชนที่เพิ่งตื่นตัวมีส่วนร่วมทางการเมือง
 
พวก “มือเก่า” บางคนก็เป็นไปกับเขาเหมือนกัน ผมฟังเพื่อนฝูงที่อยู่ต่างจังหวัดบอกมวลชนตื่นตัวมาก อย่างนั้นอย่างนี้ ยังปรารภกับเพื่อนอีกส่วนว่ามันประเมินมวลชนสูงไปหรือเปล่า คือการที่เขารับรู้ข้อมูล การที่เขารู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม ความอยุติธรรม มันไม่ได้แปลว่าเขาพร้อมจะมาสู้ตาย “ปฏิวัติประชาชน” กับพวกคุณนะครับ
 
ในการประเมินสถานการณ์ ต้องยอมรับว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ฝ่ายที่กำหนดสถานการณ์คือเผด็จการอำมาตยา ไม่ว่าจะปราบปรามประชาชน หรือรัฐประหาร ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ฝ่ายประชาธิปไตยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยง ต้องถูกปราบและต้องต่อสู้ บางครั้งแม้รู้ว่าอาจเกิดความรุนแรง ก็ต้องเคลื่อนไหว เช่น ถ้าเกิดความอยุติธรรมในคดีสำคัญ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ให้มวลชนเคลื่อนไหวแสดงอารมณ์ แต่จะใช้รูปแบบอย่างไร แสดงออกอย่างไร ให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่เกินเลยจากเป้าที่ต้องการ
 
นักเคลื่อนไหวที่มีอุดมการณ์ นักเคลื่อนไหวที่คำนึงถึงชีวิตประชาชน แม้มองเห็นว่าอะไรจะเกิด ก็ยังต้องพยายามทุกวิถีทางไม่ให้มันเกิด
 
แต่ที่เห็นและเป็นอยู่มันไม่ใช่ คือมันอยากให้เกิดส์ ท่าทีชัดเจนว่าอยากให้ปราบ อยากให้รัฐประหาร เพื่อจะประกาศตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น เพื่อจะให้สถานการณ์ลุกลาม บานปลาย เพื่อจะโต้กลับ ล้มกระดาน เพื่อชัยชนะใน “สงครามครั้งสุดท้าย” โดยไม่คำนึงว่าจะสูญเสียสักเท่าไหร่
 
ส่วนหนึ่งอาจเป็นการขู่ เกทับ บลัฟฟ์ ต่อรอง แต่ลึกลงไปแล้วก็มีจริง แม้ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะฝ่ายนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยฝ่ายที่ห่างตัวทักษิณออกมาก็มีหลายคนไม่เห็นด้วย
 
คือถ้าคุณ “วิเคราะห์” ว่าจะเกิดอย่างนั้นก็วิเคราะห์ได้เพื่อเตรียมรับมือป้องกัน แต่ถ้าคุณ “หวัง” และ “กระสัน” ให้เกิดอย่างนั้น ก็ไม่ใช่แล้วครับ แบบนั้นจะต่างอะไรกับแกนนำพันธมิตรเมื่อ 7 ตุลา ที่จำลองเดินไปให้จับ แล้วยกพลไปปิดหน้ารัฐสภา “หวัง” และ “กระสัน” ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง อย่างไม่สามารถปฏิเสธได้
 
คำถามสำคัญ 2-3 ข้อ สำหรับพวกแกนนำเสื้อแดงที่อยาก “แตกหัก” ในสงครามครั้งสุดท้ายคือ หนึ่ง ทำไมต้องเป็นสงครามครั้งสุดท้าย จะเป็นจะตายรอไม่ได้หรือ สอง คุณจะเอาชนะได้อย่างไร และสาม คุณชนะแล้วจะทำอะไร
 
ใครอยากให้เป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” มากกว่ากัน ระหว่างอำมาตย์กับฝ่ายประชาธิปไตย
 
คำตอบคือทักษิณ (ฮา) แต่เย็นวันศุกร์ที่ 26 ก.พ. (ใครนะช่างเลือก timing หยุดมาฆบูชา 3 วัน แถมเด็กสอบเสร็จปิดเทอมพอดี คงเซิ้งกันเต็มที่) ทักษิณคงแจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้วละว่าตัวเองควรทำอะไร จะ “เสี่ยสั่งลุย” หรือนั่งลงครุ่นคิดถึงการต่อสู้ระยะยาว อันไหนดีกว่า ถ้าตั้งสติได้ทักษิณก็ควรจะรู้แล้วว่าตัวเองไม่มีทางชนะ มีแต่ต้องผลักดันให้เกิดขบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้วตัวเองถอยลงมาเป็นแค่ผู้สนับสนุน
 
คำถามที่สองและสาม ต้องถามต่อไปด้วยว่าคุณจะเอาชนะด้วยการเลือกตั้งหรือด้วยการ “ปฏิวัติประชาชน” ถ้าเป็นอย่างหลังเลิกพูดได้เลย เพราะการ “ปฏิวัติประชาชน” จะต้องมี “ขบวนการ” ที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ มีแนวคิดแนวทางเป็นหนึ่งเดียวกัน มีวินัย มีสายการบังคับบัญชาเป็นเอกภาพ
 
ยกตัวอย่างให้เห็นชัดต้องเทียบพรรคคอมมิวนิสต์ ผมเทียบเล่นๆ ว่าถ้าสมัยนั้น พคท. มีมวลชนสักครึ่งของเสื้อแดงในชนบทวันนี้ก็อาจชนะไปแล้ว แต่ถ้าเปรียบเทียบความเข้มแข็งของการจัดตั้ง ความชัดเจนทางความคิด ทฤษฎี ระหว่าง พคท.กับเสื้อแดง มันไม่ใช่ 10 กับ 1 ด้วยซ้ำ แต่เป็น 100 กับ 1 ไปโน้น
 
ที่พูดนี้ไม่ได้หมายถึงว่าต้องมีกองกำลังอาวุธ แต่เอาแค่คุณพากันมาม็อบแล้วคุมกันให้อยู่ เหมือนพันธมิตรคุมนักรบศรีวิชัยกับการ์ดอาสา ก็เก่งแล้ว (ขนาดนั้นยังฆ่ากันเองทิ้งศพไว้ในดอนเมือง) พันธมิตรเขามีมวลชนที่ผ่านการจัดตั้งมาก่อนเป็นฐาน เช่นพวก NGO สหภาพรัฐวิสาหกิจ สันติอโศก ไปจนถึงนักรบภาคใต้ และทหารนอกเครื่องแบบ คนเหล่านี้เป็น “แกน” ของมวลชนขาจรจากทุกสารทิศ แล้วก็อยู่ดัวยกัน 193 วันกว่าจะกล้าๆ “ปฏิวัติประชาชน” ด้วยการยึดทำเนียบ ยึด NBT ยึดสนามบิน (ในมุมนี้ผมว่าพันธมิตรมีลักษณะ “กองกำลังกบฎ” เอ๊ย “กองทัพประชาชน” ชัดเจนกว่าเสื้อแดงด้วยซ้ำ)
 
คนเสื้อแดงมาจากร้อยพ่อพันแม่ เป็นคนจรไม่มีกลุ่มก้อน ไม่มีพื้นฐานการจัดตั้ง โอเค มีคนมาเล่าว่าเปิดโรงเรียนการเมืองไปไม่รู้กี่รุ่นแล้ว แต่แค่นั้นเพียงพอหรือที่จะเป็น “กองทัพประชาชน” การต่อสู้มันต้องผ่านการหล่อหลอม แค่เปิดโรงเรียนไม่ใช่การหล่อหลอม แค่ยกม็อบไปมาก็ยังไม่ใช่การหล่อหลอม ต้อง 193 วันอย่างพันธมิตรจึงเรียกได้ว่าหล่อหลอม (ฮา)
 
นี่เอาแค่ม็อบ ยังไม่พูดถึงการยึดอำนาจรัฐ ล้มล้าง อะไรนั่น ฉะนั้นถ้ามองเป้าใหญ่ขึ้นไปอีกก็เลิกเลย เลิกพูด เลิกคิด ต่อให้เกิดโชคลาภฟลุกๆ เกิดรัฐประหาร ล้มรัฐประหาร เกิดเหตุสับสนวุ่นวายจนเกิด “ปฏิวัติประชาชน” แบบฟลุกๆ คุณก็ปกครองประเทศไม่ได้ มีแต่เละตุ้มเป๊ะ เพราะคุณไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีระบบ ไม่มีชุดความคิดที่ชัดเจน ไม่รู้ว่าชนะแล้วจะทำอะไรด้วยซ้ำ (ประชาธิปไตยสมบูรณ์คืออะไร นอกจากบอกว่าไม่เอาอำมาตย์แล้ว ที่เหลือไม่มีใครพูดถึง)
 
พูดอย่างนี้เหมือนไม่มีทางชนะเขาได้เลยหรือ เปล่า ผมกำลังบอกว่าคุณภาพของ “กองหนุนเสื้อแดง” ยังเป็นแค่พลังมวลชนที่แสดงออกเพิ่อต่อต้านความไม่เป็นธรรม ความอยุติธรรม สองมาตรฐาน ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ถ้าจะเอาชนะ ก็ทำได้แค่ชนะการเลือกตั้งซึ่งไม่จำเป็นต้องมีรูปการจัดตั้งเข้มแข็ง
 
เมื่อพูดถึงการเลือกตั้ง หลายคนอาจส่ายหน้า ว่าจะชนะได้อย่างไรภายใต้กลไกรัฐที่ถูกครอบงำทั้งทหาร นักการเมืองปากห้อย และองค์กรไม่อิสระเอียงกะเท่เร่ แต่ข้อที่หนึ่ง ฝ่ายประชาธิปไตยต้องยึดการเลือกตั้งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ส่วนจะใช้ยุทธวิธีอย่างไรต้องพูดกันอีกทีหนึ่ง มันคงไม่ใช่งอมืองอเท้า เพราะต่อให้ชนะเลือกตั้งเข้ามาคุณต้องแก้รัฐธรรมนูญ ต้องแก้กฎหมายล้างอำนาจทหาร ศาล องค์กรอิสระ ต้องศึกษาแนวทางแบบชาเวซ หรือหลายประเทศในลาตินอเมริกา ต้องสร้าง “พรรคมวลชน” (ที่ไม่ใช่เอาพ่อไอ้ปื๊ดเป็นนายกฯ) ที่มีพลังมวลชนเคลื่อนไหวคู่ขนานพิทักษ์ผลการเลือกตั้ง
 
ข้อที่สอง ในขณะที่คุณกลัวอุปสรรคในการเลือกตั้ง ฝ่ายอำมาตย์ต่างหากที่กลัวมากกว่า พวกเขาต่างหากที่รอไม่ได้ พวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายอยากเผด็จศึก ก่อนจะเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจเหนี่ยวรั้ง
 
ในความคิดของฝ่ายอำมาตย์ตอนนี้ พวกเขาคิดว่าการ “เผด็จศึก” ทักษิณ จะทำให้การต่อสู้ถูกสยบลง พวกเขาคิดว่าการฆ่าคนสัก 4-5 ศพต่อ 1 แสนคน จะทำให้ประชาชนแพ้ราบคาบ มุมกลับกัน ถ้ามองว่าพวกเขาคิดผิด ทำไมจะยืดเยื้อไม่ได้ล่ะ
 
การมองฝ่ายอำมาตย์วันนี้หลายคนให้ความสำคัญกับ “เงื่อนไขพิเศษ” จนลืมมองว่า “ระบอบไม่เอาทักษิณ” หรือ “ระบอบอภิสิทธิ์ (ชน)” ก็มีปัญหาในตัวมันเองอย่างรุนแรง คือถ้าคุณคิดว่าอภิสิทธิ์จะเป็นนายกฯอย่างราบรื่น ประเทศชาติเจริญวัฒนาสถาพร ไปจนถึงปลายปี 54 เลือกตั้งใหม่แล้วชนะได้ 240 เสียง ก็แปลว่าคุณไม่เชื่อมั่นประชาธิปไตย ไม่เข้าใจว่ารัฐประหาร 49 ได้สร้างความเสียหายร้ายแรงไว้มากแค่ไหน
 
ระบอบอภิสิทธิ์ชนมีปัญหาในตัวมันเอง จากการผสมพันธุ์ของ “ผู้ดี” กับนักการเมืองกเฬวราก ทหารมัวเมาอำนาจ ตุลาการหลงตนเป็นเทวดา NGO และสื่อสุดขั้ว ต่อให้เสกพวกทักษิณ เสื้อแดง พรรคเพื่อไทย หายวับไปกับตา พวกเขาก็จะเละเทะด้วยตัวเอง
 
ดูอย่างคดีมาบตาพุด ตอนนี้ญี่ปุ่นจะถอนการลงทุนแล้ว เสื้อแดงเกี่ยวตรงไหน ซื้อเก้าอี้ตำรวจ ที่ ปชป.ตั้งมากับมือ ต้องไปลากนายตำรวจตงฉินผู้จงรักภักดีลงมาสอบสวน ถ้าไม่เจออะไร จะหัวเราะให้ฟันหัก (อย่าให้อายหมอบรรลุนะ) GT200 เอาไปให้คุณหญิงกัลยาสอบ โถ น่าสงสาร ไม่รู้จะกล้าหักหน้าทหารหรือเปล่า เครื่องวิเศษอะไรใช้ไฟฟ้าสถิตในร่างกายตรวจระเบิดก็ได้ ตรวจศพก็ได้ (มิน่า ‘จารย์โต้งถึงบอกว่ามีศพฝังอยู่เป็นพัน) แต่ผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มันบิดเบือนได้ยาก นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพูดหน้าตาเฉยอย่าง “นิติไกรพจน์”
 
เอแบกโพลล์บอกว่าขนาดคนกรุงเทพฯ ยังจะเลือก ปชป.แค่ 26% เท่านั้น 34% เลือกพรรคอื่น (พรรคการเมืองใหม่มั้ง-ฮา) คงมีแต่ภาคใต้ที่โลกถล่มดินทลายก็ยังเลือกเสาไฟฟ้า ภาคอีสานภาคเหนือไม่ต้องพูดถึง
 
สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็มีแต่ “เสียงส่วนใหญ่” ที่ยังเป็นกลางเท่านั้น เพราะคนเหล่านี้ “กลัว” ความเดือดร้อน ความไม่สงบ ตามวิสัยคนไทย และถึงเวลาถ้าคิดว่าต้องเลือกความสงบมากกว่าความเป็นธรรมความยุติธรรม คนเหล่านี้ก็จะเลือก ปชป.
 
เพียงแต่สิ่งที่คนเหล่านี้ไม่เข้าใจคือ โครงสร้างอำนาจที่รัฐประหาร 49 วางไว้ มันเป็นโครงสร้างที่ทำให้เกิดวิกฤติ และเป็นตัวปัญหาของประเทศ ต่อให้ไม่มีทักษิณ ไม่มีเสื้อแดง กองทัพหลังรัฐประหารได้งบประมาณเพิ่มจาก 1 แสนล้านเป็น 1.6 แสนล้าน GT200 ยังเป็นเรื่องกิ๊กก๊อก เมื่อเทียบกับการซื้ออาวุธ ฟื้น กอ.รมน. เพิ่มงบลับ ซึ่งจะเป็นภาระงบประมาณพอกหางหมูในอนาคต ตุลาการและองค์กรอิสระ ได้อำนาจไปล้นเหลือ ขยายองค์กรใหญ่โต เงินเดือนสูงกว่าข้าราชการทั่วไป เหลิงอำนาจเล่นงานเขาไปทั่ว ต่างคนต่างก็เป็นเจ้ากรมอิสระ ขบอำนาจกันเอง หมั่นไส้กันอยู่ลึกๆ ข้างล่างก็มีพวกสื่อ พวกพันธมิตร ที่สะเปะสะปะไปทั่วเพื่อสร้างอำนาจต่อรองของตัว
 
นั่นเป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างแบบนี้มันอยู่ไม่ได้หรอก อภิสิทธิ์ถึงตั้ง ผบ.ตร.ไม่ได้ อภิสิทธิ์ได้แต่ทำตาปริบๆ เรื่องมาบตาพุด อภิสิทธิ์ได้แต่วิ่งไปหาป๋า วิ่งไปหาอนุพงษ์ วิ่งไปเอาใจสนธิ ลิ้ม ที วิ่งไปเอาใจหยุ่น เอาใจคุณพ่อสื่อทั้งหลาย
 
แล้วถ้าใครคิดว่าปัญหาเศรษฐกิจแก้ไขได้ นับแต่นี้มีแต่จะเชิดหัวขึ้น เร็วไปมั้งครับ ผมไม่บังอาจฟันธงว่ามันจะแย่ เพราะไม่ใช่กูรูเศรษฐกิจ แต่มันยังเร็วไปที่จะตัดสิน และรู้สึกตะหงิดๆว่า ตัวเลขที่ออกมาหลายตัวมันเป็นดัชนีสอพลอ
 
ทั้งหมดนี้คือผมมองไม่เห็นว่าทำไมจะรอไม่ได้ ยืดเยื้อไม่ได้ ทำไมต้องแตกหักในเดือนกุมภา ในคดียึดทรัพย์ทักษิณ
 
ตรงกันข้ามถ้าเรามองท่าทีฝ่ายอำมาตย์ จะเห็นได้ว่าพวกเขาต่างหากที่ต้องการทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” มีการออกมาปลุกกระแสต่อเนื่องของนักวิชาการ สื่อไดโนเสาร์ บุคคลระดับสูง พวกเขาต่างหากที่รอไม่ได้ เพราะกลัวการขยายตัวอย่างรวดเร็วของฝ่ายประชาธิปไตย ที่อาจนำไปสู่ “สงครามกลางเมือง” ในขณะที่พวกเขาโรยราลง
 
ฉะนั้นเก็งล่วงหน้าได้เลยว่า ฝ่ายอำมาตย์ต้องการปราบปรามประชาชนแน่ เพียงแต่จะทำวิธีไหน ทำอย่างไร และพวกเสื้อแดงจะแส่เข้าไปให้เขาเล่นงานจนเพลี่ยงพล้ำขนาดไหน
 
หลายคนพูดถึงการรัฐประหาร การปราบปรามอย่างรุนแรง (ขึ้นแบล็กลิสต์ไว้แล้ว) ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็คงสมใจพวกที่อยากเห็นรัฐประหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารัฐประหารก่อน 26 ก.พ. (ทักษิณชอบ) แต่ต่อให้รัฐประหารหลัง ก็ง่าย จบ สู้กัน นับถอยหลัง
 
แต่เคยคิดบ้างไหมว่ามันอาจจะเกิดเงื่อนไขที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือเขาปราบปรามได้ โดยไม่ต้องใช้รัฐประหาร แต่ยังใช้รัฐบาลรูปหล่อลอยหน้าอยู่ได้ เหมือนที่ทำมาแล้วเมื่อตอนสงกรานต์
 
ผมก็ยังมองไม่ออกหรอกว่ามันจะเป็นยังไง เพราะผมยังไม่รู้ว่าเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวอย่างไร แน่นอนมันปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าเกิดความอยุติธรรมขึ้น มวลชนจะโกรธแค้น พลังจะร้อนแรงเชี่ยวกราก คุณไม่สามารถอยู่เฉยได้ จำเป็นต้องเคลื่อนไหว แต่จะกำหนดรูปแบบการเคลื่อนไหวอย่างไร ที่ไม่ใช่กลายเป็นสร้าง “ความชอบธรรม” ให้ฝ่ายอำมาตย์ปราบปราม โดยไม่จำเป็นต้องทำรัฐประหารเสียด้วย
 
คือเวลาพูดถึง “ความชอบธรรม” คุณต้องเข้าใจว่าคุณเสียเปรียบทุกวิถีทาง ทั้งสื่อ ทั้งนักวิชาการ พร้อมจะจ้องจับผิดและเอาไปขยาย ใส่สีตีไข่ให้ทุกเมื่อ เพื่อโน้มน้าว “คนกลางๆ” ว่าจะต้องปราบปรามเพื่อความสงบ เพื่อประเทศเดินหน้า เพื่อจะได้ทำมาหากิน
 
ฉะนั้น ท่าทีในการเคลื่อนไหวจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะปราบ ทำไมต้องยั่วยุ คุณไม่ต้องยั่วยุ เขาก็หาเรื่องปราบอยู่ดี ถ้าคุณเคลื่อนไหวอย่างรัดกุม (ไม่อยากใช้คำว่าสันติ อหิงสา เพราะ พธม.ทำคำนี้เสียไปแล้ว) ไม่ถึงกับต้องพับเพียบหรอก มีปาขี้มั่งปารองเท้ามั่ง แต่ไม่รุนแรงเกินเหตุ ถ้าเขาจะใช้กำลังปราบ จะรัฐประหาร ก็เกิดความชอบธรรมที่คุณจะตีโต้
 
แต่ถ้าคุณไม่อดทนอดกลั้น คำก็กองทัพประชาชน ปฏิวัติประชาชน เตรียมปืน มีด ไม้ เตรียมขวดน้ำมัน ฮือเข้ามาด้วยท่าทีน่ากลัว (สำหรับชาวกรุงหน่อมแน้มทั้งหลาย) ยึดโน่นปิดนี่ แล้วมีคนไปขว้างระเบิดศาล มีคนเผา สน.นางเลิ้ง ฝ่ายอำมาตย์ก็หัวร่อก๊าก สื่อดาวสยามก็จะรุมกระหน่ำ สร้าง “ความชอบธรรม” ให้อภิสิทธิ์เรียกทหารออกมาปราบ (โปรดดูมติ ครม. อังคารที่แล้ว ที่ให้ทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน) เสื้อแดงก็จะแพ้ และเสียหายหนักด้วย กว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ใหม่
 
โปรดสังเกตด้วยนะว่า ทำไม ปชป.ถึงออกมาร่วมมือสร้างกระแส “เหยี่ยว” เพราะถ้ารัฐประหารจริง ปชป.ก็ต้องหมดอำนาจด้วย ผมจึงมองในทางที่เลวร้ายที่สุด ว่ามันอาจจะเกิดการปราบปราม เสื้อแดงแพ้ โดยที่ไม่ต้องรัฐประหารด้วยซ้ำ
 
ถ้าไพ่ออกหน้านี้จะเป็นความพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุด แม้เชื่อว่าพลังประชาธิปไตยจะพื้นขึ้นมาใหม่ (ดีกว่าเดิมด้วยเพราะต้องผลัดขั้วสร้างผู้นำที่มีคุณภาพหลังจาก 3 เกลอโดนเด็ดหัวไป) แต่ฝ่ายอำมาตย์ก็จะมีเวลาในการผลัดขั้วของพวกเขาด้วยเช่นกัน มีเวลาสร้างกระแสทางวัฒนธรรมขนานใหญ่ ใช้อำนาจรัฐราชการ ใช้กองทัพ ใช้ กอ.รมน. ใช้งบประมาณมหาศาล เข้ามาปูพรมทั้งสังคม การต่อสู้รอบหน้าจึงจะยิ่งยากเย็นแสนเข็ญ ต้องคดเคี้ยว ต้องยาวนานออกไปอีกไม่น้อย
 
ไม่อยากพูดเล้ย... แต่ผมสังหรณ์ว่าเสื้อแดงจะแพ้เสียด้วยสิ
 
ป.ล.เขียนจะจบแล้วเพิ่งมาอ่านชูวัส ก็เห็นพ้องกัน อยากฝากถึงพันธมิตรด้วยว่า เมื่อสงกรานต์พอเสื้อแดงแพ้ สนธิ ลิ้ม ก็ถูกยิง ถ้าครั้งนี้เสื้อแดงแพ้อีก ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ คิดหรือว่าเขาจะเอาคุณไปขึ้นวอ
 
ถ้าผมเป็นรัฐบาล ปชป. ผมมีแค่หยุ่นกับหย่องก็พอ ไม่ต้องการ ASTV กับสนธิมาจุ้น ถ้าผมเป็นมาร์ค ผมมีแค่เทพไทก็พอ ไม่ต้องการให้ยะใสมาแย่งงานเทพไท (ฮา)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net